ใครๆ ก็อยากมีความสุข แต่ในชีวิตจริงสำหรับบางคนแล้ว ดูเหมือนความสุขช่างเป็นสิ่งที่หาได้ยากเต็มที แล้วความสุขนั้นหลบไปอยู่ที่ไหน ทำไมผู้คนจึงวุ่นวาย ต่างวิ่งไล่ ไขว่คว้าค้นหาความสุขกันไม่หยุดหย่อน ต่อไปนี้เป็นหลักคิดง่ายๆ 10 วิธี สำหรับทำชีวิตให้มีความสุขสุดๆ
- คิดเป็น อันดับแรกของคนที่มีความสุขอยู่เสมอ หมายความว่า คนคนนั้นต้องคิดเป็น คิดเป็นในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องเป็นคนช่างคิด แค่มีมุมมองต่อชีวิตในทางที่ถูก พูดง่ายๆ มองบวกคิดบวก อยู่ที่ไหนก็มีความสุขได้ถ้าหัวใจเราพร้อมสุข แต่ถ้าคิดทุกอย่างหรือทุกอย่างเป็นลบ อยู่ที่ไหนก็คงได้แต่ถอนใจเพราะมองแต่เรื่องไม่เป็นสุข คนที่คิดบวกอยู่เสมอจะเป็นคนที่มีความสุข แม้เมื่อเจอสถานการณ์ย่ำแย่ ก็ยังมองเห็นทางออก คิดหาหนทางคลี่คลายได้และสุขใจได้เสมอ
เติมสุขกันสักนิด : ชื่นชมสิ่งเล็กๆ ที่ดีในแต่ละวัน เช่น เพื่อนเก่าโทรมา เพื่อนบ้านยิ้มทักทาย เห็นดอกไม้บานสวยงาม - แก้ปัญหาให้เป็น เวลาที่เกิดปัญหาขึ้น ต้องรู้จักตั้งรับ หาทางแก้ไขปัญหา ไม่ใช่หาวิธีหนีปัญหา แต่ควรประเมินสถานการณ์ ประเมินตัวเอง สอบถามผู้รู้ หรือขอคำแนะนำ ปัญหาบางอย่างแก้ได้ในคราวเดียว บางอย่างต้องคอยแก้ไขไปทีละเปลาะ แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลาย ตัวเราก็จะได้ฝึกรับมือกับปัญหาได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ หรือปัญหาที่เคยมีก็จะไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป ที่สำคัญต้องมีจิตใจเป็นนักสู้ ไม่ยอมแพ้กับปัญหา ถ้าคอยแต่จะหนีปัญหา ไม่หาหนทางแก้ปัญหา สุดท้ายก็ต้องจมมุมอยู่ดี แถมพ่วงด้วยปัญหาที่ซ้ำเติมหนักขึ้นไปอีก ปัญหาบางอย่างที่ว่าหนักหนาแก้ได้ง่ายนิดเดียว ด้วยการพลิกมุมมอง เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ด้วยการทำความเข้าใจ แล้วก็จะหมดปัญหาไปเอง
เติมสุขกันสักนิด : เวลาเกิดปัญหาให้ใจเย็น คิดก่อนพูด อย่ามองปัญหาจากมุมมองของเราฝ่ายเดียว ทำใจให้สงบ เอาเวลาไปทำในสิ่งที่สบายใจ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเจอเพื่อนฝูง แล้วกลับมาทบทวนใหม่ จะมองเห็นทางออกได้ง่ายขึ้น - ปล่อยวางให้เป็น เรื่องบางเรื่องไม่ควรเก็บเอามาเป็นขยะให้รกใจ โดยเฉพาะเรื่องความผิดพลาดที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ ต้องรู้จักทำใจและปล่อยวางให้ได้ ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เราก็ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ สารพัด ถ้ามัวเก็บเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคิด ก็คงจมปลักอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ยิ่งไม่ต้องใส่ใจ บางคนทุกข์เพราะถูกนินทา ทุกข์เพราะคนที่รักไม่ได้ดั่งใจ ไม่เป็นอย่างที่คิด ถ้ารู้จักโยนทุกข์ที่แบกได้ทิ้งไป ชีวิตก็โล่ง โปร่ง เบา มีแต่เรื่องสุขๆ เข้ามาแทนที่
เติมสุขกันสักนิด : การให้อภัยทำให้หัวใจเบาขึ้นอีกเยอะ ถ้ารู้จักให้อภัยไม่แบกความขุ่นมัวไว้ในใจ ก็เท่ากับเติมความสุขในใจให้รู้สึกได้ทันที - เปิดใจให้กว้าง คนเราถ้าไม่รู้จักเปิดหัวใจให้กว้าง พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ชีวิตก็จะคล้ายนิ่งขัง ที่รอวันจะกลายเป็นน้ำเน่า ไม่มีทางไหลออกไปไหน การยึดมั่นอยู่กับความคิดเดิมๆ มากเกินไป อาจกลายเป็นบั่นทอนสุขภาพจิตได้ ยกตัวอย่าง คนที่เพอร์เฟ็คชั่นนิสต์มากๆ ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็ค ต้องออกมาดี อะไรที่เป็นความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้หงุดหงิดหัวเสียหรือวิตกกังวลไปทั้งวันคงไม่ทำให้ใจสุขแน่ คนที่เปิดหัวใจออกกว้าง มองโลกในมุมใหม่ๆ เปิดรับความหลากหลาย ใช้ชีวิตอย่างคนใจกว้างและยืดหยุ่น จะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้ง่ายกว่า ถ้าใจเราปิดไม่พอใจอะไรง่ายๆ สักอย่าง แล้วจะหาความสุขได้อย่างไร เพราะหันซ้ายหันขวาก็จะติดขัดไปหมด แถมยังทำให้คนอื่นๆ หมดความสุขไปด้วย ลองเปิดใจมองชีวิตในมุมใหม่ๆ พร้อมจะเรียนรู้และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ ทำให้ชีวิตไม่ซ้ำซากจำเจ จะช่วยให้หัวใจเป็นสุข ชีวิตสดชื่นรื่นเริงยิ่งขึ้น
เติมสุขกันสักนิด : เลิกทำตัวแบบซ้ำซากจำเจ หาอะไรแปลกใหม่ทำดูบ้าง เช่น วันหยุดสุดสัปดาห์ ลองลุกขึ้นมาทำกับข้าวเมนูใหม่ๆ แปลกๆ ให้ที่บ้านทาน ไปหัดร้องเพลง หรือเล่นกีฬาที่อยากจะลองเล่นดู หาอะไรใหม่ทำ เติมความกระชุ่มกระชวยในจิตใจ
- ทำงานเป็น งานเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต นอกจากเป็นที่มาของรายได้แล้ว ยังทำให้รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ถ้างานราบรื่น ลงตัว ชีวิตก็ลอยลำพุ่งไปข้างหน้า ยิ่งเป็นงานที่รักด้วยแล้ว ก็เหมือนได้อยู่กับคนที่รัก ทำอะไรก็เป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงานอะไร ถ้ารู้จักการจัดการ รู้จักจัดลำดับก่อนหลัง รู้ถึงความยากง่ายของงาน แล้วทำไปตามขั้นตอน ที่สำคัญต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับทีมเวิร์ค ไม่ว่าลุยเดียวหรือทำงานเป็นทีม อีกอย่างเวลาต้องรู้จักเว้นที่ไว้ให้คนอื่นบ้าง ต้องรู้จักยกความดี ความชอบให้กับคนอื่นๆ ด้วย
เติมสุขกันสักนิด : ลงมือทำงานทันที อย่ามัวแต่โอ้เอ้ ผัดวันประกันพรุ่ง ควรทำงานยากๆ ให้เสร็จก่อน จะช่วยให้จัดการงานได้ดีขึ้น การงานเข้าที่เข้าทาง มีประสิทธิภาพ ไม่คั่งค้าง ไปทำอะไรที่ไหนใจก็เป็นสุข ไม่ต้องคอยกังวล - รู้จักรับและให้ ก็ชีวิตคนเราต้องมีการรับและการให้อยู่ตลอดเวลา การเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ที่ดี จะช่วยให้ชีวิตเปี่ยมสุขยิ่งขึ้น บางคนเคยชินแต่เป็นผู้ให้ ไม่รู้จักบทบาทของการเป็นผู้รับ ถึงเวลาต้องรับก็รับไม่เป็น ทำให้ชีวิตยุ่งยาก ไม่มีความสุขเท่าที่ควร เช่น บางคนเจ็บป่วยไม่ยอมรับให้ใครเข้ามาดูแล ก็ทำให้ลำบากใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย การยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ขณะที่บางคนก็เคยชินกับการรับจนเคยตัว เห็นเขาเคยให้ พอเขาไม่ให้ก็โกรธเคือง คาดหวังว่าคนอื่นจะให้คุณตลอดเวลา ไม่เคยลิ้มรสความสุขของการเป็นผู้ให้ หรือให้ก็ด้วยคาดหวังบางสิ่งบางอย่างกลับมาเสมอ ไม่ได้ให้ด้วยน้ำใสใจจริง ก็เหมือนให้ใครไม่เป็น ทางที่ดีต้องรู้จักจังหวะของการรับและการให้ ทำตัวเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ที่ดีจะช่วยเติมเต็มความสุขได้
เติมสุขกันสักนิด : แค่รอยยิ้มก็เป็นการให้ที่สร้างความสุขใจได้ทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย - ใช้จ่ายอย่างสมดุล หลักง่ายๆ อีกข้อหนึ่ง ที่จะทำให้มีชีวิตที่เป็นสุขได้ก็คือ ไม่ใช้มากกว่าที่หาได้ แต่ยุคนี้ดูเหมือนใครๆ ต่างพากันลืม หรือไม่ก็แกล้งลืมหลักคิดดีๆ ข้อนี้ไปเสีย มักจะหันมาเชื่อคำโฆษณาที่ชักชวนให้ควักกระเป๋าอยู่ทุุกวันว่า "ดาวน์ต่ำ ดอกถูก" "ผ่อนน้อย ผ่อนนาน" ถ้าเผลอตัวเผลอใจเมื่อไร หนี้สินก็พอกพูนพร้อมดอกเบี้ยอีกมากมาย แต่อย่างนี้ในใจจะหาความสุขแท้จริงได้จากไหน สิ้นเดือนทีก็ต้องคอยผ่อนดอกเบี้ย ผ่อนเงินต้น เรื่องเงินเรื่องทองเป็นเรื่องที่เรากำหนดความสุขให้ตัวเองได้ ต้องรู้จักวางแผนการใช้เงิน เผื่อขาดเผื่อเหลือ และเผื่อเก็บให้ดีๆ แล้วทำตามนั้นให้ได้ อะไรที่ฟุ่งเฟื่อยไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องมี เพราะถ้าใช้แล้วมีหนี้ตามมา ความสุขในชีวิตก็คงลดน้อยลงเรื่อยๆ ทางที่ดีไม่ควรเพิ่มภาระหนี้สิน ผ่อนโน้นผ่อนนี่ตามสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้นต่อมอยากโดยไม่จำเป็น
เติมสุขกันสักนิด : หาเทคนิคประหยัดตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไว้แต่ละเดือน สมทบเป็นยอดฝากเพิ่มเติมจากยอดประจำ แล้วจะดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นยอดเงินในบัญชีทยอยเพิ่มขึ้น - รู้จักใช้เวลา ที่มาของความสุขอีกทางหนึ่งก็คือ ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ รู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเองและผู้อื่น การได้ใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่ชอบจะทำให้มีความสุขและเพลิดเพลิน บางคนชอบจัดดอกไม้ ทำอาหาร เล่นดนตรี ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบและอยากจะทำก็ทำไปเถอะ จะช่วยทำให้มีความสุขมากขึ้น บางคนก็ชอบไปช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า ไปเล่นดนตรีที่บ้านเด็กกำพร้า อ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง หรือทำกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น เดินทางไปปลูกป่า ไปช่วยสร้างบ้านดิน เป็นต้น ควรทำอะไรก็ได้ที่ใจรักหรือทำได้ดี เพราะถ้าทำออกมาไม่ดี ก็อาจนึกตำหนิตัวเอง ทำให้ความสุขลดลงได้ การได้ทำกิจกรรมที่ตนเองรักและถนัดจะทำให้มีความสุข แต่ถ้าไปฝืนทำกิจกรรมที่ตนไม่ชอบ แม้จะเป็นกระแสก็เถอะ จะทำให้เบื่อไม่อยากทำ สุดท้ายก็เลิกทำ หรือบางทีอาจทำให้รู้สึกแย่ได้
เติมสุขกันสักนิด : สร้างสรรค์ผลงานชิ้นโปรด ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด งานปั้น เย็บปักถักร้อย จัดสวน ฯลฯ เป็นความภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสร้างความสุขใจไปอีกนาน - พอใจในสิ่งที่มี รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ความพอใจในตัวเองเป็นพื้นฐานของความสุขในชีวิต คนเราถ้าไม่พอใจตัวเอง ก็คงไม่พอใจใครๆ หรืออะไรได้ง่ายๆ ควรพอใจในตัวเอง พอใจในสิ่งที่มี อย่าไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คนที่ชอบเปรียบเทียบอยู่เสมอโดยเฉพาะกับคนที่มีมากกว่า เก่งกว่า จะทำให้ไม่มีความสุข บางคนทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีความสุขดีอยู่แล้ว แต่พอเริ่มเปรียบเทียบ ความสุขก็หายวับไปทันที อย่างบางคนรถที่ใช้อยู่ก็รู้สึกว่าหรูหราดีอยู่แล้ว แต่พอหันไปเห็นเพื่อนบ้านออกรถรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ความสุขความพอใจในรถที่ใช้ก็หดหายไปในทันที อยากจะถอยป้ายแดงกับเขาบ้าง ก็เริ่มดิ้นรนขวนหวายใหม่ ถ้าไม่รู้จักตัดใจให้พอใจในสิ่งที่มีที่ได้ อย่างนี้จะมีความสุขยั่งยืนได้อย่างไร
เติมสุขกันสักนิด : สระว่ายน้ำในบ้าน หรือรถยนต์รุ่นล่าสุดก็ไม่ใช่คำตอบของการเดินทางอยู่ดี เอาเวลาที่ต้องนั่งทำงานหนัก เพื่อจะมาซื้อมาผ่อนของแพงๆ ฟุ่มเฟื่อยเหล่านี้ มามีความสุขในครอบครัวและเพื่อนฝูงดีกว่า - ยอมรับตัวเองและยอมรับผู้อื่น คนที่มีความนับถือตัวเอง ก็จะรู้จักยอมรับนับถือผู้อื่น และวางตัวได้อย่างเหมาะสม การวางตัวได้พอเหมาะพอดีเป็นเรื่องสำคัญเพราะจะทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างสบายใจ มีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย เข้าที่ไหนก็ได้ หายไปคนก็คิดถึง อยู่ที่ไหนก็ใจสบายเป็นสุข รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา นึกถึงแต่ข้อดี มองข้ามข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คน แล้วความสัมพันธ์จะราบรื่น ยืนยาว ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องสุขๆ
เติมสุขกันสักนิด : รักและยอมรับคู่ครองของเราอย่างที่เขาเป็น ให้เกียรติกันและกัน ดูแลใส่ใจกันอย่างสม่ำเสมอ