วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ชี้นิ้วว่า "คนอื่น" ....อีกสี่นิ้วชี้มาที่ "ตัวเอง"

ยืนยันฟันธงคอนเฟิร์มให้เลยว่า
สาเหตุ "อันดับ 1" ของความล้มเหลวในชีวิตคนเรา
มาจากการ "โทษคนอื่น"

ก้มดูตัวเองสิ ที่ผ่านมาโทษใครไว้บ้าง?
จ้องตาตัวเองสิ? จะโทษใครอีกดีล่ะ?

โทษเจ้านาย โทษที่ทำงาน
โทษครอบครัว โทษประเทศชาติ
โทษดวงชะตา โทษนั่นโทษนี่

หลายคนเอาแต่ชี้นิ้วก่นด่าคนอื่นว่า 
"กูไม่ผิด มึงนั่นแหละ ที่ทำให้กูเป็นแบบนี้"
ทำไมไม่มองดูให้ดีๆ ล่ะว่า 

ในขณะที่ชี้หน้าโทษคนอื่น
อีกสี่นิ้วที่ชี้มาที่ตัวเอง มันกำลังบอกว่า 
"เออ ที่จริงกูนั่นแหละที่ทำให้กูเป็นแบบนี้"

อยากสำเร็จ อยากร่ำรวย
อยากสุขภาพดี อยากมีความสุข
เราต้องเลิกโทษคนอื่น

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเราเอง
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง
ขอให้มั่นใจได้เลยว่าเราต้องเคยทำอะไรบางอย่างไว้
เราถึงมาถึงจุดนี้ที่เราไม่ชอบใจ
และเราจะต้องเป็นคนแก้มันด้วยตัวเอง
ไม่ใช่มัวไปโทษคนอื่น
เลิกโทษคนอื่น
คือก้าวแรกแห่งความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต
ผมสาบานว่านี่คือเรื่องจริง
ถ้าไปลองทำแล้วไม่จริง ชีวิตไม่ดีขึ้น
คุณมาโทษผมได้เลย

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

Google Logo : Chinese New Year 2014

"อั่งเปา" และ "แต๊ะเอีย"
เชื่อว่าทั้งสองคำนี้ไม่ว่าจะแปลเป็นไทยว่าอะไรก็ตาม ทุกคนก็จะตั้งหน้าตั้งตาคอยสิ่งนี้ (โดยเฉพาะตอนเป็นเด็ก) แล้วมันต่างกันอย่างไร?

"อั่งเปา" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง ซองสีแดง คำว่า อั่ง แปลว่า แดง ส่วนเปา แปลว่า ซอง หรือ กระเป๋า (ภาษาจีนกลางจะเรียกซองแดงว่า "หงเปา") ซึ่งสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นมงคล ความมีชีวิตชีวา และความโชคดีของชาวจีนอยู่แล้ว ดังนั้น ชาวจีนมักจะใส่เงิน หรือธนบัตรลงในซองแดง เพื่อนำมามอบให้คนรู้จัก หรืออาจจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้ โดยปกติแล้ว ชาวจีนจะนิยมมอบ "อั่งเปา" ให้ในวันตรุษจีน วันแต่งงาน หรือในโอกาสเปิดกิจการใหม่ เพื่อเป็นการอวยพร

ส่วน "แต๊ะเอีย" เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วเช่นกัน โดย "แต๊ะ" แปลว่า ทับ หรือ กด ส่วน "เอีย" แปลว่า เอว เมื่อรวมกัน "แต๊ะเอีย" ก็หมายถึง "ของที่มากดหรือทับเอว" หรือ "ผูกไว้ที่เอว" คำนี้มีที่มาจากคนจีนสมัยก่อนจะใช้เงินเหรียญที่มีรูอยู่ตรงกลาง หากจะพกไปไหนก็ต้องร้อยเหรียญเป็นพวงมาผูกไว้ที่เอว และในเทศกาลตรุษจีน ผู้ให้ก็จะนำเชือกสีแดงมาร้อยเหรียญไว้ แล้วมอบให้ผู้รับ ทีนี้ผู้รับก็จะนำพวงเหรียญนี้มาผูกไว้ที่เอว เรียกว่า "แต๊ะเอีย" นั่นเอง

ส่วนในปัจจุบันไม่มีการใช้เงินเหรียญที่มีรูตรงกลางแล้ว "แต๊ะเอีย" จึงมีความหมายถึง "สิ่งของ" หรือ "เงิน" ที่ใส่ไว้ในซองสีแดง
ขอให้ทุกท่านรวยๆ เฮงๆ ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

cr: kapool.com

แหล่งที่มา   Facebook : SSO Savings Club,  เว็บไซต์ https://www.google.co.th/

ตั้งเป้า "เป็นที่ 1 ในสายอาชีพ"

คนจำนวนมาก ทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ
คนจำนวนเยอะ ทำงานที่ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้รัก
คนจำนวนน้อยนิด ทำงานที่รัก แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายเป็นที่ 1
มีเพียงคนน้อยกว่าน้อยเท่านั้นที่ทำงานที่รัก
และตั้งเป้า "เป็นที่ 1 ในสายอาชีพ"

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมโลกนี้จึงมีคนสำเร็จในสายอาชีพแบบสุดๆ น้อยมาก
ไม่ใช่เพราะโลกนี้มีคนเก่งน้อย
แต่เพราะแทบไม่มีใครคิดตั้งเป้าหมาย
"เป็นที่ 1 ในสายอาชีพ"

และเมื่อมันไม่เคยอยู่ในความคิด
มันก็เลยไม่เคยเป็นจริง
คิดว่าไหนๆ เราทุกคนก็ต้องทำงานอยู่แล้ว
ไหนๆ เราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปในการทำงานอยู่แล้ว

ทำไมเราไม่ตั้งเป้า "เป็นที่ 1 ในสายอาชีพ" ไปเลย?
มันคุ้มค่าทั้งกับตัวเราที่จะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าคนอื่น
แถมความสามารถของเรายังเกิดประโยชน์กับผู้คน
มากกว่าคนที่ตั้งเป้าธรรมดาๆ อีกด้วย

คงจะแข่งกันเหนื่อยแย่เลยสินะ
อยากเป็นที่ 1 ขนาดนั้นน่ะ
บางคนอาจคิดแบบนี้

แต่จะบอกความจริงสองอย่าง

หนึ่ง ตั้งเป้าหมายเป็นคนธรรมดาๆ กับตั้งเป้าหมายเป็นที่ 1
เหนื่อยต่างกันแน่ๆ
แต่ความสำเร็จที่ได้ก็ต่างกันมหาศาลมากๆๆๆๆ

สอง เมื่อเราตั้งเป้าหมายเป็นที่ 1 คู่แข่งเราจะน้อยมาก
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครทุ่มเทในงานขนาดนั้น
พวกเขามัวไปแข่งกันในตำแหน่งธรรมดาๆ

ที่หนึ่งในความหมายนี้
ไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่งจริงๆ
แต่หมายถึง "แถวหน้า" ในสายอาชีพ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องชิดใน ก็มีที่ว่าง

ไหนๆ เราก็เกิดมาทั้งทีแล้ว
มีชีวิตปกติ แต่อย่ามีชีวิตธรรมดา

มาเป็นที่ 1 กัน
ได้ข่าวว่าที่ตรงนี้ยังว่างอีกเยอะเลย

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?

ผู้ชายคนนึง

พอตื่นขึ้นมา เขาก็เปิดถังขยะ เอาขยะมาถูๆ ตัว
เท่านั้นยังไม่พอ เขาเดินตรงไปที่ท่อระบายน้ำ
เปิดฝาท่อ แล้วตักเอาน้ำเน่าในนั้นมาอาบ
เสร็จแล้วเขาก็ออกไปทำงาน

กลางวันเขารู้สึกตัวแห้งๆ ยังไม่รู้
ก็เลยหาน้ำถูพื้นของแม่บ้านมาราดตัวให้ชุ่ม

ตกเย็นกลับมาบ้าน
พอใกล้จะนอน เขายังเอาน้ำเน่าที่เหลือเมื่อเช้ามารดตัวอีกครั้ง

ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับความสงสัยทุกคืนว่า
"เมื่อไหร่ตัวข้าจะหอมซะทีวะ?"

! เป็นใครก็ต้องคิดว่าไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า
ชายคนที่พูดถึงไม่มีตัวตนจริงๆ หรอก

แต่ถ้าจะบอกว่า
เราหลายคนอาจเผลอทำพฤติกรรมคล้ายๆ ผู้ชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว
อ่ะจิงดิ?

เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดดูข่าวร้ายๆ ลบๆ ในทีวี
นั่งจิบกาแฟหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดข่าวอาชญากรรม
ขึ้นรถเปิดวิทยุ คนจัดรายการประโคมข่าวเศรษฐกิจแย่ๆ ให้ฟัง

กลางวันเรานั่งนินทาเจ้านายกับเพื่อนร่วมงาน

กลับบ้านมา เราก็หลับไปพร้อมกับละครตบตีกัน
ที่วันๆ ตัวละครไม่ต้องทำงาน คิดแต่เรื่องแย่งสามีชาวบ้าน

แล้วเราก็ได้นอนสงสัยว่า
"ทำไมไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างวะ?"

! ก็ไม่รู้สินะ ชีวิตมันจะดีได้ไง
ในเมื่อเราเอาแต่ของแย่ๆ พลังงานลบๆ เข้าไปในความคิด

จากประสบการณ์ตรง
"ชั่วโมงแรก" กับ "ชั่วโมงสุดท้าย" ของวันนั้น
เป็นอะไรที่สำคัญมาก

ชั่วโมงแรกจะเป็นดังหางเสือที่กำหนดอารมณ์ของวันนั้น
ชั่วโมงสุดท้ายจะเป็นตัวสรุปเรื่องราวของทั้งวันนั้น

ถ้าเราใช้กาแฟปลุกสมอง
ถ้าเราใช้อาหารปลุกร่างกาย
เราก็ต้องใช้ "เรื่องราวดีๆ" ปลุกพลังใจ

ซิก ซิกล่าร์ ปรมาจารย์ด้านความสำเร็จระดับโลก
พูดเรื่องนี้ไว้ได้ดีมาก
เขาถามว่า "คุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้ เดินเข้ามาในบ้าน
แล้วทิ้งขยะถุงใหญ่ไว้ในห้องนั่งเล่นในบ้านเรามั้ย?"
แน่นอนว่าไม่มีใครยอม

แล้ว ซิก ซิกล่าร์ ก็ปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า
"ถ้าคุณไม่ยอมให้ใครเอาขยะมาทิ้งในบ้าน
แล้วเรื่องอะไรคุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้เอาขยะมาทิ้งในจิตใจ?"

อ่านหนังสือดีๆ สักนิดยามเช้า
ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อย
แล้วก้าวออกจากบ้านพร้อมคำถามดีๆ ที่จะเป็นหางเสือของวันนี้ว่า
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?"

ถึงที่ทำงาน อยู่ให้ห่างจากคนที่ชอบจับกลุ่มกันบ่นๆๆ
ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะเรามาทำงาน ไม่ได้มาเล่น

กลับบ้านมาหาอะไรเบาๆ ประเทืองปัญญา ปิดท้ายวัน
แล้วหลับไปพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ในวันนี้ที่เราต้องขอบคุณ

อยากมีสุขภาพดี
เรายังพิถีพิถันเลือกอาหารที่จะเอามาใส่ปาก

อยากมีชีวิตที่ดี
เราก็ต้องพิถีพิถันเลือกสิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในความคิดของเรา

ลองทำดู
แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนแบบที่จำตัวเองในอดีตไม่ได้เลย
เอาล่ะ เริ่มด้วยคำถามนี้เลย!
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?"

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

20 ข้อ ที่ผู้ปกครองควรสอนลูก เรื่องของ "เงิน"

เมื่ออายุ 3-5 ขวบ
1. ให้เขารู้ว่า คนเรา ต้องการเงิน เพื่อซื้อสิ่งของ
2. ให้เขารู้ว่า คนเรา จะมีเงิน ต้องทำงานเพื่อแลกมา
3. ให้เขารู้ว่า บางครั้ง เราต้องรู้จักรอ ก่อนที่จะซื้ออะไรที่เราต้องการ
4. ให้เขารู้ว่า มันมีความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่ต้องการ กับ สิ่งที่จำเป็น

เมื่ออายุ 6-10 ขวบ
5. ให้เขารู้ว่า บางครั้งเขาต้องเลือกว่าจะใช้เงินไปกับอะไร
6. ให้เขารู้ว่า การซื้อที่ดี ควรเปรียบเทียบราคาก่อนที่จะซื้อ
7. ให้เขารู้ว่า การสั่งซื้อทางออนไลน์อาจมีอันตรายและอาจแพงเกินจริง
8. ให้เขารู้ว่า การเอาเงินไปฝากธนาคาร มันปลอดภัย และให้ดอกเบี้ย

เมื่ออายุ 11-13 ปี
9. ให้เขารู้ว่า ทุกครั้งที่ได้เงินมา ต้องแบ่งบางส่วนมาเพื่อออม
10. ให้เขารู้ว่า การใส่รหัส บัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัว ออนไลน์ อาจถูกคนอื่นขโมยข้อมูลได้
11. ให้เขารู้ว่า การออมก่อน รวยกว่า จากพลัง ดอกเบี้ยทบต้น
12. ให้เขารู้ว่า การใช้บัตรเครดิต ก็คือการกู้เงินมาใช้

เมื่ออายุ 14-18 ปี
13. ให้เขารู้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัย ค่าใช่จ่าย ค่าเทอม ไม่เท่ากัน
14. ให้เขารู้ว่า อย่าใช้บัตรเครดิตซื้อของที่ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายทีหลัง
15. ให้เขารู้ว่า มันมีภาษีนะ!!
16. ให้เขารู้ว่า ดีกว่าธนาคาร มันยังมีกองทุนรวม (*แปลงให้เข้ากับคนไทย)
เมื่ออายุ 19 ปีขึ้นไป

17. ให้เขารู้ว่า จงใช้บัตรเครดิตไม่ให้เกินเงินที่หาได้ในแต่ละเดือน
18. ให้เขารู้ว่า การทำประกัน เป็นเรื่องจำเป็น
19. ให้เขารู้ว่า ควรมีเงินออมฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้จ่ายอย่างน้อย 3 เดือน ของรายจ่ายรายเดือน
20. ให้เขารู้ว่า เมื่อคิดจะลงทุน ควรคิดถึง ความเสี่ยง และ ค่าใช้จ่าย ที่จะตามมา

Credit : moneyasyougrow.org
แหล่งที่มา   Facebook : Sinthorn

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัยการเงิน

ในประเทศญี่ปุ่นอินเทรนด์เรื่องกรุ๊ปเลือดสุดๆ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีลักษณะบุคลิกและนิสัยเป็นแบบใด โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆประเทศญี่ปุ่นนั้นมีการรวบรวมสถิติเกี่ยวกับลักษณะคนประเภทต่างๆ โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปเลือดซึ่งจะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่กำหนดพฤติกรรมต่างๆ ไว้ ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องการเงินในกระเป๋ากัน

กรุ๊ป A
เป็นคนที่มีระเบียบในชีวิต มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิดๆ พอน่ารัก

นิสัยการเงิน-กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บเงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋า เลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมักเชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า

นอกจากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่เสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันไปหมด

กรุ๊ป B
สาวใสหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก และพูดตรงจนใครๆ กลัวเชียวล่ะ

นิสัยการเงิน-เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้งก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดาย เงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง และบางครั้งก็มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่ายๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ) ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

กรุ๊ป O
สาวคนนี้มีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่

นิสัยการเงิน-คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็กๆ หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง

กรุ๊ป AB
เป็นสาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้างเกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน-ด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่างๆ ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดในการหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว

Credit from Sanook

แหล่งที่มา    Facebook : Investor Room

โฟกัสเป้าหมาย ไม่ใช่ที่ปัญหา....สำเร็จในชีวิต

"ไบรอัน เทรซี่" สุดยอดกูรูด้านพัฒนาตัวเอง
พูดถึงลักษณะของคนสองแบบไว้ได้อย่างน่าสนใจ

ในหนังสือ The Focal Point ของเค้าว่า
"คนสำเร็จคิดอยู่ตลอดเวลาว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร
และจะทำอย่างไรจึงจะได้มันมา
ในขณะที่คนไม่สำเร็จ
คิดและพูดแต่สิ่งที่เค้าไม่ต้องการอยู่ตลอดเวลา
เค้าคิดและพูดถึงคนที่เค้าโกรธเกลียด
พวกเค้าเอาแต่เฝ้าคิดว่าจะโทษใครดี
แล้วก็นั่งสงสัยต่อไปว่า ทำไมชีวิตไม่ดีขึ้นซะที?"

อ่านแล้วมันใช่เลย! เจ็บจี๊ด! เจ็บจริง!

ในความคิดผม ชีวิตของคนสองคนที่จะแตกต่างกันนั้น
ไม่ได้ต่างกันเพราะความสามารถ ต้นทุนเดิมที่มี
การศึกษา พ่อรวย หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่มันอยู่ที่สองคนนี้ "โฟกัส" เรื่องอะไร?
เคยมีช่วงนึงของชีวิต
ที่มองย้อนกลับไปแล้วเสียดายวันเวลามากๆ
เพราะวันๆ เอาแต่โฟกัส "ปัญหา" ไม่เคยหา "ทางแก้"
เอาแต่คิดว่า "คนนั้นผิด" "คนนี้แย่" ทำให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้
เรามันไม่ผิดเลย เราถูกทุกอย่าง
ซึ่งวิธีคิดแบบนั้นแท้จริงแล้ว "ผิดมหันต์"

ถ้าจะพูดว่าชีวิตเป็นหนี้บุญคุณการเปลี่ยนโฟกัส ก็คงไม่เกินไป
วันที่เข้าใจว่า คนอื่นจะมีส่วนทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างนี้หรือไม่
เราก็ทำอะไรไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้แน่ๆ ก็คือ
"ดึงความรับผิดชอบนั้นกลับมาที่เราทั้งหมด"
"ชีวิตพังเพราะใครรึเปล่า..ไม่รู้

แต่จากวันนี้ คนอย่างกูจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง"
วันนั้นบอกตัวเองอย่างนั้น
สิ่งที่เราคิดและพูดถึงตลอดเวลา
จะกลายมาเป็นอนาคตของเรา
ยิ่งเข้ารับผิดชอบชีวิตตัวเองมากเท่าไหร่
ยิ่งควบคุมอนาคตตัวเองได้มากเท่านั้น

อยากสำเร็จในชีวิต
ให้โฟกัสไปที่เป้าหมาย ไม่ใช่ที่ปัญหา
เลิกโทษคนอื่นได้แล้ว
โตโตกันแล้ว
เข้ารับผิดชอบชีวิตตัวเองซะที

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

บทเรียนราคาแพง จากคนขับ TAXI และเงิน 50 บาท!!!

แท็กซี่
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คุณคงเคยได้เห็น TAXI หรือเคยขึ้น TAXI กันมาบ้างใช่ไหม?

ใน Taxi คันนี้ มีแฟ้มเอกสารอยู่ตรงบริเวณ ที่กระบังกันแดด ด้านฝั่งผู้โดยสาร และในช่องใส่ของตรงกลางระหว่างที่นั่งคนขับ กับผู้โดยสารก็มีสมุด Note เล็กๆ มากมายใส่ไว้จนไม่เหลือที่ว่างเลย

บรรยากาศภายในรถนิ่งสนิท คนขับก็ขับรถไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งผมได้เปิดการสนทนาด้วยคำถามถึงเส้นทางการเดินทาง ที่เกี่ยวข้องเล็กน้อยกับประเด็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ

ถ้าหากว่าในตอนนั้นผมไม่ได้เริ่มบทสนทนานั้นขึ้นมา ผมก็คงไม่มีโอกาสได้มาแบ่งปันเรื่องนี้แน่ๆ ครับ
และนี้คือเหตุการณ์ เรื่องราว และบทเรียนที่เกิดขึ้นกับผม หลังจากการสนทนาของผม และคนขับ Taxi ได้เริ่มต้นขึ้นครับ…………

บทเรียนราคาแพง!!!

เมื่อผมเริ่มต้นบทสนทนาของผม ลุงคนขับก็พูดกลับมาด้วยเสียงที่สดใส และบอกว่าจะพยายามหาเส้นทางที่สะดวกและไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็วที่สุด

แล้วลุงคนขับก็ถามต่อว่า ผมได้จองเที่ยวรถสำหรับเดินทางต่อหรือยัง ต้องไปถึงให้ทันภายในเวลาเท่าไหร่? ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะปกติเมื่อผมใช้บริการ Taxi คนขับมักจะไม่ถามผมว่าผมจะต้องรีบเดินทางหรือไม่ จะถามก็แต่ว่าผมจะไปไหน ถ้าเขาไปได้ก็ OK ไปกัน

สิ่งที่ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียง และบางประโยคที่พูดคุยกัน (ซึ่งบางประโยคผมจำข้อความชัดๆ ไม่ได้จริงๆ ต้องขออภัย) ผมสัมผัสได้ว่า ลุงเขาทำงานอย่างมีความสุขครับ ดูแล้วลุงมีความสุขจากการขับรถมากๆ

เมื่อผมดูท่าทางแล้วว่าลุงคนขับคนนี้ น่าจะคุยกันได้ถูกคอ ผมก็ยิงคำถามอื่นๆ ไปอีก ทำให้บทสนทนายิ่งสนุกมากขึ้น

ลุงชื่อสมหมาย ขับรถมาแล้วมากกว่า 14 ปี มีรถเป็นของตัวเอง และทีมงาน 3 คัน!!! (มีทีมด้วยนะคร๊าบบ)

ลุงบอกว่า ปกติลุงจะขับรถบริเวณรอบนอก และตามต่างจังหวัดเป็นหลัก ไม่ค่อยได้ขับรถเข้าไปในใจกลางกรุงเทพสักเท่าไหร่ ลุงบอกว่ามีงานออกต่างจังหวัด ไปหัวหิน ไปเชียงราย ไปนู่น ไปนี่ เป็นประจำ!!

และด้วยความสงสัยใคร่รู้ของผม ผมก็ถามไปอีกว่า แล้วลุงหาลูกค้ายังไงล่ะครับ ถึงได้มีงานเดินทางบ่อยๆ (ผมแอบคิดเอาเองว่าลุงแกคงไปจอดรถ ดักรอแถวๆ สนามบินเพื่อรับฝรั่ง)

แต่คำตอบที่ลุงบอกผมมา มันต่างจากที่ผมคิดเลย

ลุงแกบอกผมว่า แกมีลูกค้าประจำ และมีคนแนะนำลูกค้าให้แกเสมอ พร้อมโชว์ตารางการจองรถยาวไปถึงปีหน้าเรียบร้อยแล้ว… OMG!

เฮ้ย!!! ตารางจอง TAXI ของลุงยาวไปถึงปีหน้าแล้ว…. และระหว่างที่ผมนั่งรถไปอยู่ ก็มีคนโทรมาติดต่อเป็นการส่วนตัว เพื่อจะให้ลุง หรือทีมงานของลุง ไปรับอีกด้วย…. บร๊ะ!… ไม่ธรรมดาซะแล้ว

ตอนช่วงที่รถติดไฟแดง ลุงคงคุยกับผมแล้วสนุก ก็เลยดึงเอา เอกสารต่างๆ ในรถ มาให้ผมดู ซึ่งทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมาก

ลุงบอกว่า ลุงจบแค่ ป.7 ภาษาอังกฤษก็งูๆ ปลาๆ…. ผมก็ถามว่า แล้วเวลาคุยกับฝรั่งทำยังไง? ลุงก็บอกว่าก็ใช้ภาษามือบ้าง เขียนบ้าง วาดบ้าง ก็ไปกันได้

แต่ที่อึ้งไปกว่านั้นคือ คนขับ Taxi คนอื่นๆ ที่อยู่ในเครือเดียวกับลุง มีคนนึงที่อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เขียนก็ไม่ได้ แต่ลุงก็สามารถช่วยให้เขาไปรับไปส่งชาวต่างชาติได้

ลุงได้ทำตารางตัวหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมา พร้อมเขียนตัวเลขกำกับเอาไว้ เวลาที่จะสื่อสารให้เพื่อนในทีมเขียนภาษาอังกฤษ ลุงก็จะบอกเป็นตัวเลขแทน เช่น ถ้าบอกว่าเลข 1 ก็เขียนตัว A ลงไปเป็นต้น

ยังไม่หมดครับ!..............

และที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ ก็คือ ตารางรายการของช่องทางต่างๆ ในสนามบิน

ลุงบอกว่า เวลาที่ลุงว่างๆ ลุงก็จะไปเดินสำรวจที่สนามบิน ว่ามันมีป้ายอะไรบ้าง และแต่ละป้ายอยู่ตรงไหน และมา list เป็นรายการทั้งหมดเอาไว้ เพื่อที่เวลาที่ชาวต่างชาติต้องการเดินทางไปที่ส่วนไหน ก็สามารถเลือกชี้จาก list รายการของลุงได้เลย ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายมากขึ้น แม้อาจจะสื่อสารกันไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน

ลุงบอกว่า…… “การทำการบ้านมาก่อน เป็นเรื่องสำคัญ ลุงทำการบ้านก่อนเสมอ และเมื่อทำการบ้านมาดี ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ลูกค้าพอใจ”

โอ้โห!! ลุงได้ปล่อยหมัดตรง เข้าหน้าผม ไปเต็มๆ อีก 1 ดอก ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ลุงถึงมีลูกค้าต่อเนื่องยาวข้ามเดือน ข้ามปี

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการทำการบ้านเพื่อลูกค้าเท่านั้นครับ แม้แต่กับชีวิตของลุงเอง ลุงก็มีการบริหารจัดการ และทำการบ้านเป็นอย่างดี ลุงมีการจดบัญชี รายรับ-รายจ่าย มีการบันทึกสิ่งสำคัญต่างๆ ในชีวิตเอาไว้แยกเป็นเล่มๆ แต่ละเล่มถูกแบ่งเอาไว้เป็นหมวดหมู่ ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย………….. อายไหมล่ะ…..

ลุงเล่าถึงรถว่า แกออกรถมือ 2 มาขับ เพื่อจะได้ผ่อนสบายๆ รายได้ที่ได้มาก็รับมาแบบพอกินพออยู่ แค่ทำแล้วลุงมีความสุข และลูกค้ามีความสุขก็พอ!!!

ลุงเอารูปของแผงวงจรของรถมาให้ดู แกบอกว่าตอนที่ว่างๆ อยู่บ้าน แกก็แกะรถออกมาดู แล้ววาดเอาไว้ แล้วทดสอบดูว่า ตรงไหนทำงานยังไง แกะอะไรออกแล้วอะไรดับ เพื่อทดลองว่าวงจรนี้ทำงานเชื่อมต่อกันอย่างไร เพื่อที่เวลาขับรถไปแล้วเจอปัญหาอะไรขึ้นมา ฉุกเฉินก็จะได้แก้ปัญหาได้เอง เพราะว่าไม่ใช่ช่าง ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เรียนรู้ หาวิธีการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย

ผมคิดในใจเลยว่า ผมจะต้องเอาเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้มาแบ่งปัน แก่ผู้คนแน่นอน

แล้วลุงก็ทำผม SHOCK อีกครั้ง!!!

ในตอนนั้น เมื่อเดินทางมาได้สักระยะ มิเตอร์บนรถขึ้นมาถึงประมาณ 115 บาท แล้ว ลุงเอามือมาปิดมิเตอร์เอาไว้ แล้วบอกผมว่า…….

“มิเตอร์มันจะขึ้นไปเท่าไหร่ก็ช่างมันนะครับ…. ผมคิดแค่ 100 ก็พอ”

OMG!!! อีกรอบ… ปกติ ผมใช้บริการ Taxi ผมเคยแต่ให้เงินเพิ่มเพราะอยากให้… นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายได้รับ ลุงลดให้ผมตั้งแต่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากทำอะไรให้ลุงเลยด้วยซ้ำ

ลุงเล่าต่อว่าทำแบบนี้เป็นปกติ เมื่อตอนช่วงน้ำท่วม ลุงก็วิ่งรถช่วยเหลือคนด้วย บางคนมิเตอร์ขึ้น 100 ลุงก็คิดแค่ 50 ก็พอแล้ว ช่วยๆ กัน เวลาที่มีลูกค้าเหมาไปต่างจังหวัด (ตอนแรกผมคิดว่าลุงได้รายได้เยอะๆ เพราะว่ารับฝรั่งไปต่างจังหวัด และได้รับเงินจากฝรั่งเยอะ เพราะฝรั่งชอบ แต่เปล่าเลย ผมคิดผิด)

หากค่าเดินทางไปต่างจังหวัดนั้นเหมาอยู่ที่ 1,500 บาท ลุงจะคิดราคาที่ถูกกว่านั้น ผมถามว่าทำไมล่ะครับ ในเมื่อก็เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ ไม่ได้ผิดอะไรนี่

ลุงบอกว่า ก็ถือว่าช่วยๆ กัน ลุงคำนวนเส้นทางมาก่อนแล้ว เส้นทางไหนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ลุงได้จดตารางคำนวณเส้นทาง ระยะทาง ความห่างของจุดเติมก๊าซ ปั้มน้ำมัน ฯลฯ เรียบร้อยแล้ว ทำให้ลุงสามารถคำนวณได้ว่า หากต้องเดินทางไป จังหวัดไหน อำเภอไหน จะมีค่าใช้จ่ายจริงๆ เท่าไหร่!!! แถมถ้าตีรถแบบ ไป – กลับ ลุงยังลดราคาให้อีก WOW WOW WOW

การที่ลุงทำการบ้านมาอย่างดี ทำให้ลุงสามารถพูดกับลูกค้าแบบตรงไป ตรงมาได้ และมั่นใจ ผมเชื่ออย่างยิ่งครับว่า นี่เป็น 1 ในสาเหตุสำคัญที่ช่วยมัดใจลูกค้าของลุงเอาไว้ได้

ลุงบอกว่า “บางคนเวลาลูกค้า จะเหมารถไปไกลๆ ก็มักจะคิดก่อนเลยว่า จะขาดทุน วิ่งไปแล้วถ้าไม่มีคนนั่งเที่ยวกลับก็ไม่คุ้ม ถ้าอย่างนั้นไม่รับดีกว่า แต่ลุงไม่ ลุงไป และไปในราคาที่ถูกกว่าด้วย เพราะคำนวณดูแล้ว เราอยู่ได้ อยู่อย่างพอเพียง เราก็สบายแล้ว เราไม่ได้ทำเพื่อให้เราได้มากๆ เราทำเพื่อให้เราอยู่ได้ และคนอื่นก็อยู่ได้”

ลุงแทบจะเฉือดผมให้ตายด้วยบทเรียนที่ยอดเยี่ยมสุดๆ

ผมถึงที่หมายพร้อมมิเตอร์ที่ขึ้นมาที่ 151 บาท และแน่นอนครับ ตามที่ลุงได้บอกผมเอาไว้ ลุงคิดเงินผมแค่ 100 บาทจริงๆ! ผมจะให้เพิ่มลุงก็ไม่เอา!!! และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทิปจาก Taxi 50 บาท

คำคมอื่นๆ ของลุงที่ผมได้ฟัง….
“อยู่อย่างพอเพียง มีความสุข และรักงานที่ทำ”
“ทำงานมันก็มีได้มากบ้าง ได้น้อยบ้าง คุยกันให้เข้าใจตั้งแต่แรก จะได้ไม่มีปัญหา”
“เราทำอะไร อย่าทำเพื่อมุ่งจะเอาผลกำไรมากๆ อย่างเดียว แต่ให้ทำเพื่อให้เราอยู่ได้ คนอื่นก็อยู่ได้”
“ถ้าแค่รอยยิ้ม ยังให้กันไม่ได้ คุณจะให้อะไรคนอื่นได้ และเมื่อคุณไม่รู้จักให้ใคร แล้วใครที่ไหนจะมาให้คุณ”
“อย่าอวดเก่ง เพราะยิ่งทำเป็นเก่ง ยิ่งหมดโอกาสเรียนรู้”
“พ่อแม่พี่น้อง คนรักกัน ยังทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับคนทั้งประเทศ”

สรุปบทเรียนสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย

คนส่วนใหญ่ มัวแต่เอาอาชีพของตัวเอง มาเป็นข้อจำกัดเรื่องรายได้ และความสุขของตัวเอง ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่างานอะไรก็ตามมันก็มีคุณค่า และสามารถช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้ทั้งนั้น และจุดเริ่มต้นทั้งหมดมันเริ่มมาจากตัวของเราเอง

ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการลงมือทำสิ่งต่างๆ รู้จักจัดการ การบริหารชีวิต และมีวินัยในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร คุณก็จะสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้แน่นอน

หากคุณต้องการมีรายได้มากขึ้น การทำการบ้านมาก่อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะยิ่งคุณทำการบ้านมาก่อนมากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีความมั่นใจ และมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และนั่นนำมาซึ่งช่องทาง โอกาส และรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

แต่เพียงแค่การหารายได้มากพอ ยังไม่ช่วยให้คุณมีความสุข และร่ำรวยได้ครับ คุณยังต้องมีการบริหารจัดการเงินที่ดีด้วย และวิธีการที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นคนมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็วที่สุดก็คือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพอเพียง

คนที่รู้จักพอเพียง แม้เขาจะได้รับรายได้ที่คนส่วนใหญ่มองว่ามันน้อยเหลือเกิน ทำงานที่อาจดูไม่น่าทำสักเท่าไหร่เลย แต่สำหรับตัวของเขาเอง เขาก็ร่ำรวย และมีมากพอที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้จากใจแล้ว

ทิ้งท้าย….
ยังมีอีกมายมายครับที่ผมได้รับจากการนั่ง Taxi คันนี้ กับคนขับที่ชื่อว่า ลุงสมหมาย

หากใครมีเพื่อนที่กำลังจะเดินทางมาจากต่างประเทศ และต้องการคนไปรับ-ไปส่งดีๆ สักคน ผมเชื่อว่าคุณไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เบอร์โทรของลุงสมหมาย มี 2 เบอร์ครับ 087-0522525 และ 087-5920230

บทความนี้ ขอเป็นพลังใจให้คนที่ตั้งใจทำดี และเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกๆ อาชีพว่า….. “ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร คุณก็มีรายได้ที่ดี และมีความสุขไปพร้อมกันได้แน่นอนครับ”

ที่มาhttp://pantip.com/topic/31429068
แหล่งที่มา    Facebook : ภาพแห่งสยาม

FAMILY

ฉันเดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ย "ขอโทษไม่ตั้งใจ"
เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ" เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัยแสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน

แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืน
ข้างหลัง ไม่ทันระวังฉัน หันกลับมาชนเธอล้มลง
"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่ลูกสาวแล้วเดินจากไป หัวใจเธอคงปวดร้าว

คืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ
กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้. กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอ
ดูที่พื้นครัวสิ ดอกไม้หลากสีที่ลูกอุตส่าห์
เก็บมาหวังให้เจ้าแปลกใจ ตกเกลื่อนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอใหล เหตุใดไม่แลเห็น

ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อยๆ ย่องเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างเตียงลูก
"ตื่นเถิดคนดีดอกไม้นี่ลูก เก็บมาให้แม่หรือ"
ลูกตอบ " ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบโดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"
ฉันตื้นตันใจนัก " ลูกรัก แม่ขอโทษจริงๆ ที่เอ็ดหนู"
"แม่จ๋าไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่ "
"แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ้ะ"

หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้
อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้
แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต
ลองคิดดูว่าคุ้มไหมหากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว

รู้ไหมคำว่า FAMILY ย่อมาจาก
FATHER
AND
MOTHER
I
LOVE
YOU.

ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง
รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกัน
หากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่
จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?

แหล่งที่มา     Facebook  :  Wizard Kid

สุข กับ ทุกข์ ... ใกล้กันมาก

สุข กับ ทุกข์ นั้นมีรสชาติต่างกันลิบลับราวกับอยู่คนละขั้วเลย
แต่ที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้กันมาก
ไม่ต่างจากภูเขากับหุบเหว

ภูเขาอยู่ที่โน่น มองลงมาจากยอดเขาก็เห็นหุบเหวที่นั่น
ฉันใดก็ฉันนั้น
สุขย่อมมีทุกข์พ่วงติดมาด้วยเสมอราวกับฝาแฝดอินจัน

เราสุขด้วยอะไร...
ก็มักจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นเสมอ

ถ้าเงินทอง บ้าน ที่ดิน และรถยนต์ทำให้เราเป็นสุข
ไม่นานมันก็จะนำความทุกข์มาให้

ความทุกข์บางครั้งก็เข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันมีใครมาแย่งมาขโมยทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเลย
เราก็เป็นทุกข์เสียแล้ว

เราอาจจะทุกข์เพราะความห่วงกังวล
ทุกข์เพราะต้องคอยเฝ้าดูแล
ทุกข์เพราะมันไม่เป็นดังใจ ฯลฯ
เรื่องที่จะทำให้ทุกข์นั้นมีมากมายสารพัด

พระไพศาล วิสาโล

แหล่งที่มา    Facebook : คลินิกภาษี กระทรวงการคลัง

สร้างโอกาสให้ตัวเอง

จงเป็นนักสร้างโอกาสให้ตัวเอง
โอกาสส่วนใหญ่ไม่เคยอยู่ที่บ้าน
โอกาสมักมากับผู้คน
การพบปะผู้คนจึงคือการสร้างโอกาส

แม้จะชอบอยู่บ้านแค่ไหน
แต่ก็ชอบการพบผู้คนไม่แพ้กัน
เพราะมันคือการต่อจุดเชื่อมโยงไปยังอนาคตที่เรายังมองไม่เห็น

ว่ากันว่าโชคดีไม่เคยหล่นจากฟ้า
แต่มาจากผู้คนที่เราพบเจอ
พบคนดี พบคนเก่ง
เราก็จะเจอโอกาสดีๆ โอกาสเจ๋งๆ
และแน่นอน "สร้างโอกาส" กับ "ฉวยโอกาส" นั้นไม่เหมือนกัน

เราจึงต้องต่างคนต่างสร้างโอกาสซึ่งกันและกัน
ไม่ใชรอรับโอกาส แต่ไม่เคยให้โอกาสใครเลย
ครับ! จงเป็นนักสร้างโอกาสให้ตัวเอง
ด้วยการพบผู้คน

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

8 โรคเรื้อรังที่รักษาฟรีได้ด้วยสิทธิประกันสังคม

ใครรู้บ้างว่า 8 โรคเรื้อรังที่รักษาฟรีได้ด้วยสิทธิประกันสังคมมีอะไรบ้าง??
  1. เบาหวาน
  2. ถุงลมโป่งพอง
  3. ตับอักเสบเรื้อรัง/ตับแข็ง
  4. ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  5. หัวใจล้มเหลว
  6. ความดันโลหิตสูง
  7. มะเร็ง (10 ชนิด)
  8. โรคหลอดเลือดสมอง (CVA)
แหล่งที่มา    Facebook : KBank Live

ฝังรายการในทีวีดิจิตอล

 เครดิต : kittinun
แหล่งที่มา    Facebook : มั่วหุ้น : การวิเคราะห์หุ้นมั่วๆ

เรื่องที่โรงเรียนไม่เคยสอน‬

แบงก์ชาติร่วมกัยสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจระดับทักษะด้านการเงินของคนไทยในปี 2556 โดยใช้แนวทางการสำรวจจาก OECD จำนวนตัวอย่าง 10,627 คน ช่วงอายุตั้งแต่ 15-89 ปี ทั่วทั้งประเทศไทย
ผลปรากฏว่า
  1. คนไทย มีทักษะด้านการเงิน คิดเป็นคะแนน 58.5% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ 14 ประเทศที่เข้าร่วมโครงการกับ OECD
  2. มีคนไทยมากถึง 30% ที่มีระดับความรู้อยู่ในเกณฑ์ต่ำ
  3. แต่พฤติกรรมการใช้เงินและทัศนคติต่อเงิน อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 60%
  4. คำตอบที่ผิดมากที่สุด เป็นเรื่อง การคำนวนดอกเบี้ยทบต้น, นโญบายคุ้มครองเงินฝาก และ มูลค่าเงินตามเวลา
  5. สำรวจเมื่อปี 53 เทียบกับปี 56 พบว่า ความรู้ด้านการเงินของคนไทยแทยไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย
และนี่คือ ส่วนหนึ่งของคำถามที่แบบสำรวจถามไป
แหล่งที่มา    Facebook : Sinthorn

ทุกคน...มีข้อดีของตัวเอง

ฟ้ามีความสูงของฟ้า ผืนดินมีความลึกหนาของมัน ไม่ต้องไปเทียบ
เหมือนคน แต่ละคนก็มี ข้อดีของตัวเอง
ลมมีอิสระของลม
เมฆมีความอ่อนโยนของเมฆ
คนก็มีบุคคลิกของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องเลียน แบบกัน

สิ่งที่เห็นว่าสนุกก็ไปตามหาสิ่งที่เห็นว่าคุ้มค่าก็ไปเฝ้ารอ
สิ่งที่เห็นว่าเป็นความสุขก็ควรหวงแหนไว้
ปฏิบัติตามจิตได้ ก็ไม่เสียใจในชาตินี้....

ชีวิตคนมี 1 หนทาง ทางเดินของตัวเอง
แต่มีของมีค่าอยู่ 2 อย่าง.....สุขภาพกาย สุขภาพจิต
มีเพื่อน 3 ประเภท.....ให้หยิบยืม, ร่วมงานมงคล, ร่วมงานโศกเศร้า
ชีวิตคนมี 4 ทุกข์.....มองไม่ทะลุ, สละไม่ลง, แพ้ไม่เป็น, ปล่อยวางไม่ได้

คนเรามี 5 คำพูด.....ยิ่งลำบากยิ่งต้องสู้, ยิ่งดียิ่งถ่อมตน, ยิ่งแย่ยิ่งต้องเชื่อมั่น, ยิ่งมียิ่งประหยัด, ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งมีน้ำจิตรน้ำใจ

คนมีทรัพย์สมบัติอยู่ 6 สิ่ง.....ร่างกาย. ความรู้. ความฝัน. ทัศนคติ. ความเชื่อมั่น และ ความกล้าหาญ

Credit : ส่งต่อกันมาใน Line (อีกแล้ว)

แหล่งที่มา     Facebook : Sinthorn

กฏแรงดึงดูด

หลังๆ เริ่มกลัวตัวเอง
เพราะ "กฏแรงดึงดูด" ทำงานแรงมากกกก

เชื่อมั้ยว่า อยากให้อะไรเกิดขึ้นกับชีวิต
แค่คิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ พูดว่าอยากได้สิ่งนั้นบ่อยๆ
ไม่นาน แล้วมันก็จะเกิดขึ้นจริงๆ

เช่น อยากได้ความรู้เรื่องที่กำลังค้นหา
ก็จะเดินไปเจอหนังสือเล่มที่สอนเรื่องนั้น
พูดตรงๆ ทุกสิ่งที่มีในวันนี้  ดึงดูดมาทั้งหมด
งานที่ทำ ไลฟ์สไตล์ชีวิต รายได้

มันคือสิ่งที่เคยอยากให้เกิดขึ้นในชีวิต  คิดถึงมันตลอด
แล้ววันนี้มันก็เป็นจริงแบบนั้นเป๊ะเลย
จนชักจะกลัวตัวเองว่า

เฮ้ย! เรา "สั่งได้" ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!
ล่าสุดเมื่อวานไปร้านแบล็คแคนย่อน
สั่งยำปลาแซลมอน
คุณ! ไม่น่าเชื่อ!!
ได้ยำปลาแซลมอน!!!
สุดยอด!

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

ยิ่งเก่งมาก คู่แข่งยิ่งน้อย vs ยิ่งเก่งน้อย คู่แข่งยิ่งมาก

บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด

ยิ่งเก่งมาก คู่แข่งยิ่งน้อย
ยิ่งเก่งน้อย คู่แข่งยิ่งมาก

คนเงินเดือนไม่กี่พันไม่กี่หมื่น
ต้องแย่งหางานกัน
ในขณะที่คนเงินเดือนหลายแสนหรือเป็นล้าน
ถูกซื้อตัว ถูกเชิญให้ไปทำงานให้

ฟังแล้วน่าหมั่นไส้ แต่มันคือเรื่องจริง
จึงตั้งใจให้เรื่อง "การพัฒนาตัวเอง"

เพราะถ้าใครคนนึงเข้าใจว่า
ถ้าเขาอยากก้าวจากจุด A ไปสู่จุด B
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็แค่
"พัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับจุด B"

แล้วเขาก็จะไปถึงจุด B เองในที่สุด
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง
มันไม่มีเคล็ดลับอะไรมากไปกว่านี้จริงๆ

เพราะความรู้ ทักษะ ความสามารถ
หรืออะไรก็ตามที่เคยพาเรามาได้ถึงจุด A
ไม่มีวันจะพาเขาไปถึงจุด B ได้ ถ้าเรายังเก่งเท่าเดิม

อย่าประนีประนอมกับความสำเร็จ
อย่าคิดว่าคนอย่างเราเท่านี้ก็ดีแล้ว
ตั้งเป้าไปเลย ว่าคนอย่างเราต้องดีให้ได้
เราต้องเป็น Top10% ของสายอาชีพเรา
แล้วคู่แข่งจะน้อยยิ่งกว่าน้อย

แล้ววันนั้นเราจะหล่อเลือกได้
แล้ววันนั้นเราจะสวยจนคนต้องกดบัตรคิว
บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด....ยืนยัน

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ศาลเจ้าเห้งเจีย วัดสามจีน

ศาลเจ้าชื่อดังย่านเยาวราชลำดับต้นๆ ไม่มีใครไม่รู้จัก "ศาลเจ้าเห้งเจีย" หรือศาลเจ้าไต้เสี่ย ฮุกโจ้ว  ภายในวัดสามจีน หรือวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่ดั้งเดิมองค์เจ้าพ่อเห้งเจียได้ถูกอัญเชิญมาจากประเทศจีนโดยเรือสำเภา  ล่องมาตามแม่น้ำนครชัยศรี เทียบเท่าที่วัดนางสาว

จนกระทั่งเมื่อปี 2482 มีผู้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดสามจีนในอดีต หรือวัดไตรมิตรฯ ในปัจจุบัน

ภายในศาลโดดเด่นด้วยองค์เจ้าพ่อเห้งเจีย  เป็นปางไต้เสี่ยฮุกโจ้ว หมายถึง บางสำเร็จเป็นอรหันต์ ประทับนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว  เป็นองค์เทพที่แกะสลักขึ้นจากไม้มงคลโบราณ  ลงรักปิดทองที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี  นับเป็นองค์เจ้าพ่อเห้งเจียองค์แรกของประเทศไทย  ซึ่งอยู่คู่วัดสามจีนมายาวนานร่วม 200 ปี

ไฮไลต์สำคัญอยู่ทุกวันที่ 13 ก.ย. ของทุกปี จะมีงานฉลองแซยิดบวงสรวงบูชาองค์เจ้าพ่อเห้งเจีย  โดยชาวจีนเชื่อว่า ในวันนั้นองค์ท่านจะลงมารับเครื่องบูชาและโปรดเมตตาต่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

ตามความเชื่อ เมื่อสักการะแล้วจะมีผู้คอยดูแลทุกข์สุขและป้องกันภัยต่างๆ ไม่ให้กล้ำกราย โดยเปิดให้สักการะองค์ท่านทุกวัน  ตั้งแต่เวลา 8 โมงเข้า ถึง 5 ทุ่ม

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันrพฤหัสบดีที่ 23 ม.ค. 57 (561)

กระจกสะท้อน การกระทำของเราเอง

ชายคนหนึ่งกับลูกชายวัยซน กำลังเดินเที่ยวอยู่ในป่าบนภูเขา
ทันใดนั้น เท้าเด็กน้อย ได้สะดุดกับหินก้อนโต และ เจ็บแปลบ จึงร้องเสียงหลง "โอ๊ย!!"
แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมาจากภูเขาว่า... "โอ๊ย!!"
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ้าหนูจึงตะโกนถาม "เจ้าเป็นใคร"
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ... "เจ้าเป็นใคร!!"
ด้วยเหตุนี้ ความโกรธของ เจ้าหนู ก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
แล้วตะโกนสุดเสียงกลับไปอีก
ว่า "เจ้าคนขี้ขลาด"
และเสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า "เจ้าคนขี้ขลาด!!"

เด็กน้อยตาโต...มองหน้าพ่อ ที่เดินเข้ามาหา แล้วถามว่า "พ่อครับ...เกิดอะไรขึ้น"
ผู้เป็นพ่อ ยิ้มบางๆ ก่อนตอบ "ลูกรัก...ฟังให้ดีนะ"
จากนั้นจึงหันไปทางหน้าผา ภูเขาสูง แล้วตะโกน... "ผมชื่นชมในตัวคุณ"
เสียงนั้นตอบกลับมาว่า... "ผมชื่นชมในตัวคุณ!!"
พ่อตะโกนต่อไปอีกว่า... "คุณยอดเยี่ยมมาก"
และเสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า... "คุณยอดเยี่ยมมาก!!"
สร้างความฉงนให้กับเจ้าหนูงนัก

พ่อหันมองลูกชาย...ก่อน
อธิบายว่า...
"คนทั่วไป เรียกเสียงนี้ว่า 'เสียงสะท้อน' แต่จริงๆ แล้ว มันคือ 'ชีวิต'...
ชีวิต...มักจะคืนให้ในสิ่งที่เรา    ให้ออกไป
ชีวิต...เป็นกระจกสะท้อนการ    กระทำของเรา....

ถ้าลูกอยากได้รับความรักมากขึ้น...จงหยิบยื่นความรักออกไปมากขึ้น!
ถ้าลูกอยากได้รับความเมตตา กรุณามากขึ้น.จงให้ความกรุณา มากขึ้น
ถ้าลูกอยากได้ความเข้าใจ และความนับถือ...ลูกจงให้
ความเข้าใจ และนับถือ

ถ้าลูกอยากให้คนอดทนและ
ให้เกียรติลูก...ลูกจงอดทน และให้เกียรติคนอื่น

กฎเหล่านี้ ใช้ได้กับชีวิต ทุกด้านของเราเลยลูกเอ๋ย...
"จงจำไว้ว่า ชีวิตมักคืนให้ ในสิ่งที่เราให้ออกไป
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ไม่ใช่เหตุบังเอิญ...
หากแต่ เป็นกระจกสะท้อน การกระทำของเราเอง..."

Credit :: ส่งต่อใน Line

แหล่งที่มา   Facebook : Sinthorn

ถ้ามีโอกาสเข้ามา...จงรับไว้ไม่ว่าพร้อมหรือไม่

ถ้าวันนั้นรอให้พร้อมก่อน
โทรศัพท์สายนั้นก็คงไม่เปลี่ยนชีวิตผม

"ทุกอย่างในชีวิต เราไม่เคยเริ่มมันในวันที่เราพร้อมเลยสักครั้ง"
ตอนหัดเดิน พร้อมมั้ย? ไม่พร้อม
ตอนสอบเข้า พร้อมมั้ย? ไม่พร้อม
ตอนทำงานครั้งแรก พร้อมมั้ย? ไม่พร้อม
ตอนมีความรัก พร้อมมั้ย? ไม่พร้อม
แล้วจะไปรอให้พร้อมทำไม?

ถ้ามีโอกาสเข้ามา คว้ามันไว้
พร้อมไม่พร้อมก็คว้ามันไว้
แล้วรีบทำตัวให้คู่ควรกับโอกาสที่คว้ามา

ใครจะรู้ล่ะว่า
โอกาสที่เราคว้ามา อาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
เหมือนที่ตัดสินใจรับโทรศัพท์สายนั้นก็ได้
"กริ๊งงงงงงง" โทรศัพท์ดังแล้ว
คุณจะรับโอกาสนี้มั้ย?

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องแปลกของพ่อแม่ลูก

เวลาไม่มีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงิน ...
คนแรกที่คิดถึง คือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ...
คนแรกที่คิดถึง คือพ่อและแม่
แต่พอมีรถ ...
คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ...
มีไว้สำหรับ แฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน ... กลับมีสำหรับพ่อและแม่

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ...
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน ...
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ...
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ...

เวลาเรามีความสุข ...
มักจะมองหา แฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์ ...
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดฉลองและสังสรร
แต่คนที่ดีใจที่สุด คือพ่อและแม่ ...

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรา มองข้ามไป ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ...
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย ..เพื่อให้ลูกได้ดี แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ ... คือผู้ฝ่าฟันปัญหา เป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่เมื่อลูกมีปัญหา กับแฟน กับการเรียน ... มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ???

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรก ที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ เพื่อคุณพ่อคุณแม่ ของคุณหรือยัง ?

แปลกมะ...ที่บางวัน ตื่นมาพร้อมกับคนที่รู้จักกันไม่ถึง 1 วัน
แปลกมะ... ที่คนที่คุณบอกว่ารักเค้า กลับทิ้งคุณไป
แปลกมะ... ที่เราต้องส่งเมล์ ให้กับคนที่ทำงาน อยู่โต๊ะติดกัน
แปลกมะ...ที่วันเกิดเรา พ่อแม่ดีใจที่สุด แต่เรากับไปทานข้าวกับคนอื่น
แปลกมะ... ที่เราต้องพูดจาเพราะ ๆ เพื่อให้เค้ายอมรับ แต่ไม่เคยพูดครับคะ กับพ่อแม่ตัวเอง
แปลกมะ... ที่เพื่อนโทรมาชวนเรา เวลาไหนเราก้อออกไป แต่พ่อแม่จะมาหาเรา กลับบอกไม่ว่าง
แปลกมะ... ที่เรารักใครบางคน ที่ไม่กล้าจับแม้กระทั่ง กางเกงในของเรา แต่เรากลับเบื่อ เสียงเตือนของคน ที่ล้างก้นเรา ได้มากกว่าสิบปี
แปลกมะ... ที่คุณทำอะไรได้ทุกๆสิ่ง เพื่อใครบางคน แต่คุณไม่เคยทำ สิ่งที่พ่อแม่แอบดีใจ
แปลกมะ... ที่เรารักเพื่อนที่เคย เลี้ยงข้าวเราเพียง 1 มื้อ แต่เรากลับไม่เคยส่งเงิน ให้กับคนที่เลี้ยงข้าวเรา มาสิบกว่าปี
…แปลกมะ...ที่คุณยังรอ ที่จะทำบุญกับท่าน ในวันที่ท่านไม่อยู่....
แปลกจริง

แหล่งที่มา    Facebook : Wizard Kid

พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหารของประเทศในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้ง ฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชนเมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น โดยมีคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินติดตามสถานการณ์เพื่อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันที่ประกาศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสามารถออกข้อกำหนดบางประการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว เช่น
  • ห้ามมิให้มีการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือ
  • ห้ามเสนอข่าวที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือ
  • เจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือ
  • ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นต้น
(มาตรา 5 และ 9 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548)

อนึ่ง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อใช้ พ.ร.ก.ฯ ในวันที่ 22 ม.ค. 2557 นี้นับเป็นครั้งที่ 7 นับแต่มีการใช้ พ.ร.ก. นี้มา โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553


แหล่งที่มา    Facebook : Matra Law,   www.matralaw.com,  ThaiPBS  

"ความรัก" ส่วนหนึ่งของชีวิต

หลายๆ คนเคยมีความรัก
และคิดฝันไว้ว่ามันคงจะลงเอยด้วยการ
... อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต

แต่โลกแห่งความเป็นจริง
รักของเราไม่ได้เป็นไปตามฝัน
บ้างมีผิดหวัง บ้างมีสมหวัง
บางครั้งมีเจ็บช้ำ บางครั้งมีสุขสันต์
เพื่อให้เราเข้าใจว่ามันคือ "ชีวิต"

ท้ายที่สุดแล้ว...
"ความรัก" จึงเป็นได้เพียง "ส่วนหนึ่ง" ของชีวิต
ไม่สามารถเป็น "ทั้งหมด" อย่างที่หลายๆ คนบอกไว้

ดังนั้น...
ความรักที่คิดว่า "เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต"
อาจจะเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไรนัก
.
.
เพราะบางทีแล้ว...
เราอาจจะไม่ต้องไปฝันไกล
ถึงขนาดให้ "ความรัก" อยู่กับเราไปตลอดชีวิต

ขอแค่เพียงเวลาที่เรามีอีก "ชีวิต" อยู่ "เคียงข้าง"
เราได้พยายามใส่ใจ และดูแลกันและกันให้ดีที่สุด
... แล้วหรือยัง?

แหล่งที่มา   Facebook : TaxBugnoms

เริ่มต้น...ไม่เวิร์ค+ไม่ง่าย...สู่ความสำเร็จ

มีความจริงอยู่ 2 ข้อที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
ทั้งที่มันเป็นความจริงที่เบสิคมากๆ

ความจริง 2 ข้อนั้นก็คือ
หนึ่ง ไม่มีอะไรเวิร์คตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
สอง ไม่มีอะไรง่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

จึงมักแปลกใจเสมอที่คนส่วนใหญ่ไม่ลองทำอะไรใหม่ๆ
เพราะเขาบอกว่า "ไม่เอาอ่ะ มันยาก"
หรือไม่ก็ลองทำไปแค่ครั้งสองครั้ง
แล้วพอไม่สำเร็จ ก็รีบบอกว่า
"เห็นมะ ไม่เวิร์คจริงๆ ด้วย"

มันเป็นคำพูดที่ธรรมดาๆ แต่แปลกมาก
เพราะโดยธรรมชาติมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ขึนทำไปเรื่อยๆ ตอนแรกเวิร์ค หลังๆ ไม่เวิร์ค
หรือทำตอนแรกง่าย หลังๆ ชักเริ่มยาก
แบบนั้นเราต้องทำอะไรผิดสักอย่างแน่นอน

มันต้องยากก่อน แล้วถึงจะค่อยๆ ง่าย
มันต้องไม่เวิร์คก่อน แล้วถึงจะค่อยๆ เวิร์ค
ชีวิตคือการ Trial & Error หรือการลองผิดลองถูก
เราต้องค่อยๆ ปรับแก้กันไปเรื่อยๆ

ดีซะอีกที่มันยังไม่เวิร์ค
แสดงว่ายังมีโอกาสให้เราลองทำอะไรแล้วเวิร์คได้อีกเยอะเลย
เพราะฉะนั้นใครที่กำลังเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ อยู่
แล้วรู้สึกว่ามันยากว่ะ มันไม่เวิร์คว่ะ

อยากจะบอกว่า "คุณเดินมาถูกทางแล้ว"
อดทนอีกนิด เดินไปอีกหน่อย
ให้โอกาสอีกสักครั้ง สู้มันอีกสักตั้ง
อย่าเปลี่ยนถนนบ่อยๆ
ไม่นานถนนสายนี้แหละ ที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ

อย่าลืมนะ
ไม่มีอะไรเวิร์คตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่มีอะไรง่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นจะบ่นไปใยว่ามันยาก มันไม่เวิร์ค?
มันก็แค่ "ยัง" ไม่เวิร์ค
มันก็แค่ "ยัง" ไม่ง่าย
เดินต่อไป เดี๋ยวมันก็ง่าย เดี๋ยวมันก็เวิร์ค
ก็เท่านั้นเอง จริงมั้ย?

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

สิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน

ประกาศคณะกรรมการแพทย์ตามพระบัญญัติประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๕๔ (ประกาศกรณีฉุกเฉิน)

เนื่องจากมีความจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร่งด่วน มิฉะนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด โดยผู้ประกันตนหรือญาติหรือผู้เกี่ยวข้องจะต้องรีบแจ้งให้โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทราบโดยด่วน เพื่อจะได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลต่อไป สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งให้โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทราบสำนักงานประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) ตามประเภทและอัตราที่ประกาศกำหนด

ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดเนื่องจากมีความจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร่งด่วน มิฉะนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด

โดยผู้ประกันตนหรือญาติหรือผู้เกี่ยวข้อง จะต้องรีบแจ้งให้โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯทราบโดยด่วน เพื่อจะได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลต่อไป สำหรับค่ารักษาพยาบาล ที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งให้โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทราบ

สำนักงานประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) ตามประเภทและอัตราที่ประกาศกำหนด ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกินอยู่ในความรับผิดชอบของสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ นับตั้งแต่เวลาที่สถานพยาบาลตามบัตรฯ ได้รับแจ้ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------
เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ไม่ว่ากรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเบิกได้ ดังนี้
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ป่วยนอก
สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น

ผู้ป่วยใน
สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยกเว้น ค่าห้องและอาหารเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท

*** กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินผู้ประกันตนสามารถขอรับค่าบริการทางการแพทย์ได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง

----------------------------------------------------------------------------------------------------
เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
กรณีผู้ป่วยนอก
  • สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท
  • สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงเกินครั้งละ 1,000 บาท ได้หากมีการตรวจรักษาตามรายการในประกาศ ดังนี้
    • การให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด การฉีดสารต่อต้านพิษจากเชื้อบาดทะยัก
    • การฉีดวัคซีนหรือเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเฉพาะเข็มแรก การตรวจอัลตร้าซาวด์
    • กรณีที่มีภาวะฉุกเฉินเฉียบพลันในช่องท้อง การตรวจด้วย CT - SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด การขูดมดลูก
    • กรณีตกเลือดหลังคลอดหรือตกเลือดจากการแท้งบุตร ค่าฟื้นคืนชีพและกรณีที่มีการสังเกตอาการในห้องสังเกตอาการตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป
กรณีผู้ป่วยใน
  • ค่ารักษาพยาบาล กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท
  • ค่าห้องและค่าอาหารไม่เกินวันละ 700 บาท
  • ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลกรณีที่รักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 4,500 บาท
  • กรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ  8,000 - 16,000 บาท ตามระยะเวลาการผ่าตัด
    • การฟื้นคืนชีพรวมค่ายาและอุปกรณ์ไม่เกิน 4,000 บาท
    • ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหรือเอกซเรย์ เบิกได้ในวงเงินไม่เกินรายละ 1,000 บาท
    • กรณี มีความจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยพิเศษ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง การตรวจคลื่นสมอง การตรวจอัลตร้าซาวด์ การสวนเส้นเลือดหัวใจและเอกซเรย์ การส่องกล้อง การตรวจด้วยการฉีดสี การตรวจด้วย CT - SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด
ข้อมูล ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556

คลองมอญ

"คลองมอญ" เป็นคลองธรรมชาติอยู่ระหว่างเขตบางกอกน้อย และบางกอกใหญ่  ปลายคลองแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกบริเวณข้างราชนาวิกสภา

ผ่านคลองบ้านขมิ้นซึ่งเป็นคูเมืองเดิมไปออกยังคลองบางขุนศรีหรือคลองชักพระ ซึ่งเป็นลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมจนถึงวัดเกาะ

หรือบางแห่งเรียกคลองสายนี้ที่ไหลผ่านว่า คลองบางเสาธง หรือบางทีก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคลองบางกอกน้อย แต่โดยรวมมักเรียกกันว่า คลองมอญ ตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี

คลองมอญมีความยาวประมาณ 3 กม. วัดสำคัญริมฝั่งคลองมีหลายวัด ได้แก่ วัดเครือวัลย์ วัดนาคกลาง วัดพระยาทำ วัดครุฑ วัดโพธิ์เรียง วัดบางเสาธง วัดปากน้ำฝั่งใต้ วัดเกาะ เป็นต้น

ตามประวัติ "คลองมอญ" มีนามสัมพันธ์กับเม้ยทอ หรือท้าวทรงกันดาร (ทองมอญ) ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งให้เป็นท้าวทรงกันดาร อธิบดีพระคลังฝ่ายในและเป็นใหญ่ในบรรดาฝ่ายในทั้งหมด ซึ่งชาววังนิยมเรียกท่านว่า "ท้าวทรงกันดารทองมอญ"

เมื่อบ้านของท่านท้าวทรงกันดาร (ทองมอญ) อยู่ระหว่างเขตบางกอกน้อยและบางกอกใหญ่ ปลายคลองแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก

พร้อมกันนี้ยังมีข้าทาสบริวารจำนวนมากอยู่กันอย่างหนาแน่น  ผู้คนในสมัยนั้นจึงนิยมเรียกคลองย่านนั้นว่า "คลองมอญ" และยังคงเรียกติดปากมาจนถึงทุกวันนี้

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันrอังคารที่ 21 ม.ค. 57 (559)

ตัวเลือก...2 ตา + 2หู > 1ปาก ..... 2มือ ==> สมอง

ตัวเลือกสำหรับเรื่องราวนี้

เรามีสองตา ..
เพื่อที่จะให้มองอะไรได้รอบด้าน

เรามีสองหู ..
เพื่อที่จะได้ยินอะไรชัดเจนขึ้น

แต่เรามีเพียงหนึ่งปาก

เพื่อที่เราจะได้ "ดู" และ "ฟัง"
... มากกว่าเอาแต่ "พูด"
.
.
แต่พระเจ้าคงหลงลืมไปว่า
โลกนี้มี "อินเตอร์เน็ต"
เราจึงสามารถใช้ "สองมือ"
กระหน่ำรัวนิ้วใส่คีย์บอร์ด
ชนิดที่เรียก
เพื่อที่จะทะเลาะกันต่อ
บนโลก "ออนไลน์"
.
.
แต่อย่างน้อย
เราทุกคนล้วนโชคดี
ที่มี "สมอง" อันเดียว

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ออมในหุ้น

หลักยึด 10 ประการของการ ออมในหุ้น
  1. หุ้นนั้นๆ ต้องเป็นเสมือน ที่ดินในทำเลดี คือ มีอนาคต ..ซื้อหุ้นดี ก็เหมือนซื้อที่ดิน
  2. หุ้นนั้นๆ จะต้อง มีปันผล ให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ และมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการโตของกิจการ
  3. เราจะต้องซื้อแล้วถือหุ้นนั้นๆ เสมือนเรามีดินทำเลดี ที่เราไม่อยากขายชั่วชีวิต คือ มองหุ้นเป็นห่านทองคำ ที่จะออกไข่ทองคำเลี้ยงเราจนตาย
  4. เราควรซื้อหุ้นนั้นๆ ในเวลาที่เขามีวิกฤต และเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ขายหุ้นนั้นๆ ซึ่งเราอาศัย Technical เรื่อง Overbought & Oversold ในภาพใหญ่แบบ Week หรือ Month ในการจับจังหวะในการเข้าซื้อ
  5. การออมในหุ้นต้องรู้จักการลงทุนเป็น Portfolio เพื่อกระจายความเสี่ยง ..ห้ามทุ่มซื้อหุ้นตัวเดียว
  6. นักลงทุนระยะยาว แนวออมในหุ้นมีเวลาเป็นเพื่อน เพราะยิ่งลงทุนยาว ก็ยิ่งขจัดความผันผวน และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นไปอีก (ระยะสั้นราคาอาจผันผวนขึ้นลงเกิน 50% แต่ในระยะยาวหุ้นดีจะโตสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงซึ่งโตหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าตัว จากจุดเริ่มต้น)
  7. คนที่ออมในหุ้น ต้องเป็นคนที่เห็นโอกาสในวิกฤตได้ เพราะถ้าหุ้นไม่ได้เกิดวิกฤต ก็ไม่มีทางที่จะซื้อหุ้นนั้นในราคาถูกได้ (No Free Lunch in real world)
  8. คนที่ออมในหุ้นจะต้องไม่พยายามซื้อถูกที่สุด เพราะในโลกนี้ไม่มีถูกที่สุด การอยากซื้อถูกที่สุดจะไม่เคยได้ซื้อ
  9. การเริ่มลงทุนต้องเริ่มวันนี้เลย ไม่สำคัญว่ามากหรือน้อย แต่ต้องเริ่มเลย เหมือนเล่นกีฬา เราจะรอให้เขาคัดตัวทีมชาติสัปดาห์หน้า แล้วจะเริ่มหัดเล่นสัปดาห์นี้ คงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการติดทีมชาติ เราจึงต้องก้าวเข้าสู่ตลาดวันนี้เลยเพื่อเตรียมความพร้อมของจิตใจเพื่อการลงทุนรอโอกาสที่ยิ่งใหญ่
  10. กฎเหล็กของการรวยจากหุ้นคือ อยู่ในตลาดนานพอ นั่นคือ อย่างน้อยต้องอยู่ในตลาดหุ้นให้ครบ 10 ปี แม้ว่าจะล้มตลอดเวลา เพราะคุณจะเห็นรอบของหุ้นแบบ 'เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของหุ้นทุกตัว' และจะเข้าใจแก่นแท้ของตลาด จนสามารถชนะตลาด ก็คือชนะใจตัวเองแล้วรวยจากการออมในหุ้นได้"
-- คนที่รวยจากการออมในหุ้นได้ ต้องสามารถเอาชนะสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่เคยมีในโลก ก็คือ เอาชนะใจตัวเอง ..ถ้าชนะได้ รวยทุกคน  !! ::

แหล่งที่มา     Facebook : ภาววิทย์ กลิ่นประทุม

รายได้โดยไม่ต้องทำงาน

Passive Income หรือ รายได้เงินไหลเข้าโดยไม่ต้องทำงาน
คือคำหอมหวานสำหรับคนยุคนี้

ใครๆ ก็อยากมีรายได้แบบนั้น
แต่มันอาจจะยากเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่
จนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีได้จริงมั้ย

อยากแนะนำวิธีที่เรียกว่า "มินิพักร้อน"
มันอาจไม่ยืนยงเหมือน Passive Income
ที่นิยามอย่างเป็นทางการว่า "ไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต"
แต่มันก็ทำให้เราไม่ต้องไปฝากความสุขไว้ที่ปลายทางอย่างเดียว
เพราะเราทำงานไปด้วย พักไปด้วย

วิธีที่อยากจะแนะนำก็คือ
ให้ลองหางานที่ใช้เวลาแค่ 7 วัน (หรือน้อยกว่า)
แต่ให้ผลตอบแทนที่พอใช้ไปทั้งเดือน (หรือมากกว่า)
เพื่อที่เราจะมีเวลาเหลืออีก 23 วัน เป็น "มินิพักร้อน" ของเรา

เป็นพักร้อนที่สมองไม่ต้องคิดหาเงิน อยากทำอะไรก็ทำ
จะทำงานสร้างสรรค์ งานอดิเรก อยู่กับครอบครัว ช่วยเหลือสังคม
หรือถ้าเราขยันมาก จะเอาเวลาที่เหลือมาหาเงินเพิ่มก็ยังได้

ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ขยับตัวทำอะไรใหม่ๆ ลำบาก
คิดว่าเพราะเราใช้เวลาเกือบทั้งวัน เกือบทุกวัน เกือบทั้งเดือน
เพื่อหาเงินที่ใช้ได้แค่เดือนเดียวหมด (หรือแค่ไม่กี่วัน)
แล้วก็ต้องหาใหม่อีก

พูดง่ายๆ ว่าเป็นงานที่ต้องเอาเวลาไปแลก "ทั้งวัน"+"ทุกวัน"
ใครอยากมีชีวิต "มินิพักร้อน"
อย่าเพิ่งลาออก
ลองค่อยๆ ขยับขยายหาช่องทางเพิ่มดูก่อน
มีงานมากมายที่ไม่ต้องเอาเวลาทั้งวันไปแลก

แม้อาจจะไม่ได้ให้รายได้แบบ passive income ก็ตาม
เช่น ขายของทางเน็ต วิทยากรบรรยาย
อบรม เขียนหนังสือขาย นายหน้าขายที่ จัดอีเวนต์ ฯลฯ
งานพวกนี้สามารถทำหลังเลิกงาน หรือเสาร์อาทิตย์ได้
วันนี้อาจจะยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรดี

แต่ขอให้เชื่อ 2 ข้อ
หนึ่ง เราต้องทลายกรอบความคิดเก่าๆ ว่า
"เราต้องทำงานทุกวัน"
ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่จริงเลย

สอง เราต้องอย่าลืมโจทย์ข้อนี้
"ทำอะไรดีที่ใช้เวลา 7 วัน แต่อยู่ได้ทั้งเดือน?"

ถามคำถามนี้กับตัวเองบ่อยๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วจิตใต้สำนึกจะค่อยๆ ช่วยเราคิดหาหนทางเอง
เปลี่ยนความคิดที่จะทำงานทั้งเดือน แต่มีเงินใช้ได้แค่ 7 วัน
ไปเป็นทำงาน 7 วัน แต่มีเงินใช้ทั้งเดือน
แล้ววันนั้น "มินิพักร้อน" จะเป็นของเรา

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ศาลเจ้าเซียงกง

ย่านเยาวราชนอกจากจะมีของดีในเรื่องของอาหารการกินอันเลื่องชื่อแล้ว  ยังมีศาลเจ้าอีกหลากหลายแห่งเพื่อให้ผู้เคารพเสื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าของจีนมากราบไหว้ขอพร

ศาลเจ้าเซียงกง (เซียนกง) อยู่บริเวณ ถ.ทรงวาด ส่วนที่ตัดกับ ถ.เจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ นับเป็นศาลเจ้าอีกหนึ่งแห่งที่มีผู้เสื่อมใสศรัทธามากราบไหว้จำนวนไม่น้อย

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี 2414 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีชาวจีนจากมณฑลฮกเกี้ยนกลุ่มหนึ่งอพยพเข้ามายัง กทม. พร้อมกับตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งศาลเจ้าในปัจจุบัน

และได้ทำการสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้น  พร้อมกับการพัฒนาเป็นชุมชนค้าขายเครื่องยนต์เก่าที่ใช้แล้วเป็นแห่งแรกของประเทศไทย  จนเป็นที่มาของคำว่าเซียงกง ในปัจจุบัน

ด้านในศาลเจ้านอกจากมีเทพเจ้าให้สักการะบูชาแล้ว  ยังมีลายพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ณ ศาลเจ้าเซียงกง วันที่ 3 ก.พ. 2554 อีกด้วย

ปัจจุบันคำว่า "เซียงกง" เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในลักษณะของย่านการค้าขายอะไหล่รถยนต์มือสอง คุณภาพดี ที่มีเกือบทุกแห่งทั้งใน กทม. และ ปริมณฑล อาทิ เชียงกงปทุมวัน  หลักสี่  บางนา  และบางพลี เป็นต้น

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันrจันทร์ที่ 20 ม.ค. 57 (558)

ค่าตอบแทน CEO

ที่อเมริกา เขาจ่าย CEO เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับพนักงานธรรมดาๆ


จะเห็นว่าคนกลุ่มบนยอดของปิระมิด แค่ 1% ของประชากรอเมริกา (รายได้ที่โตขึ้นของ 1% บนปิรามิด นั้น มาจาก เงินปันผล+กำไรส่วนต่างจากราคาหุ้น ที่ปรับขึ้น เกินกว่า 50% ของรายได้เขาทั้งหมด) นั้นก็คือบรรดา CEO และเจ้าของบริษัททั้งหลาย ได้รายได้มากขึ้นเกิน 150% ในขณะที่ Productivity ของภาพรวมโตขึ้น 88%

ทำไมจ่าย CEO เกินกว่า Productivity ไปเอาเงินมากจากไหน
มาจากพนักงาน  จะเห็นว่า Average Income ของมนุษย์เงินเดือนในอเมริกา ลดลงต่ำกว่าตอนปี 2002 ด้วยซ้ำ

ในเมืองไทย ก็คงออกมาภาพคล้ายๆ กัน

ใครเห็นแบบนี้ อยากจะโกรธ อยากจะบอกโลกว่า โลกมันไม่แฟร์ แต่มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นแน่นอน

หากอยากรวยขึ้น เป็นเป้าหมายหลักของชีวิต แล้วไม่สามารถเป็นมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพค่าตัวแพงๆได้ ก็ต้องหารายได้ทางอื่น แต่สำหรับคนที่มองเงินไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมด แค่มีความสุขกับงานที่ทำ และรักในสิ่งที่ทำ นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องเครียดกับภาพนี้

สู้ต่อไป มนุษย์เงินเดือน

แหล่งที่มา    Facebook : Sinthorn

turn off Snooze

อากาศหนาวๆ แบบนี้
ไม่มีอะไรจะยากไปกว่าการตื่นเช้า
ยิ่งเป็นการตื่นเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกด้วยแล้ว
มันไม่ง่ายจริงๆ

รู้จักปุ่ม Snooze ของนาฬิกาปลุกมั้ย?
มันคือปุ่มที่เอาไว้ต่อเวลา "อีกนิดน่า" ขอนอนต่ออีก 5 นาที
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีอารมณ์ประมาณว่า
อีกนิดน่า อีกแป๊บน่า อีก 5 นาทีเอง
5 นาทีที่ว่าก็เลยกลายเป็น "อีกหลายๆ 5 นาที"

ที่เป็นเหมือนกันทุกคนก็คือ
ไอ้ 5 นาทีที่นอนต่ออีกนิดน่ะ
ส่วนใหญ่นอนหลับไม่ค่อยสนิทหรอก
เพราะมันกังวลลึกๆ กลัวจะเผลอหลับยาว

"อีกหลายๆ 5 นาที" นั้น  จึงพูดได้ว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
เพราะแทนที่จะได้ลุกขึ้นไปทำกิจวัตรส่วนตัว ก็ไม่ได้ทำ
หรือจะพักผ่อนต่อ ก็ไม่เต็มที่
ว่าแต่...แล้วในชีวิตจริง
เราเคยเผลอไปกดปุ่ม Snooze อะไรบ้างรึเปล่านะ?

คำถามนี้น่าคิด
เราเคยเผลอไปกดปุ่มพวกนี้รึเปล่า
ปุ่มที่ชื่อ
"อีกนิดนึงน่า" "เอาไว้ก่อนน่า"
"สักวันฉันจะ..." "เอาไว้ว่างๆ แล้วฉันจะ..."

เราทำแต่งาน แล้วเผลอไปบอกลูกที่มาชวนเราเล่นว่า
"เอาไว้ว่างๆ แล้วพ่อจะเล่นด้วยนะลูก พ่อทำงานก่อน"
เรากดปุ่ม "เลื่อนเวลาเล่นกับลูก" กี่ครั้งแล้ว?

เรานั่งดูแต่ทีวี พอนึกเรื่องสุขภาพขึ้นมาได้ ก็บอกตัวเองว่า
"ดูทีวีอีกนิดนึงน่า แล้วพรุ่งนี้ฉันจะออกวิ่งแต่เช้าเลย"
แล้วเราก็ไม่เคยทำได้จริง
เรากดปุ่ม "เลื่อนเวลาสุขภาพ" กี่ครั้งแล้ว?

เรารู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญ พอนึกขึ้นได้ว่าน่าจะไปเรียนภาษาเพิ่ม
แต่เราก็บอกกับตัวเองว่า
"ช่วงนี้งานเยอะ เอาไว้ก่อนละกัน"
แล้วเราก็ไม่เคยไปเรียน
เรากดปุ่ม "เลื่อนพัฒนาตัวเอง" กี่ครั้งแล้ว?

เราเห็นเพื่อนร่วมรุ่นเราไปได้สวย ธุรกิจรุ่งเรือง
เรานึกอยากจะสำเร็จอย่างเค้าบ้าง
แต่แล้วเราก็เลือกกดปุ่ม "สักวัน ฉันจะ..."
แล้วสักวันที่ว่า ก็ไม่เคยมาถึง
เราเผลอไปกดปุ่มเหนี่ยงรั้งความสบายไว้อีกนิด
แล้วเลื่อนความสำเร็จออกไปก่อนหรือเปล่า?

ลองสำรวจตัวเองดูสิ
ว่าเราเผลอกดปุ่ม Snooze ไว้ตรงไหนของชีวิตบ้าง?
เอามันออก turn off มันซะ
ได้เวลาตื่นจากฝันที่เหมือนจะจริง
มาทำความจริงให้ยิ่งกว่าฝันได้แล้ว

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ความรู้สึกจากชาย...หญิง...ในชีวิตคู่

สามีภรรยาคู่หนึ่ง
ฝ่ายชายเป็นคนดี ตั้งใจทำงาน รักครอบครัว
เสียอย่างเดียว ครอบครัวฝ่ายชายจนกว่าครอบครัวฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงขายของอยู่ที่บ้าน (ซึ่งเป็นบ้านที่พ่อเธอยกให้)
ฝ่ายชายเป็นพนักงานบริษัท

เขาอยากรวย อยากให้ครอบครัวสบาย อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี
หลายปีก่อนเขาเอาเงินเก็บมาเสี่ยงลองทำธุรกิจ ผลคือ "เจ๊ง"
ผ่านไปหลายปี วันนี้เขาหยิบยืมเงินของ "พ่อตา"
หวังจะเอามาทำธุรกิจอีกครั้ง
ถ้าสำเร็จ ครอบครัวก็คงสบาย

วันนึง ฝ่ายหญิงโทรมาปรึกษาเรื่องธุรกิจนี้ว่าดีมั้ย
เธอกลัวสามีเธอจะพลาดอีกครั้ง
บางประโยคเธอพูดมว่า
"ชั้นก็ปากเสียนะ เคยบอกกับแฟนชั้นไปว่า
ถ้ารู้ว่าแต่งงานแล้วมาลำบาก รู้งี้ไม่แต่งดีกว่า
เธอรู้มั้ย แต่ก่อนฉันเป็นคุณหนูเลยนะ
แต่วันนี้ต้องมางกๆ เงิ่นๆ
ทำงานขายของที่บ้าน นอนดึก ตื่นเช้า"

นาทีนั้นนึกไปถึงครั้งนึงเมื่อนานมาแล้ว
เคยได้ฟังพี่คนนึงพูดบนเวที เล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง
เขาเล่าว่า ครั้งนึงครอบครัวเมียมาเยี่ยมที่บ้าน
เลยนั่งกินข้าวกินปลากันพร้อมหน้า
ข้าวหมด เขาลุกขึ้นไปตักข้าวในหม้อหุงข้าวหลังบ้าน
ในวงสนทนาคงคุยกันดังไปหน่อย
เสียงญาติเมียเลยเล็ดรอดมาถึงหลังบ้านว่า
"ผัวแกนี่เป็นคนดีเนอะ
เสียอย่างเดียว ...จนไปหน่อย"

พอประโยคนี้จบ พี่คนนั้นก็ร้องไห้ออกมาบนเวที
เขาบอกว่าวันนั้นเลยไม่ได้เดินกลับไปที่โต๊ะกินข้าว
เพราะกลัวคนเห็นน้ำตา

คิดว่าเข้าใจทั้งคู่นะ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกในเรื่องนี้
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
มันเหมือนจะฝังมาในดีเอ็นเอแล้วว่า
ลึกๆ ผู้ชายรู้สึกว่าเขามีหน้าที่ที่ต้องดูแลครอบครัวให้สุขสบาย
ถ้าจุดอ่อนของผู้หญิงคือความสวยความงาม ที่ถ้าใครติ คงเสียใจ
จุดอ่อนของผู้ชายก็คงอยู่ที่ฐานะทางการเงินที่ย่ำแย่นั่นล่ะ

เห็นผู้ชายนิ่งๆ ไม่พูดอะไร
ผู้ชายไม่ได้รู้สึกดีหรอก ที่ยังทำให้ครอบครัวสุขสบายไม่ได้
ผู้ชายไม่ได้รู้สึกดีหรอก ถ้าเห็นแฟนเค้ายังลำบากอยู่
ผู้ชายรู้สึกกดดัน  ถ้าแต่งกับฝ่ายหญิงที่ฐานะที่บ้านดีกว่า
และผู้ชายกำลังพยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวมีอนาคตที่ดี

แต่มันก็ไม่ง่ายหรอก
ถนนมันขรุขระ มีล้มบ้างอะไรบ้าง
ถ้าไปออกรบเจ็บกลับมา
ผู้ชายก็ต้องการแค่สำลีชุบยาทาแผล
น้ำเย็นๆ สักแก้ว มือลูบที่หลังเบาๆ
กอดอุ่นๆ ของเพศแม่
และคำพูดสักคำว่า
"ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เริ่มกันใหม่นะคะ"

...ผู้ชายต้องการเท่านั้นจริงๆ คุณผู้หญิง
การแสดงออกซึ่งความรักของผู้ชายบางคน
จึงอาจไม่ใช่ดอกไม้ช่อใหญ่ หรือคำพูดหวานๆ
แต่อาจหมายถึงการก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก
เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
...หวังว่าคุณผู้หญิงคงเข้าใจ

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

อดีต

โดยส่วนตัวแล้ว
คิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด
ตรงที่สามารถจดจำเหตุการณ์ต่างๆ
ได้มากกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป

แต่ไม่รู้ทำไมมนุษย์มักจะเลือกจดจำจาก
“ความรู้สึก” มากกว่า “เหตุผล”

และในขณะเดียวกัน มนุษย์มักจะเลือกใช้
“หัวใจ” มากกว่า “สมอง”

และอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
ที่ทำให้เราเลือกที่จะจดจำเรื่องร้ายๆ
มากกว่าเรืองดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

การจดจำ "อดีต"
ถือเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับความเป็นมนุษย์
ทำให้เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในทางธรรมะ มักบอกเราว่า....
มี "สติ" อยู่กับปัจจุบัน
และทำวันนี้ให้ดีที่สุด

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูง่ายๆ
แต่ที่จริงแล้วมันยากเหลือเกิน

เอาเข้าจริง...
ก็ไม่ได้เก่งกล้าพอที่จะสอนใครได้หรอก
เพียงแค่อยากบอกกับคุณว่า
ถ้าตอนนี้ คุณยังลืมอดีตไม่ได้

ขอให้ลองคิดเสียว่า
อย่างน้อยคำว่า “อ ดี ต”
มันมีคำว่า “ดี”
... อยู่ในนั้น

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

เชียงใหม่ของคุณคืออะไร?

สมมติว่าคุณอยู่กรุงเทพ
แล้วความใฝ่ฝันของคุณคือ "อยากไปเชียงใหม่"
แต่คุณดันพลาดท่า ตกเครื่อง ไปไม่ทัน

สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ
เก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่
หรือไม่ก็เปลี่ยนไปนั่งรถทัวร์
หรือไม่ก็ขับรถไปเอง
หรือไม่ก็โบกรถใครสักคนไป
หรือไม่ก็นั่งเรือ
หรือไม่ก็ขี่จักรยาน
หรือสุดท้าย ถ้าไม่มีทางไหนแล้วจริงๆ
คุณอาจจะค่อยๆ เดินไปเชียงใหม่ทีละนิดก็ยังได้
ถึงมันจะช้าหน่อยก็ตาม

แต่มันต้องไม่ใช่การเปลี่ยนไปรังสิตแทนก็ได้วะ มันใกล้ดี
แต่มันต้องไม่ใช่นอนอยู่บ้านเหมือนเดิม แล้วบอกว่าฉันพอเพียง
แต่มันต้องไม่ใช่การบอกว่าเชียงใหม่ไม่เห็นจะดี รถติดจะตาย

ถ้าคุณอยากไปเชียงใหม่
ก็ต้องไปเชียงใหม่เท่านั้น
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม (ที่ไม่เดือดร้อนผู้อื่นนะ)

ถ้าเจอปัญหาแค่นิดหน่อย ก็เปลี่ยนใจแล้ว
นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้อยากไปเชียงใหม่หรอก
คุณก็แค่ดูรูปจากในนิตยสาร หรือดูเขาพาเที่ยวเชียงใหม่ในทีวี
เห็นคนอื่นเขาไปกัน มันสวยดี
คุณก็เลยฝันเคลิ้ม
มีอารมณ์อยากไปเชียงใหม่กับเค้าบ้าง ก็เท่านั้นเอง

"เชียงใหม่" ของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน
เชียงใหม่ของบางคนอาจหมายถึง รถยนต์คันหรู
เชียงใหม่ของบางคนอาจหมายถึง บ้านหลังโต
เชียงใหม่ของบางคนอาจหมายถึง การศึกษาลูก เลี้ยงดูพ่อแม่

เชียงใหม่ของคุณคืออะไร?
ว่าแต่...แล้วตกลงคุณอยากไปเชียงใหม่จริงๆ หรือเปล่า?
ถ้าอยากไปจริง
This is the final boarding call.
I repeat. This is the final boarding call.
นี่คือการเรียกครั้งสุดท้าย
ด่วนเลย

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ตอนอายุ 60 ปี เราอยากกลายเป็นคนแก่แบบไหน

ถ้าไม่ตายเสียก่อน
วันนึงเราก็ต้องแก่
นี่คือความจริงที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

หนึ่งในคำถามที่คิดว่าสำคัญมาก
แต่เรามักไม่ค่อยถามตัวเอง
นั่นคือคำถามที่ว่า
"วันที่เราอายุ 60 ปี เราอยากเป็นคนแก่แบบไหน?"

คำถามนี้กำหนดทิศทางชีวิตของเราได้ดีมาก
มันคล้ายๆ จะเป็นเป้าหมายชีวิตที่จับต้องได้ที่สุดแล้ว
และอยากชวนทุกคนมาถามตัวเอง ตอบตัวเอง
เพราะมันจะเป็นคำถามและคำตอบ
ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล

ถ้าเราอยากกลายเป็นคนแก่ที่แข็งแรงสมวัย
เราก็ต้องเริ่มดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกิน เรื่องออกกำลัง
รวมไปถึงเรื่องสุขภาพใจ

เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เพื่อจะเป็นคนแก่คนนั้นที่แข็งแรง
ถ้าเราอยากเป็นคนแก่ที่พึ่งพาตัวเองได้
ไม่ต้องให้ลูกหลานมาดูแล

เราก็ต้องเริ่มวางแผนทางการเงิน
รู้จักออม รู้จักลงทุน รู้จักทำประกัน

เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เพื่อจะเป็นคนแก่คนนั้นที่ดูแลตัวเองได้
ถ้าเราอยากเป็นคนแก่ที่มีลูกหลานห้อมล้อม ไม่เดียวดายตอนแก่

เราก็ต้องเริ่มใช้เวลากับลูก อยู่กับลูกในทุกนาทีที่เขาต้องการเรา
เพราะถ้าเราไม่ผูกพันกับลูกตั้งแต่ตอนเขายังเด็กๆ
ลูกก็จะไม่มีวันสนิทกับเราตอนโต

เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เพื่อที่จะเป็นคนแก่คนนั้นที่ลูกหลานรัก
ถ้าเราอยากเป็นคนแก่ที่มีประโยชน์กับสังคม ไม่ใช่นั่งหายใจทิ้ง

เราก็ต้องเริ่มฝึกให้ตัวเองเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต
ฝึกให้ตัวเองเป็นคนที่รู้จักแบ่งปันความรู้ที่เรามี
ฝึกให้ตัวเองมีนิสัยคืนกลับให้สังคม

เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เพื่อที่จะเป็นคนแก่คนนั้นที่มีประโยชน์
ไม่ต้องวิงวอนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ว่าบั้นปลายชีวิตของให้แข็งแรงอย่างนั้นอย่างนี้
ขอให้มีเงินใช้อย่างนั้นอย่างนี้
ขอให้ลูกหลานดีอย่างนั้นอย่างนี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านภาระเยอะแล้ว

เราช่วยเหลือตัวเองดีกว่า
เริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ว่า
"ตอนอายุ 60 ปี เราอยากกลายเป็นคนแก่แบบไหนในวันนั้น?"
แล้วลงมือทำสิ่งที่จะทำให้เราเป็นคนแก่คนนั้น ตั้งแต่วันนี้
เท่านี้เราก็จะเป็นคนที่เราปรารถนาในอนาคตแล้ว

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ฝันให้ชัด => ลงมือทำ สู่ ความเร็จ

เรื่องมันมีอยู่ว่า

ชายคนนึงบนบานขอกับเทวดาว่า
"ขอให้ชีวิตนี้ฉันได้ทำงาน 'อาชีพในฝัน'
ที่มีคุณสมบัติดัง 7 ข้อต่อไปนี้เถ้อะ
เพี้ยงงงงง!
  1. ทำงานในห้องแอร์ เพราะฉันไม่ชอบอากาศร้อน
  2. เปิดเพลงฟังระหว่างทำงานก็ได้ เพราะฉันชอบฟังเพลง
  3. รับรายได้ตามผลงาน ฉันไม่อยากรับแค่เงินเดือน มันไม่ตื่นเต้น
  4. ได้เดินทางไปทั่ว เพราะฉันเบื่อการอยู่กับที่
  5. ได้พบผู้คนหลากอาชีพตั้งแต่แม่ค้า พนักงาน จนถึงเจ้าของกิจการ เพราะฉันชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  6. เป็นผู้กุมบังเหียนชีวิตตัวเองว่าจะไปทางไหน
  7. เลือกที่จะทำงานกับใครก็ได้ที่ฉันพอใจ
เทวดาได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนี้ขออาชีพในฝัน
แม้จะเป็นคุณสมบัติงานที่เรื่องมากเอาการ
แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนดี
เทวดาจึงจัดให้ตามที่ขอ
โอม มะลึกกึ๊กกึ๋ยยยยย เพี้ยง!
ไม่กี่เดือนต่อมา
ชายคนนี้ก็ได้อาชีพในฝันตามที่ขอไว้!!!
....
......
........
..........
เค้าได้เป็น "คนขับแท็กซี่" ในที่สุด
นี่ล่ะ ! เราจะได้อย่างที่คิด ถ้าฝันนั้นชัดเจนพอ!
"หา! อะไรนะ เค้าไม่ได้อยากเป็นแท็กซี่เรอะ?"
"อ้าว แล้วก็ไม่บอก ><"
เทวดากล่าวในที่สุด

ฮ่าๆๆ เรื่องขำขันนี้แอบมีสาระนะ
บางทีที่เรายังมีชีวิตในแบบที่เราไม่ชอบอยู่นั้น
ก็เพราะเราตอบได้ไม่ชัดเจนว่า
ไอ้ชีวิตแบบที่เราชอบน่ะ มันคือแบบไหน?

ฝันมันก็เลยดูมัวๆ
เหมือนคนสายตาสั้นที่ไม่ได้ใส่แว่น

ลองนั่งคุยกับตัวเองให้มากพอว่า
ชีวิตที่เราอยากเป็น รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร?
เขียนมันลงไป อ่านมันทุกวัน ค่อยๆ ปรับมันทุกวัน
แล้วลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้ฝันนั้นมา

ฝันยิ่งชัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นจริงเร็วเท่านั้น
หยิบแว่นมาใส่ให้ความฝัน
เอาให้ชัดๆ ว่าชีวิตนี้ฝันอะไร?
ไม่อย่างนั้นอาจจะได้สิ่งที่ไม่คาดฝัน
แบบชายคนนี้นะ

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยี ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป

เทคโนโลยี ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป
ทำให้คนที่ไกลกลายมาเป็นคนใกล้
และบางทีคนที่ใกล้กลับกลายเป็นคนไกล
.
.
เมื่อวานเห็นครอบครัวหนึ่ง
นั่งทานข้าวกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
โดยแต่ละคนถือมือถือด้วยมือข้างหนึ่ง
เล่น Facebook , LINE และเกมส์อย่างล่ะหนึ่ง
โดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันแม้แต่คำหนึ่ง
.
.
คนที่ไปด้วยบ่นว่า
นี่มันยุคของ "สังคมก้มหน้า" ชัดๆ
แม่มลามปามมาถึงครอบครัวแล้วเว้ยเฮ้ย!!!
เป็นอะไรที่แย่มากเลยนะเมริง...
ต่างคนต่างเล่นมือถือ ไม่พูดคุยกัน
พวกเขาจะมีความสุขได้ไงวะเนี่ยยยย
.
.
ถามเขากลับสั้นๆ
เราใช้อะไรไปตัดสินว่า...
การกระทำของพวกเขาเหล่านั้น
มันช่าง "แย่" และ "ไม่มีความสุข"
.
.
เขาฟังคำถามแล้วเงียบ...
พร้อมกับหยืบมือถือขึ้นมาเล่น Facebook

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

เงินที่ได้มาฟรีๆ

รู้มั้ย เงินอะไรน่ากลัวที่สุด?
คำตอบก็คือ
ไม่มีเงินไหนที่จะอันตรายที่สุด
เท่ากับ
"เงินที่ได้มาฟรีๆ"

เงินได้มาฟรีๆ จะทำร้ายลูกของเรา
ลูกจะคิดว่าเขาขออะไรก็ได้มาง่ายๆ พ่อแม่มีเงิน
เขาจะไม่เคยรู้คุณค่าของเงิน
ถ้าพ่อแม่ให้อะไรง่ายๆ ตลอด

ตอนเด็กขอของเล่นก็ให้ ตอนโตขอรถยนต์ก็ให้
เงินทองให้ใช้ไม่อั้น
เขาจะเสียคนในที่สุด

เงินที่ได้มาฟรีๆ จะทำร้ายคนที่ถูกลอตเตอรี่
เราคงเคยเห็นคนที่ถูกรางวัลได้เงินมาเยอะแยะ
แต่สุดท้ายไม่กี่ปีผ่านไปกลับจนลงกว่าเดิม

เพราะเงินฟรีๆ ที่เขาได้มา
มันเกินกว่าความสามารถในการหาเงินที่แท้จริงของเขา
เขาจึงควบคุมไม่อยู่ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
สุดท้ายก็หมดตัว
เข้าตำรา "สามล้อถูกหวย"

และเงินที่ได้มาฟรีๆ จะทำร้ายประชาชน
เขาไม่รู้หรอกว่าเงินฟรีๆ ที่นักการเมืองให้มานั้น
ไม่วาจะเป็น รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ป่วยรักษาฟรี
กองทุนให้ฟรีๆ สัญญาว่าจะให้นู่นให้นี่
เงินฟรีๆ ของฟรีๆ เหล่านี้มันมีราคาที่เราต้องจ่ายขนาดไหน?

ราคาที่เราต้องนั้นก็คือการเพาะปลูกนิสัย
"ฝากชีวิตไว้กับนักการเมือง"
ซึ่งเป็นคนที่เราไม่ควรฝากชีวิตไว้ด้วยมากที่สุด

เมื่อไหร่ที่ได้เงินมาฟรีๆ
โปรดระวังไว้ให้ดี!!!
เพราะไม่มีเงินไหนที่จะอันตรายที่สุด
เท่ากับ
"เงินที่ได้มาฟรีๆ"

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ข้อใดถูก 8 x 3 = 23 หรือ 8 x 3 = 24 ?

ข้อใดถูก 8 x 3 = 23 หรือ 8 x 3 = 24 ?
คุณตอบข้อไหน ?

เล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ของ "เอี้ยนหุย กับ ขงจื้อ"
เรื่อง 8 x 3 = 23

เอี้ยนหุย กับ พ่อค้าขายผ้าในตลาด
พ่อค้าบอกว่า 8 x 3 = 23
เอี้ยนหุย รีบบอกพ่อค้าทันทีว่า 8 x 3 = 24
(พ่อค้าไม่รู้ว่า เอี้ยนหุยเป็นลูกศิษย์ขงจื้อ)
ทั้งคู่เถียงกันอยู่นานในสิ่งที่ตัวเองถูกสั่งสอนมา

สุดท้ายก็เดินทางไปให้หาขงจื้อด้วยกันให้ขงจื้อตัดสิน
เอี้ยนหุย ก็บอกต่อหน้า ขงจื้อว่า ถ้า 8 x 3 = 23 จะถอดยศ ถอดหมวกออก
แต่ถ้า 8 x 3 = 24 พ่อค้าคนนี้ต้องโดนตัดหัว
ขงจื้อได้ยินดังนั้น ก็ตัดสินว่า "8 x 3 = 23"

เอี้ยนหุย รู้สึกเสียใจมาก ที่ อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพ
ตัดสินเช่นนี้ คิดว่า ขงจื้อคงจะเลอะๆ เลือนๆ แล้ว
ตนจึงถอดหมวกลงอย่างฉุนเฉียว แล้วตีตนจากไป

แต่ก่อนจะจากไป ขงจื้อ ก็ได้บอกกับเอี้ยนหุยว่า
"เจ้าจงอย่าอยู่ใต้ต้นไม้ และ ถ้าเจ้าจะคิดฆ่าใครเจ้าจงคิดให้ดี"

ระหว่างทางกลับ ฝนตกหนัก เอี้ยนหุย จึงรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้ต้นไม้
แว๊ปป ขึ้นมาในหัวว่า อ.บอกไว้ว่า "ห้ามอยู่ใต้ต้นไม้" ก็รีบวิ่งออกมาจากต้นไม้
ทันใดนั้น ฟ้าก็ผ่าต้นไม้ต้นนั้น !!
เอี้ยนหุย ตกใจมาก แต่ก็รู้สึกขอบคุณขงจื้อมากที่ อ.เตือน นึกในใจว่า ขงจื้อรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดเรื่องนี้ ///

หลังจากนั้นก็รีบเดินทางกลับบ้าน พอถึงบ้านเนื่องจากดึกมากแล้ว
ไม่อยากให้ภรรยาตื่น จึงใช้มีดงัดประตู เข้าไป แล้วใช้มือคลำทางเอา
พอถึงห้องนอน เอี้ยนหุยคลำเจอคน 2 คนนอนอยู่
เขานึกใจในด้วยความโมโหว่า "อะไรเนี๊ยะ ข้าไปเรียนรู้วิชากับอ.ขงจื้อกลับมาภรรยามีชู้เลยเหรอ " กำลังจะเอามีดฟัน ก็นึกได้ว่า อ.เตือนไว้ว่า คิดจะฆ่าใคร ต้องคิดให้ดี ....

ทันใดนั้น เขาก็จุดเทียนแล้วดูว่า 2 คนที่นอนอยู่นั้นเป็นใคร ?
สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ ภรรยาและน้องสาวของภรรยานอนอยู่ !!!
เขานึกเลยว่า ถ้าเขาไม่เชื่อคำของขงจื้อ ก็จะมีคนตาย 2 คน ซึ่งเป็น
ภรรยาและน้องสาวของภรรยา!!

เอี้ยนหุย ไม่รีรอที่จะเดินทางกลับไปหาขงจื้อ
ว่า ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะเกิดสิ่งต่างๆ นี้ได้
ขงจื้อจึงบอกว่า " ถ้าข้าตัดสินว่า 8 x 3 = 24 "
พ่อค้าคนนั้นต้องตาย ใช่ไหม ?
....
....
‪#‎จงใจสอนผิด‬ เพื่อไม่ให้มีคนล้มตาย !!
‪#‎แม้ไม่ใช่เลขคณิตศาสตร์‬ ที่ถูกต้อง
‪#‎แต่คุณธรรมต่างหากที่ถูกต้อง‬
‪#‎เสียเกียรติแต่อย่าให้คนอื่นตาย‬
‪#‎คนที่กำลังโกรธ‬ ฉุนเฉียว มักจะ วู่วาม ทำอะไรโดยไม่คิด

ทิ้งท้ายไว้ว่า
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี
ทะเลาะกับเฒ่าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (555)
ทะเลาะกับประชาชน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี
ทะเลาะกับนาย ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี
#####################
Cr.อ.ปิง

แหล่งที่มา    Facebook : Take Profit

จุดจบคือจุดเริ่มต้น

เวลาที่เราทำอะไรล้มเหลว
หลายคนมักจะจมปลักอยู่กับความผิดพลาด
หลายคนมัวแต่อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลายคนมัวแต่สิ้นหวังและท้อแท้ใจ

จะมีซักกี่คนที่คิดว่า ... มันเป็นบททดสอบของชีวิตที่ต้องฝ่าไป
จะมีซักกี่คนที่คิดว่า ... จะลุกยืนขึ้นจากความสิ้นหวังและท้อแท้
จะมีซักกี่คนที่คิดว่า ... เราพร้อมจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
จะมีซักกี่คนที่คิดว่า ... พร้อมที่จะเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆ

โดยทิ้งความผิดพลาดและความสิ้นหวังไว้เบื้องหลัง
ปล่อยมันทิ้งเอาไว้ ที่มุมๆ หนึ่ง  ลึกๆ ข้างในหัวใจ
และนำความผิดพลาดเหล่านั้นมาเรียนรู้
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับมันอีก

เมื่อถึงจุดจบ...
จงอย่าหวาดกลัว
จงทิ้งความหวาดกลัว ท้อแแท้และสิ้นหวังไปเสีย
แล้วลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ

จากนั้นจงเริ่มต้นก้าวเดินไปข้างหน้าใหม่
อย่าให้อดีตเป็นสิ่งพันธนาการตัวเรา
อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดปิดกันโอกาสเรา
ตราบใดที่เรายังคงสู้ต่อ

เมื่อนั้นโอกาสจะมาหาอยู่เรื่อยๆ
จงไขว่ขว้ามันเอาไว้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ
เรายังมีคราวหน้าอยู่.....

โอกาสไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนก็จริง
แต่โอกาสนั้นมีรอไว้สำหรับผู้ที่ตั้งใจไขว้ขว้าเสมอ

จงเชื่อมั่นในตัวเองและก้าวต่อไปอย่าหยุด
แต่ละย่างก้าวต้องมั่นคงและองอาจ
ดุจราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่และไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใด

ถ้าเราไม่ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
เราก็จะล้มลงอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

จงก้าวต่อไปอย่าได้หยุด เพื่อวันพรุ่งนี้
และจงดับความหวาดกลัวทั้งหมดลง
อย่าให้มันได้ตามไปหลอกหลอนได้

หมื่นพรุ่งนี้กำลังรอเราอยู่ อย่าปล่อยให้สองสามเมื่อวาน
เข้ามาทำลายหมื่นพรุ่งนี้ที่รอเราอยู่เลย

พรุ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
เพราะวันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน

เมื่อมันมาถึงจงใช้แขนซ้ายแห่งสติและแขนขวาแห่งปัญญาโอบกอดไว้
คำว่า "ท้อถอย" ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมชีวิตของเรา

เครดิต : สุภาพบุรุษ สุดถ่อย
แหล่งที่มา   Facebook : มั่วหุ้น : การวิเคราะห์หุ้นมั่วๆ

10 ตัวย่อในข่าวการเมือง


  1. พธม. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
  2. กปท. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ
  3. ศอ.รส. ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
  4. ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
  5. กปปส. คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมกษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  6. กกต. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
  7. สปป. สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย
  8. คปท. เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย
  9. อพส. องค์การพิทักษ์สยาม
  10. นปช. แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
แหล่งที่มา   Facebook : Sinthorn

แค่ยืนอยู่กับที่ = ถอยหลังแล้ว

มีนิสัยนึงที่จะทำให้เราก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
นิสัยนั้นก็คือ
ชอบเรียนรู้ "ตลอดชีวิต"

นิสัยนี้ว่าจำเป็นอย่างมากในโลกทุกวันนี้
เพราะยุคนี้ทุกอย่างไปไวมาก
ว่ากันว่าความรู้ที่เรามีในวันนี้
จะล้าสมัยในอีก 2 ปีข้างหน้า

ข่าวร้ายก็คือ
อัตราความล้าสมัยที่ว่านี้จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ
บางทีอาจจะแค่ 1 ปี หรือไม่แค่ 6 เดือนก็ล้าสมัยแล้ว

แต่ข่าวดีก็คือ
ยุคนี้ความรู้หาได้ง่ายและหลายๆ ความรู้ก็ฟรี
ความรู้ใน youtube ดูกันไม่รู้จบ
หนังสือดีๆ บทความดีๆ มีให้อ่านมากมายในโลกออนไลน์

อย่าให้หนังสือเล่มสุดท้ายที่อ่าน
คือหนังสือวิชาสอบไฟนอลปี 4 วิชาสุดท้าย
อย่าให้การที่เราเข้าสัมมนา เป็นเพราะบริษัทบังคับ
อย่าเอาความรู้แค่ปีแรกในการทำงาน
มาใช้ซ้ำไปอีกเป็นสิบปี
เพราะหยุดหาความรู้ใหม่ๆ ไปนานแล้ว

ท่องโลกออนไลน์เพื่อความบันเทิงในชีวิตได้ ไม่ผิด
แต่อย่าลืมใช้มันหาความรู้เพื่อสร้างชีวิตด้วย
ปิดทีวีแล้วเปิดหนังสือบ้าง

ชีวิตจะพัฒนาขึ้นเยอะ
ฝึกนิสัยให้เป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต
เพราะยุคนี้เรากำลังเดินขึ้นบันไดเลื่อนที่เลื่อนลง
แค่เรายืนอยู่กับที่
ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

วันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้า 13 มกราคม 2557

ได้รับการ์ดวันเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว แม้ไม่มีจากเพื่่อนคนใดส่งมาให้เลย แต่ก็รู้สึกดีที่สิ่งแวดล้อมที่เราเกี่ยวข้องนำการ์ดวันเกิดมาให้

วันเกิดในความรู้สึกของเรา ก็เสมือนวันหนึ่งๆ วันที่ผ่านมา วันในปัจจุบัน และวันพรุ่งนี้ ไม่รู้สึกว่าแตกต่างเลย และมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันนี้เท่าไร

ข้อสำคัญ "ทำทุกวัน ดีที่สุด" ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 

ได้รับการ์ดจาก Google



ได้รับการ์ดจาก MFC.Happy.Birthday.Card@mfcfund.com
พร้อมคำอวยพร
HAPPY BIRTHDAY
ในวันสำคัญของคุณ เราปรารถนาให้คุณมีความสุขยิ่งกว่าวันไหนๆ
เอ็มเอฟซี ขออวยพรให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่มุ่งหวังไว้
เพื่อให้ทุกช่วงเวลาของคุณต่อจากนี้ มีแต่รอยยิ้ม...ตลอดไป


ได้รับการ์ดจาก Happy birthday from KSAM
    แต่นำมาแสดงไม่ได้ก็เลยฝากเป็นข้อความไว้แทน

ขอบคุณที่ไม่ได้ลืมวันเกิดของข้าพเจ้า 

คำพูด

เคยได้ยินประโยคนี้ไหม...
คำบางคำ คนบางคนพูดได้
แต่บางคนพูดไม่ได้

ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ฟังแล้ว
คุณจะนึกถึงอะไรขึ้นมา
แต่โดยส่วนตัวแล้ว
มักจะนึกถึง "ตัวเอง"

ทุกครั้งเราพูดในสิ่งที่เราคิด
แต่บางครั้งเราไม่ได้ลงมือทำ
ในท้ายที่สุด เราหลงลืมมันไป
เพราะคิดว่าคงไม่มีใครจดจำ

แต่ความเป็นจริงแล้ว
ในทุกๆ ครั้งที่เราพูด
บางคนอาจจะ "ได้ยิน" เสียงนั้น
และจดจำมันได้ตลอดไป

จึงมีความเชื่อว่า...
ไม่มีใครที่สามารถทำอย่างที่พูดได้ทุกเรื่อง
แต่เราสามารถบังคับตัวเอง
ไม่ให้พูดอย่างที่คิด ^^
.
.
เมื่อไรก็ตามที่คุณเป็นผู้พูด
โปรดจงระวังคำพูดของคุณไว้
เพราะถ้าคุณพูดบ่อยครั้ง
แต่ไม่สามารถทำได้สักครั้ง
คำพูดของคุณย่อมไม่มีความหมาย
และสุดท้าย คุณจะหมดสิทธิ์ในการพูดคำนั้น
... ตลอดไป

แหล่งที่มา   Facebook : TaxBugnoms

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

Digital TV ใครได้ ใครเสีย

ประมูล Digital TV กันเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ไปดูกันว่า กระทบกับใคร อะไรยัง และอะไรที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว

ขอบคุณ Infographic จาก SCBEIC


แหล่งที่มา    Facebook : Sinthorn

6 โรคฮิตมนูษย์ออฟฟิศ

"อย่ามัวทำงานท่วมหัว จนเอาตัวไม่รอด" สำรวจ 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศกินเงินเดือน ... หาเงินมา จะได้มีโอกาสใช้หาความสุข ไม่ใช่เขาโรงหมอแก้ทุกข์อยู่ร่ำไป


แหล่งที่มา    Facebook : Sinthorn

6 วิธีไปทำงานในช่วง ชัตดาวน์

6 วิธีไปทำงานในช่วง ชัตดาวน์
  1. นั่งเรือ ชมวิวชิลๆ มาทำงาน
  2. ปั่นจักรยานมาทำงาน ได้ออกกำลังกาย
  3. ซ้อนท้ายพี่วิน พาออกซอยเล็กซอยน้อย สร้างความตื่นเต้น
  4. นอนคอนโดฯ เพือน ประหยัดไฟที่บ้าน
  5. นอนออฟฟิศ  โชว์ความฟิตให้เจ้านายได้เห็น
  6. ทำงานอยู่บ้าน หลับสบายไม่ต้องแอบ

แหล่งที่มา    Facebook : Infographic Thailand

เป้าหมายสูง...พัฒนาตัวเองให้เป็น Top10% ในสายอาชีพ

ไม่ว่าวันนี้เราจะทำอาชีพอะไรอยู่
ไม่ว่าวันนี้เราจะเป็นลูกจ้างประจำ จะทำงานอิสระ
หรือเป็นเจ้าของกิจการ

เป้าหมายนึงที่คิดว่าเราควรจะมี
และต้องทำให้ได้ก็คือ
"พัฒนาตัวเองให้เป็น Top 10% ในสายอาชีพของเรา"

เหตุผลก็เพราะคนที่เป็น Top10% ในวงการนั้นๆ
จะเป็นคนที่ได้งาน 90% ในสายอาชีพนั้นๆ ไปครอง
ซึ่งนั่นหมายถึงรายได้ กำไร ผลประกอบการ
และโอกาสต่างๆ อีกมาก

ยุคนี้โหด
แทบไม่มีที่ยืนให้ "พนักงานธรรมดา" หรือ "บริษัทงั้นๆ"
ผู้ชนะกินเรียบเหมือนที่ฝรั่งเรียกว่า
"Winner Takes it All"

ที่น่าสนใจก็คือ
มีบางอาชีพที่พอเวลาเราเป็น Top10% ของสายอาชีพนั้น
คิดเงินแพงเท่าไรก็มีคนจ่าย
เพราะทุกคนต้องการของดีที่ไว้ใจได้

ตัวอย่างใกล้ตัวดูจากธุรกิจมือถือ
แค่ซัมซุงกับไอโฟนก็ครองตลาดมือถือเกือบ 100% แล้ว
แล้วคนซื้อแคร์เรื่องราคาที่ไหน

โทรศัพท์เครื่องละสองหมื่นกว่า
คนเงินเดือนหมื่นกว่าซื้อกันหน้าตาเฉย
วิทยากรค่าตัวแพงมีงานเยอะกว่าวิทยากรค่าตัวธรรมดา
นักร้องดังๆ ค่าตัวแพงมากมีงานจ้างข้ามปี
ผู้บริหารเงินเดือนเป็นแสนเป็นล้านไม่เคยตกงาน
มีคนแย่งกันซื้อตัวตลอด

ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นอีกมากมาย
ถ้าเก่งจริง ไม่ต้องกลัวจะไม่มีคนจ่ายเพื่อจ้างเรา
ถ้าเจ๋งจริง ไม่ต้องกลัวจะไม่มีลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา
เกิดมาทั้งที ตั้งเป้าหมายให้สูงๆ ไปเลย

ว่าเราจะต้องเป็นแถวหน้าของอาชีพเราให้ได้
อย่าเป็นคนแค่พนักงานธรรมดาหรือบริษัทงั้นๆ
หาความรู้เพิ่มเติม อ่านหนังสือ เข้าอบรมสัมมนา
ถามคนเก่งๆ ว่าเค้าทำยังไงถึงเก่ง

มีวิธีอีกมากที่ทำให้เราไปยืนจุดนั้นได้
! พัฒนาตัวเองให้เป็น Top10% ในสายอาชีพ
แล้วเราจะได้งาน 90% ในสายอาชีพที่เราอยู่
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่หวังดีกับชีวิตตัวเอง

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

คำว่า "อะไรก็ได้" ,,,,"โกหก"

คำว่า "อะไรก็ได้"
มักจะเป็นคำพูดที่เราใช้รักษามารยาท
เวลาถูกถามถึงความต้องการ

แต่คำว่า "อะไรก็ได้" นั้น
กลับกลายเป็นภาระให้ผู้ถาม
เพราะมันคือการเดาใจที่ยากที่สุด

เพราะในโลกความเป็นจริง
ทุกคนล้วนมี "ความต้องการ" ของตัวเอง
และคงไม่มีใครยอมรับความเห็นของคนอื่นได้ตลอด

เราจึงเลือกที่จะเกรงใจผู้อื่น
ในเรื่องที่เราไม่เห็นความสำคัญมากนัก
เพียงเพราะเราอยากจะเก็บความต้องการนั้นไว้
อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในสังคมที่เรียกว่า "ยอมๆ หยวนๆ"
เพื่อที่ทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เชื่อว่า...
มันไม่ใช่เรื่องผิด
หากเราจะตอบคำถามใครสักคนด้วยคำว่า "อะไรก็ได้"

แต่เมื่อพูดไปแล้ว
ขอให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ จากใจ
เพราะถ้าไม่เป็นแบบนั้นจริง
คุณอาจจะกลายเป็นคน "โกหก"

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น

ใครอาศัยอยู่ย่านดินแดง แล้วคิดอยากจะออกกำลังกายให้คลาดเครียดไม่ต้องไปไหนไกล มาได้ที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น เขตดินแดง นี่เอง

ศูนย์เยาวชนแห่งนี้กำกับดูแลโดย กทม. ก่อตั้งขึ้นจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น  ในโอกาสที่ประเทศไทยจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เม.ย. 2525

ภายในศูนย์ มีอาคารและสนามกีฬาต่างๆ เพื่อให้บริการการแข่งขันกีฬา และจัดกิจกรรมนันทนาการแก่สมาชิกที่เป็นเยาวชนและประชาชนทั่วไป  อาทิ อาคารศูนย์เยาวชน ประกอบด้วยที่ทำการสำนักงาน ห้องจัดการแข่งขันกีฬาในร่มเกือบทุกประเภท ห้องจัดกิจกรรมนันทนาการ และห้องสมุด

รวมถึงอาคารกีฬาเวสน์ ที่เป็นอาคารอเนกประสงค์สองหลังซึ่งใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาในร่ม  ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ตลอดจนใช้จัดกิจกรรมนันทนาการ การแสดง การประชุม การอบรม และการสัมมนาต่างๆ

ส่วนสนามกีฬาประเภทลู่และลาน  โดดเด่นด้วยสนามฟุตบอลพร้อมทั้งลู่วิ่งขนาดมาตรฐานและอัฒจันทร์รองรับผู้ชมจำนวน 6,600 คน

โดยปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลแบงค็อกยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคอบอลไทยลีก

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันrศุกร์ที่ 10 ม.ค. 57 (552)

ความสุขที่แท้จริง

เขาแปลกไหมที่เขาเป็นคนแบบนี้
  • คนที่ไม่อยากได้รับการยอมรับจากใคร
  • อยากมีชีวิตไปวันๆ 
  • ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปเรือยๆ
  • ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ 
  • ไม่มีความฝัน ไม่ทะเยอทะยาน ไม่มีความอยาก
  • ไม่ได้ถวิลหาความท้าทายอะไรในชีวิต
คิดว่า...
การใช้ชีวิตของคนเรานั้น ไม่มีผิด ไม่มีถูก
แต่ถ้าอยากจะวัดความสุขจริงๆ
คงต้องพิจารณาจากองค์ประกอบสองส่วน

ส่วนแรก คือ "ตัวเราเอง"
ถ้าหากการใช้ชีวิตของเรานั้นไม่ได้ทำให้ใครลำบาก
การมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ มันก็วิเศษไม่ใช่น้อย

ส่วนที่สอง คือ "คนรอบข้าง"
เพราะอีกด้านหนึ่งของความสุขนั้น
เราสามารถวัดได้จากสายตาของคนรอบข้าง
ถ้าหากสิ่งที่เราเป็น ทำให้คนรอบข้างนั้น มีความสุข
หรืออย่างน้อย คงไม่ได้ทำให้พวกเขามีความทุกข์

หากมีครบทั้งสองส่วนนี้
อาจจะอนุมานได้ว่าเป็น "ความสุขที่แท้จริง"

การมองหาความสุขจากบรรทัดฐานของสังคม
ที่เห็นว่าดี ว่างาม หรือว่าควรจะเป็น
มันอาจจะเป็นเพียงแค่ม่านบังตา
ที่ทำให้เราหลงมองเห็นเงาตัวเอง
... ในสายตาของคนอื่น

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

เป้าหมายมีเงิน 10 ล้าน ... อายุ 40 ปี

สมมติเรามีเป้าหมายจะมีเงินให้ได้ 10 ล้านบาท ภายอายุ 40 ปี ...

สมมติตอนนี้เราอายุ 25 ปี เท่ากับมีเวลาทำเงินอีก 15 ปี และมีเงินเริ่มต้น 100,000 บาท ... เราจะทำไงดี ?
  1. ฝากเงินแบงก์ได้ดอกเบี้ยปีละ 3% ?? เืลือกทางนี้ไม่ทันแน่ ๆ เพราะตอนอายุ 40 เราจะมีเงินเพิ่มเป็นแค่ 155,796.74 บาท ห่างไกลสุดกู่จากเป้าหมาย (ต้องใช้เวลา 156 ปี ถึงจะถึงเป้าหมาย ... เราคงตายไปนานแล้ว)
  2. ตั้งใจทำงานให้ก้าวหน้า ? ทางนี้พอเป็นไปได้ หากเงินเดือนขึ้นหลักแสน และใช้เงินอย่างมีสติ ก็น่าจะพอเก็บเงินเป็น 10 ล้านได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงแบบนั้นได้
  3. ตั้งใจทำงานให้ก้าวหน้า และนำเงินที่มีไปลงทุน ? ทางนี้ยิ่งพอเป็นไปได้มากขึ้น (ต่อยอดจากข้อ 2) แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สำเร็จ
  4. ทำธุรกิจส่วนตัว ค้าขาย เก็บสะสมกำไร ? ทางนี้ก็เป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่เจ๊งไปก่อน
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อยข้อ 1-2-3-4 ... ตั้งใจจะบอกว่า
  • ทางไหนที่ทำไปแล้วไม่ถึงเป้าหมายแน่ๆ ก็อย่าไปทำแต่แรก เสียเวลาเปล่า
  • ส่วนทางไหนที่พอมีโอกาสไปถึงเป้าหมายได้ ก็น่าเลือกมาศึกษาและลองทำ ซึ่งสุดท้ายมันอาจจะไม่สำเร็จก็ได้ ต้องทำใจ แต่ตราบใดที่ยังมีเวลาเหลือ (กรณีสมมตินี้คือก่อนอายุ 40 ... ส่วนกรณีทั่วไป คือ เท่าที่จะมีชีวิตอยู่) มันก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้
แหล่งที่มา    Facebook : Thailand Investment Forum

บทเรียนจากก้นหลุม

คนที่ตก "หลุมชีวิต" เป็นได้แค่สองอย่างเท่านั้น

หนึ่ง ถ้าเขาเอาตัวเองไม่รอด วันๆ เขาก็จะจมทุกข์ และในที่สุดอาจถึงขั้นบ๊ายบายโลกนี้ไปเลย
สอง ถ้าเขาดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุมได้ ชีวิตเขาจะพุ่งและสำเร็จสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่

จากเคยจน ก็จะรวย
จากเคยทุกข์ ก็จะปล่อยวางได้ทุกอย่าง

! คนที่ผ่านการตกหลุมชีวิตมา
รับรองว่าชีวิตหลังจากนั้น
จะไม่เคยมีกลางๆ ธรรมดาๆ แน่นอน
เพราะสิ่งที่ใครคนนั้นจะได้จากก้นหลุมที่ตกลงไปก็คือ
"บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต"

วันนี้ใครที่กำลังตกหลุมชีวิตอยู่
ขอให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังเจอบททดสอบครั้งสำคัญ
อารมณ์ของมันไม่ต่างกับคุณเล่นเกมโชว์อยู่
ถ้าตอบถูก คุณจะได้เงินล้าน
แต่ถ้าตอบผิด คุณจะกลับบ้านมือเปล่า
แถมกลับบ้านที่ว่าน่ะ กลับบ้านเก่านะ

แทบทั้งนั้นของคนที่รวยมาด้วยมือตัวเอง
ล้วนเคยตกหลุมชีวิตที่ว่า
แต่เพราะเขาสอบผ่านบทเรียนจากก้นหลุมมาได้
เขาถึงประสบความสำเร็จขนาดนั้น

จะว่าไปแล้วคนที่ตกหลุมชีวิตนั้น
ได้สิทธิ์พิเศษกว่าคนที่ชีวิตราบเรียบด้วยซ้ำ
อย่างน้อยคุณก็ได้ถูกเลือกมาลุ้นเงินล้านในเกมโชว์ครั้งนี้

ฉุดตัวเองขึ้นมาให้ได้
แล้วชีวิตคุณจะรุ่งสุดๆ
ยืนยันว่าคือเรื่องจริง

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

ความไม่รู้ กับ ความโง่ ... ต่างกัน

ความไม่รู้ กับ ความโง่ ... ต่างกัน

ความไม่รู้ ... เมื่อได้รับคำอธิบายที่ดี เมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอ ถ้านำไปคิดต่อ สุดท้ายความไม่รู้ก็สามารถกลายเป็นความรู้ (แล้ว) ได้

ส่วนความโง่ ... แม้จะได้รับคำอธิบายที่ดีแล้ว ได้รับข้อมูลที่เพียงพอแล้ว แต่ก็ไม่สามารถคิดต่อได้จนทะลุ สุดท้ายก็จะยังไม่เข้าใจ ยังมีความโง่อยู่เหมือนเดิม

ความไม่รู้ และ ความโง่นั้น ใครๆ ก็มี  แค่ต่างเรื่อง ต่างระดับกันไป ... ไม่รู้นิดเดียว (คือรู้มาบ้าง) ไปจนถึง ไม่รู้อะไรเลย โง่น้อย ไปจนถึง โง่มาก

ดังนั้น ถ้ารู้ตัวว่าเรื่องไหนไม่รู้ ก็ไปทำให้รู้ ... ถ้ารู้ว่าเรื่องไหนโง่ ก็ตั้งสติไปสร้างปัญญา เพื่อให้ความโง่กลายเป็นความฉลาด จนสามารถรู้เรื่องที่ไม่เคยรู้ได้ ... แต่สำคัญที่สุด คือต้องรู้ตัวเอง และยอมรับตัวเอง ว่าเราไม่รู้อะไร และโง่อะไร

แหล่งที่มา    Facebook : Thailand Investment Forum

พิพิธภัณฑ์ประยูรภัณฑาคาร

พิพิธภัณฑ์ประยูรภัณฑาคารหรือพรินทรปริยัติธรรมศาลา มีที่มาจากเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ได้สร้างศาลาต่อมุขพระบรมธาตุมหาเจดีย์เมื่อปี 2428 เพื่อเป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมอุทิศถวายแด่ผู้เป็นบิดาและมารดา

ต่อมาในปี 2459 กระทรวงธรรมการ (ปัจจุบันคือ กระทรวงศึกษาธิการ) ได้ใช้เป็นห้องอ่านหนังสือสำหรับประชาชนในวัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร หอพรินทรปริยัติธรรมศาลาจึงเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี 2492

ในช่วงปลายปี 2550 ได้มีการนำพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากศรีลังกาประดิษฐานไว้ส่วนบนของพระบรมธาตุมหาเจดีย์ และได้พบกรุพระพุทธรูปโบราณ พระบรมสารีริกธาตุองค์ดั้งเดิมหุ้มทองคำบรรจุในภาชนะที่เรียกว่า อูบ และพบกรุพระเครื่องในบาตรนับพันองค์

จากนั้นได้นำพระบรมสารีริกธาตุองค์เดิมบรรจุในเจดีย์ทองคำที่เททองขึ้นใหม่ แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุจากศรีลังกา พระพุทธรูปโบราณ พระเครื่อง และวัตถุโบราณ ตั้งไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์ตรงฐานพระเจดีย์ โดยทางวัดได้บูรณะหอพรินทรปริยัติธรรมศาลาจนแล้วเสร็จในปี 2551 จึงเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันนี้

ต่อมาได้มีญาติโยมนำพระพุทธรูปเก่าแก่มาให้ทางวัดเก็บรักษาด้วยคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนที่มีทั้งหมด  เข้าชมได้ฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. ที่วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร เชิงสะพานพุทธ

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันrพฤหัสบดีที่ 9 ม.ค. 57 (551)

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...