วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลูกจ้างดีเด่น

มีคนมาถามบ่อยๆว่า
อยากประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่ทุกวันนี้ยังทำงานประจำอยู่
ยังไม่มีโอกาสออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
เพราะยังไม่พร้อมด้วยเหตุผลบางประการ
ควรจะทำอย่างไรดี

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่นิดนึงว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จนั้นต้องเป็นเจ้าของกิจการ
หรือเป็นนายตัวเองเท่านั้นจึงจะเรียก
ได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว

คนที่ทำงานประจำแล้วประสบความสำเร็จ
ก็มีอยู่เยอะแยะ เพียงแต่เค้าอาจไม่ได้เป็นข่าว
หรือได้ลงตามหน้าหนังสือ
เหมือนคนเป็นเจ้าของเท่านั้นเอง

ในความคิด
คุณจะทำงานอะไรก็ได้แล้วทำมันได้ดี
มีรายได้สมเหมาะกับคุณภาพงานที่คุณทำ
และคุณมีความสุขที่จะทำงานนั้นทุกๆ วัน
อย่างไม่รู้เบื่อต่างหาก
ถึงจะเรียกว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง

ไม่ใช่ตื่นมาก็กลุ้ม
ตอนนอนก็เอามือก่ายหน้าผากนอน
กังวลว่าสิ้นเดือนนี้จะเอาเงินที่ไหนจ่ายลูกน้องดี

ถ้าทำธุรกิจส่วนตัวแล้วต้องกลุ้มกันขนาดนี้
ทำงานประจำอาจเหมาะกว่านะ

ถ้าคุณต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ในฐานะพนักงานประจำหรือลูกจ้าง
คุณต้องสามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้
ชนิดที่บริษัทเค้ารู้สึกว่าเค้าขาดคุณไม่ได้

ต้องพยายามถึงที่สุดที่จะรั้งตัวคุณไว้ไม่ให้ไปไหน
และการที่จะเป็นอย่างนั้นได้
คุณต้องมีอะไรหลายๆ อย่างที่โดดเด่นกว่าใคร
ชนิดที่เรียกว่าเหนือกว่าคนอื่นแบบเห็นได้ชัด
และเสมอต้นเสมอปลาย
เจ้านายอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง

ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณมีคุณสมบัติตามนี้กี่ข้อ

1. มีฝันใหญ่
คนที่จะประสบความสำเร็จทุกคน
ต้องมีฝันและฝันนั้นต้องใหญ่พอ

ใหญ่ขนาดที่ว่าบอกใครแล้ว
ก็มีแต่คนหัวเราะนั่นละ
คือฝันที่ใหญ่กำลังดี

ความฝันใหญ่นี้ไม่จำกัดว่านะ
จะต้องเป็นแผนกไหน
เรื่องอะไรเป็นพิเศษ
จะฝ่ายขาย ฝ่ายบัญชี ฝ่ายขนส่ง
ทุกตำแหน่งล้วนมีฝันใหญ่ได้ทั้งนั้น

สิ่งที่สำคัญคือฝันแล้วทำให้มันเป็นจริงได้เมื่อไหร่
เมื่อนั้นคงไม่มีใครลืมคุณได้

2. รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ 
คนเก่งและมีความสามารถ
คือคนที่รู้และสามารถบริหารการทำงาน
ภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเองได้ดีในทุกมิติ

เรื่องนี้มีส่วนผสมของ common sense + experience
คือสามารถใช้สามัญสำนึก สัญชาตญาณ
และประสบการณ์มาผสมผสานเพื่อเป็นแนวทางของตัวเอง
จะมีอย่างใดเพียงอย่างนึงไปทั้งหมดก็คงไม่ไหว

ทั้งสามสิ่งจะเป็นตัวบอกว่า
เราควรทำอะไรก่อนหลัง ต้องทำมันยังไง
อะไรคือผลที่ต้องการ
และที่สำคัญคือเวลามีปัญหาจะต้องไปหาใครช่วย

คนส่วนใหญ่จะตกม้าตายข้อสุดท้าย
เพราะเวลามีปัญหาดันไม่ยอมแก้แต่เนิ่นๆ
พอเจ้านายรู้ก็สายเกินไปแล้ว
(เคล็ดลับสุดๆ คือคนเก่งจะแก้ปัญหาได้หมดโดยไม่ต้องไปให้ถึงมือเจ้านาย)

3. ถ่อมตัว
คนที่ประสบความสำเร็จ
ร้อยทั้งร้อยคือคนที่รู้จักการเข้ากับคนได้ทุกระดับ
ติดดิน ถ่อมตัวและมีศาสตร์ในการบริหารคนเป็นเลิศ

สามารถกินข้าวกับลูกน้องได้อร่อยพอๆ กับกินกับเจ้านาย
รู้จักการวางตัวอย่างเหมาะสม
รวมถึงความสามารถในการเข้าสังคม
รับรองลูกค้า-คู่ค้าด้วย
ซึ่งสิ่งนี้เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวแต่ฝึกกันได้

4. ทุ่มเท 
ความทุ่มเทในการทำงานนั้นสำคัญแต่ไหน
คงไม่ต้องอธิบายมากนะ  แต่ทั้งนี้การทุ่มเท
ต้องมีขอบเขตและความสมดุลย์ในชีวิต

การทำงานให้เสร็จตรงหรือก่อนกำหนดเวลา
ไม่อู้ ไม่แว่บ มีเวลาพักผ่อนให้ตัวเองและ
ครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ
ถือว่าคุณคือคนที่น่าชื่นชมมากกว่า
คนที่ขอบทำงานยันดึกๆ ดื่นๆ
เพราะนั่นแสดงถึงประสิทธิภาพการทำงาน
ในชั่วโมงปกติว่าคุณไม่สามารถจัดการงานต่าง
ได้ตามเวลาเหมือนคนทั่วไป

5. เชื่อมั่นในตนเอง
ถ้าตัวเรายังไม่มั่นใจในตนเอง
แล้วเจ้านายจะมั่นใจในตัวเราได้อย่างไร

มันจะมีเส้นบางๆ ระหว่างความมั่นใจ
กับความหยิ่งผยอง+อวดเก่ง

ซึ่งคนทั่วๆ ไปยังไงก็แยกออกยกเว้นเจ้าตัว
ความมั่นใจในตนเองจะถูกถ่ายทอดออกมา
จากการออกความคิดในที่ประชุม

การ brainstorm การนำเสนองานต่อ Boss หรือลูกค้า
คนที่มั่นใจจะพรีเซนต์ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่มั่นใจ
พร้อมจะเปิดรับความคิดเห็น ติชม
ต่างกับคนเย่อหยิ่งที่เป็นคนที่ ego สูง ใครติไม่ได้

6. ซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติของผู้ดี จบนะ

7. ไว้วางใจได้
อันนี้เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากความซื่อสัตย์
เพราะเป็นเรื่องของการฝากผีฝากไข้ได้
ไหว้วานไปทำงานอะไรก็สำเร็จทุกครั้ง
เรียกง่ายๆ ว่าบริษัทสามารถฝากเรื่องสำคัญ
หรือแม้กระทั่งฝากอนาคตกับคุณได้

คนที่ได้รับความไว้วางใจโดยมาก
คือคนที่มีภาวะผู้นำสูง
และคนลักษณะนี้เอง
คือคนที่ทุกองค์กรขาดไม่ได้

8. มีความคิดสร้างสรรค์
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นครีเอทีฟเท่านั้น
ถึงจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์
เพราะทุกๆ คนสามารถและ
มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัวเอง
อยู่ที่ว่าคุณจะเอามันไปใช้ในด้านที่เกิด
ประโยชน์แก่องค์กรรึเปล่าเท่านั้นเอง

คุณอาจไม่เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์อยู่รอบตัวเรา
โดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น เล่นคำผวน การเมนท์ฮาๆ
หรือการตัดแต่งภาพล้อเลียนในเนต

สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสาขานึงของการใช้
ความคิดสร้างสรรค์เพียงแต่มันเป็นอะไร
ที่ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าจะให้ดีคุณต้องเอา
ความสามารถในการคิดอะไรแปลกๆ
และแตกตต่างได้แบบนี้มาแก้ปัญหา
หรือนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้องค์กรดีกว่า

9. รักความก้าวหน้า
ความสนใจ และกระตือรือร้นที่จะทำอะไร
นอกเหนือจากเรื่องของตัว  ขอแยกเป็น 3 ด้าน คือ

1. สนใจเรียนรู้ศึกษางานอื่นๆของบริษัทเพิ่มเติม
2. เต็มใจช่วยเหลืองานผู้อื่นแม้ไม่ใช่หน้าที่ของตัว
3. ใส่ใจที่จะพัฒนาตนเองตลอดเวลาทั้งในและนอกเวลาทำงาน

น่าเสียดายมากที่คนไทยส่วนมากมักจะไม่กล้า
แสดงออกในเรื่องนี้เพียงเพราะกลัวคำเยาะเย้ย
แซว หรือถากถางจากพวกปากเน่าว่าเราเป็น
คน “ชอบเสนอหน้า” หรือ “ทำเพราะประจบ”
เลยทำให้ชีวิตเรามันไปไม่ถึงไหนและไม่หลุดพ้น
จากไอ้พวกปากเน่าเหล่านี้เสียที สังเกตุดีๆ นะว่า
ในทุกองค์กร พวกปากเน่านี้จะไปไหนไม่ได้ไกลเหมือนกัน
เพราะวันๆ มัวแต่เอาเวลามาถ่วงความเจริญชีวิตคนอื่นนั่นเอง

10. มีพลังบวก
ถ้าคุณมีพลังบวกในตัว
เรื่องปัญหาอะไรต่างๆ มันก็จะถูกมอง
เป็นความท้าทายและมองด้านบวก
แก้ได้ ปรับปรุงได้ ทัศนคติแบบนี้สร้างได้
และจำเป็นต้องมีด้วยเพื่อความสุขของ
ตัวคุณเองและคนรอบข้าง

ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากมีลูกน้องที่
คิดลบ คิดร้าย วันๆ
นั่งเอามือกุมหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ทุกครั้งเวลางานที่ทำไม่เป็นไปตามแผนแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ

ทั้ง 10 ข้อนี้  รวบรวมมาจากเพื่อน พี่ และน้อง
รวมถึงหัวหน้างานทุกคนที่ได้ร่วมงานกันมา

และทุกวันนี้หลายต่อหลายท่านยัง
คนมีความสุขกับบทบาทของการเป็นพนักงานประจำ

ทุกคนมีตำแหน่งที่สูงขึ้นพร้อมๆ กับความรับผิดชอบ
และความท้าทายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
รายได้ก็ดีมากตามความสามารถ

บางคนเงินเดือนๆ ละ 4-5 แสนบาท
(คุณคิดเอาว่าคนรายได้ขนาดนี้ ความรับผิดชอบเค้าจะขนาดไหน)
และที่สำคัญ บางคนกลายเป็นคนที่องค์กรขาดไม่ได้ไปแล้ว
ลาออกไปแล้วบริษัทก็ยังต้องไปง้อให้กลับเข้ามา
เพราะหาคนทำอะไรแบบนี้ไม่ได้

ค่าง้อนี่แพงมากนะ
คุณคงพอจะนึกออกแต่บริษัทก็ต้องยอม

หนทางสู่ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว
สิ่งสำคัญอยู่ที่ เป้าหมายของชีวิต
แนวคิดในการเลือกวิธีไปให้ถึง
และวิธีการในการจัดการตัวเอง
ให้เข้าใกล้เป้าหมายไปเรื่อยๆ มากกว่า
ที่เป็นตัวตัดสินว่าใครคือคนที่ประสบความสำเร็จ
และถ้าคุณมีคุณสมบัติทั้ง 10 ข้อนี้ครบ
คงไม่มีองค์กรไหนกล้าปล่อยคุณหลุดมือไปแน่นอน

แหล่งที่มา    Facebook : Trick of the Trade

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...