วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติด้วย ROAD MAP โดย คสช.


แหล่งที่มา    เว็บไซต์  http://infographic.in.th/infographic/528

ชีวิตต้องคิดบ้างว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

เมื่อก่อนเราเคยคิดมั้ยว่า
ทำงานทั้งเดือน เพื่อแลกกับแบงค์พัน 10 กว่าใบ
ทำงานทั้งเดือน แต่ทุกครั้งที่กดเงิน เห็นเงินในบัญชีเหลือไม่กี่พัน
ทำงานทั้งเดือน แต่ทุกต้นเดือนต้องต่อแถวชำระหนี้บัตรกดเงินสด

เราส่วนใหญ่ไม่เคยคิด 
ได้แต่ใช้ชีวิตไหลไปเรื่อยๆ

และเมื่อไม่เคยคิด 
ก็ไม่ต้องสงสัยว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

มันไม่ผิด แต่มันต้องมีอะไรไม่ถูกสักอย่าง ที่ชีวิตเราเป็นแบบนี้
กี่ปีแล้วที่เดือนชนเดือน 
กี่ใบที่เอาแต่จ่ายขั้นต่ำ
กี่เดือนที่ไม่มีเงินเหลือเก็บ 
กี่เย็นที่ฉลองเงินเดือนออก เพื่อที่สัปดาห์แรกเงินเดือนก็หมดแล้ว
ต้องอีกกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี 

เราถึงจะเปลี่ยนแปลง?
งั้นลาออกเลยสินะ? 
เปล่า  ไม่ได้พูดแบบนั้น
แต่ถ้าเงินเดือนน้อย เราต้องหางานพิเศษเพิ่ม 
ไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องขึ้นเงินเดือน

ถ้าเงินเหลือน้อย เราต้องจ่ายตัวเองก่อน หักเงินเก็บไว้เลย 
เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้ ไม่ใช่เหลือจ่ายค่อยเอามาเก็บ

ถ้าเป็นหนี้ ต้องรีบสะสาง อย่างสร้างหนี้เพิ่ม 

ถ้าใจง่าย ใช้เงินเก่ง แต่หาเงินไม่เก่ง ต้องหักบัตรทิ้งให้หมด

ถ้าไม่ชอบชีวิตที่เป็นอยู่
มันย่อมไม่ใช่ดื่มเพื่อลืมความจริง
แต่มีสองวิธี คือ 
หนึ่ง เลิกพร่ำบ่น เลิกทำตัวเป็นเหยื่อ เอาแต่คร่ำครวญ 
สอง ลงมือทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่เคยได้

ชีวิตต้องคิดบ้างว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
และกำลังจะไปไหนต่อ

ปีนี้จะได้ไม่เหมือนปีที่แล้ว
และปีหน้าจะได้ดีกว่าปีนี้

เพราะชีวิตเราไม่ใช่กระดาษก็อปปี้
ที่กี่ปีๆ ก็เหมือนกันทุกปี
คิดหน่อยมั้ย?

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

ไม่มีความสำเร็จไหนได้มาในวันเดียว

"วอร์เรน บัฟเฟตต์"
นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

เคยกล่าวเอาไว้ว่า
"คนที่วันนี้มีร่มไม้ไว้นั่งเล่นเย็นสบาย
ก็เพราะเมื่อนานมาแล้ว
เขาได้ปลูกต้นไม้เอาไว้นั่นเอง"

มันเป็นประโยคที่ใช่เลย
ไม่มีความสำเร็จไหนได้มาในวันเดียว
ทุกอย่างต้องผ่านกาลเวลาอันยาวนาน
แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ก็คือ
เขาอดไม่ได้ "2 อย่าง"

อดไม่ได้อย่างแรก คือ "อดทนรอคอยความสำเร็จไม่ไหว"
มีคนมากมายที่ยอมแพ้ไปก่อน
ลงมือทำอะไรได้ไม่นานก็ล้มเลิกอย่างรวดเร็ว
เข้าทำนอง ตัดสินใจเชื่องช้ากว่าจะลงมือทำ
แต่กลับเปลี่ยนใจเร็วเมื่อเจออุปสรรค

อดไม่ได้อย่างที่สอง คือ "อดใจไม่ไหวกับสิ่งยั่วยวน"
มีคนมากมายที่หวั่นไหวไปตามกิเลส
พวกเขารักความสบาย ชอบมีความสุขเดี๋ยวนี้เลย
ปัญหาอะไรจะเกิดก็ไว้ค่อยไปแก้เอาทีหลัง
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ นี่คือคำติดปากของคนแนวๆ นี้

เรื่องนี้ถ้าจะให้เห็นภาพชัดๆ
ต้องเปรียบเทียบกับเรื่องการออกกำลังกายลดน้ำหนัก
คนส่วนใหญ่ไม่ออกกำลังกาย เพราะมันเหนื่อย
และในระยะสั้นมันก็ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย
วิ่งได้ไม่กี่วัน พฤติกรรมยังไม่ทันเกาะเป็นนิสัย
ก็ล้มเลิกไปแล้ว

แต่พอเห็นขนมหวานวางอยู่ตรงหน้า
กลับคว้าหมับกินอย่างรวดเร็ว
พลางปลอบใจตัวเองว่า "ชิ้นเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า"

หารู้ไม่ว่า ไม่ว่าจะความสำเร็จหรือความล้มเหลว
พวกมันล้วนสร้างขึ้นมาจากอิฐทีละก้อนๆ

หนึ่งวันไม่อาจเห็นความเปลี่ยนแปลง
แต่จากวันเป็นเดือน จากเดือนเคลื่อนไปเป็นปี
นั่นล่ะ ผลลัพธ์ของมันจะเผยตัวออกมา
วิ่งทุกวัน ย่อมแข็งแรงในที่สุด
กินขนมหวานทุกวัน ย่อมอ้วนในที่สุด

สุภาษิตจีนบทนึงกล่าวไว้อย่างคมคายว่า
เวลาที่เหมาะสมในการปลูกต้นไม้ คือเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ส่วนเวลาที่เหมาะสมรองลงมาคือ "เดี๋ยวนี้"

ถ้าอดีตเราพลาด ไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้
มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ป่วยการจะมานั่งคิดเปล่าๆ
ประเด็นที่สำคัญก็คือ
"วันนี้เราลงมือหว่านเมล็ดพันธุ์เพื่อวันพรุ่งนี้แล้วหรือยัง?"
นั่นต่างหากที่อยากถามคุณทุกคน
ลงมือหรือยัง ?

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เก่ง+ตอบโจทย์คนหมู่มาก+หาคนแทนได้ยาก...

รู้จักคนที่มีรายได้ปีละ 1 แสนบาท
รู้จักคนที่มีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท
และก็รู้จักคนที่มีรายได้วันละ 1 แสนบาท
ถามว่า 3 คนนี้ใครเก่งกว่า?

ตอบยาก เพราะคนเราไม่มีใครเก่งกว่าใคร
เราแค่เก่งกันคนละเรื่อง คนละอย่าง

คำถามต่อมาก็คือ
แล้วทำไมคน 3 นี้จึงมีรายได้ต่างกันขนาดนี้?
อันนี้พอตอบได้

มีอยู่ 3 คุณสมบัติ
ที่ทำให้คนเรามีรายได้ต่างกัน

ข้อแรก เราต้อง "เก่งจริง" ในสายงานที่เราทำอยู่
แทบทุกอาชีพ มีทั้งคนรวยและคนจน

วงการนักเขียนที่ว่าไส้แห้ง ก็ยังมีนักเขียนเงินล้าน
วงการหุ้นที่หลายคนเจ๊งหมดตัว ก็ยังมีคนร่ำรวยจากตลาดหุ้น

คำถามจึงอยู่ที่ว่า "เราเก่งจริงหรือเปล่า?"

ข้อสอง งานที่เราทำ ต้อง "ตอบโจทย์" คนจำนวนมาก
บางครั้งสิ่งที่เราเก่งจริง แต่ตลาดไม่ต้องการ แบบนั้นก็ทำเงินยาก

เช่น เราอาจนอนหลับเก่ง หัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บ
เก่งแบบนี้ ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์อะไรคนอื่นเลย
แต่ถ้าเก่งในการมีวิธีให้คนที่นอนไม่ค่อยหลับ หลับได้ง่ายขึ้น
แบบนี้ตอบโจทย์ตลาด

จำไว้ว่า ผู้คนจะจ่ายเงินให้กับคนที่แก้ปัญหาให้กับเขาได้
ยิ่งสิ่งที่เราทำสามารถแก้ปัญหาให้คนจำนวนมากเท่าไหร่
เงินทองก็ยิ่งหลั่งไหลมาเท่านั้น

ข้อสาม งานที่เราทำต้องไม่มีใครทำแบบเราได้ หรือมีก็น้อยมาก
หลายครั้งเราอาจจะเก่ง ตอบโจทย์ตลาด
แต่ถ้าใครๆ ก็ทำได้ คู่แข่งเกิดขึ้นง่ายๆ
ใช้บริการของใครก็เหมือนกัน

แบบนั้นรายได้เราจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เพราะมีคนตัดราคา
ถ้าอยากมีรายได้เพิ่ม

ลองพิจารณาดูงานที่เราทำอยู่สิ
1.เราเก่งจริงในสายงานของเรามั้ย?
ถ้าไม่ ก็ต้องพัฒนาความสามารถของตัวเอง

2.งานของเราตอบโจทย์คนหมู่มากมั้ย?
ถ้าไม่ ก็ต้องเปลี่ยนงาน เปลี้ยนสินค้า เปลี่ยนบริการ
เพิ่มคุณค่าให้กับมันจนแก้ปัญหาคนจำนวนมากได้

3.งานของเรามีคนแทนเราได้ง่ายๆ มั้ย ใครก็ทำแบบเราได้ใช่มั้ย?
ถ้าใช่ แปลว่าเรายังดาษดื่น หาได้ทั่วไป
ก็ต้องรู้จักสร้างแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

เก่ง+ตอบโจทย์คนหมู่มาก+หาคนแทนได้ยาก
คือคุณสมบัติทั้ง 3 ที่ทำให้คน 3 คนที่ว่ามา
มีรายได้ต่างกันหลายสิบเท่า

แล้วคุณล่ะ
ใน 3 ข้อนี้ มีคุณสมบัติข้อไหนบ้าง?

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ศาลทหาร

โดยปกติ ศาลทหารจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด ซึ่งสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารได้
(มาตรา 6, 23, 24 พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498)

แต่ถ้าอยู่ในเวลาที่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกย่อมถือว่าอยู่ในเวลาไม่ปกติ ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกตินี้จะเป็นอันถึงที่สุด ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้
(มาตรา 36 และ มาตรา 61 วรรคสอง พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498)

ที่มา  www.matralaw.com
แหล่งที่มา    Facebook : Matra Law

เมื่อเราเริ่ม "รักตัวเอง" ก่อน...โลกนี้ก็จะรักเรา

เริ่มที่ "รักตัวเอง" ก่อน
แล้วโลกนี้ก็จะรักเรา

คิดว่าความโชคร้ายในชีวิตของคนคนหนึ่งนั้น
รากฐานของมันมาจาก "การไม่รักและเคารพแม้แต่ตัวเอง"
พูดง่ายๆ ว่าคนประเภทนี้รู้สึกว่า
คนอย่างเขาไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีสิ่งดีๆ เข้ามา
เขาจะผลักมันออกไปโดยไม่รู้ตัว
เขาจะวิ่งหาการยอมรับจากผู้อื่น
ใครก็ได้...รักฉันหน่อยสิ

เมื่อเขามีเงิน เขาจะเสียมันไปง่ายๆ
บางครั้งถึงกับหมดตัว

เมื่อมีรัก เขาจะเสียคนรักไปโดยง่าย
ไม่เคยเจอรักที่ยาวนาน ทั้งที่วิ่งวนหามายาวนาน

ใช่! ชีวิตฉันมันต้องแย่ๆ แบบนี้แหละ สมควรแล้ว!
นั่นแหละคือสิ่งที่เขาคิดในใจ

เขามีความสุขที่จะมีความทุกข์
ตอนวันร้ายๆ เขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่วันดีๆ จะมาหาเค้าบ้าง
แต่พอวันดีๆ มาถึง เขาก็กังวลว่าจะเสียมันไป
สรุปเขาเลยทุกข์ทั้งตอนมีวันดีๆ และวันร้ายๆ

ปัญหาทั้งหมดนี้แก้ไขได้โดย
"เห็นคุณค่าของตัวเราเองก่อน"

คำถามที่เราน่าจะถามตัวเองก็คือ
"เรารู้สึกอย่างไรกับคนในกระจกที่เราเห็นทุกวัน?"

มองกระจกแล้วเห็นคนเก่งหรือห่วย?
มองกระจกแล้วเห็นคนซวยหรือคนโชคดี?
มองกระจกแล้วเห็นคนที่คู่ควรกับการถูกรักหรือถูกทอดทิ้ง?
มองกระจกแล้วบอกกับคนในนั้นว่า
"ชีวิตนี้กูต้องได้ดี" หรือชอบบอกว่า
"คนอย่างมึงก็มาได้แค่นี้แหละ"

คุณเป็นแบบไหน?
ในหนังสือ See You at the Top ของ Zig Ziglar
บอกถึงวิธีที่จะจัดการกับภาพพจน์ในใจตัวเราไว้หลายวิธี

แต่วิธีที่เวิร์คมาก มีอยู่ 2 วิธี

หนึ่ง ลิสต์รายการ "คุณสมบัติที่ดีในตัวเรา" 
เขียนใส่กระดาษแล้วพกติดตัวเอาไว้อ่านประจำ
เช่น ฉันเป็นสุภาพ ฉันเป็นคนตรงเวลา ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ฯลฯ

สอง เขียนลิสต์ความสำเร็จในอดีต ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน
เอามาอ่านเพื่อเตือนตัวเองว่าเราเคยชนะมาตั้งเท่าไหร่
เช่น สอบติด สมัครงานแล้วได้งาน พาแม่เที่ยว ฯลฯ

สองวิธีนี้จะทำให้เราเคารพรักตัวเองมากขึ้น
มันจะทำให้เราซึ่งหลงลืมคุณค่าในตัวตน
หันกลับมามองตัวเองอีกครั้งว่า

เรานั้นคือ "คนที่น่าเคารพ"
ไม่ใช่คนไม่ได้ความ แบบที่เราชอบบอกตัวเอง
ลองเอาไปทำดูนะ แล้วคุณจะพบว่า
เมื่อเราเริ่ม "รักตัวเอง" ก่อน
โลกนี้ก็จะรักเรา

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"เ ป็ น ตั ว ข อ ง ตั ว เ อ ง"

ถ้าการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด
ทำไมคุณต้องคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น!!
-----
เคยรู้สึกบ้างไหมว่า
การที่เราเป็นตัวเองแบบนี้
... มันผิดด้วยหรือ!!!

แค่นอนตื่นสายไปหน่อย
บางครั้งแอบอู้งานไปนิด
พูดจาไม่ดีก็เพราะชั้นเป็นคนแบบนี้

คนเราใครมันจะเพอร์เฟกส์ไปได้หมดฟระ!
เป็นตัวของตัวเองแบบนี้
มันผิดตรงหนายยยยยยยโฟร้ยยยย

คำถามสั้นๆ ก็คือ
แล้วเราเคยเป็นคนอื่นด้วยเหรอ?
เราทุกคนรู้อยู่ว่าอะไรดี
แต่บางทีเราก็ไม่อยากจะทำมัน

เหตุผลส่วนใหญ่ คือ
"เ ป็ น ตั ว ข อ ง ตั ว เ อ ง"

แต่บางครั้ง..
เราอาจจะลืมไปว่า
คำว่าเป็นตัวเอง
มันอาจจะเป็นเพียงข้ออ้าง
สำหรับคนที่
... ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
-----
ขอบคุณและให้เครดิต
ข้อความบางส่วนจากน้องนู๋ห่าน
อยากเป็นสก๊อยแต่ชีวิตไม่นำพา

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย!

ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืด แม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่า กินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”

เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ

เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”

“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”

“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....

“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้

“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู
 กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้

“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้

 เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ

เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย

เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่ง กำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”

อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยาย กำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด

“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?” แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”

รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”

“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”

เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป

“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

#########################

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมด ค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า

 สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว

ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!

ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ

ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !
ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย!

ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืด แม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่า กินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”

เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ

เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”

“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”

“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....

“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้

“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู
กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้

“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้

เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ

เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย

เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่ง กำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”

อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยาย กำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด

“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?” แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”

รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”

“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”

เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป

“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

#########################

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมด ค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า

สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว

ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!

ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ

ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !

แหล่งที่มา    Facebook : กปปส. นนทบุรี 

กฏของการแข่งขัน

คงต้องยอมรับความจริงว่า เราเกิดมาก็ต้องพบกับการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตั้งแต่ยังเด็กเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งกันเล่นๆ เหมือนวิ่งแข่งสมัยเด็กๆ หรือแข่งกันสอบเข้าเรียน สมัครงาน หรือจนกระทั่งทำงาน ทำธุรกิจก็มีคู่แข่ง เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เรามีความสุขกับมันได้

มีกฎอยู่ 2 ข้อเกี่ยวกับการแข่งขัน ที่ควรยึดถือไว้เตือนใจกับตัวเอง เพื่อให้เราอยู่ท่ามกลางการแข่งขันอย่างมีความสุข

  1. แข่งกับตัวเองคนเดียวพอ ไม่ต้องพยายามแข่งกับคนอื่น เพราะจะทำให้ตัวเราเข้าไปอยู่ในการแข่งขันที่ไม่รู้จบ นอกจากมีคู่แข่งปัจจุบัน แล้วยังมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา การมุ่งมั่นแข่งกับตัวเอง จะช่วยให้เรามีโฟกัสที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นแง่มุมทุกความเคลื่อนไหว เห็นรายละเอียดทุกจุด ที่เกิดขึ้นทุกช่วงเวลา แนวคิดของการแข่งกับตัวเอง เป็นแนวคิดหลักที่นักกีฬาทุกคนใช้ในการพัฒนาสถิติและผลงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง ว่ายน้ำ ทุกคนจะสนใจเฉพาะสถิติของตัวเองเท่านั้น
  2. ห้ามหยุดพัก แม้คุณหยุดพักเพียงแค่วันเดียว คุณก็แพ้ตัวคุณเองในเมื่อวานแล้ว เพราะทุกวันของคุณ คุณมีพัฒนาการให้กับตัวเองตลอดเวลา เมื่อวันนี้คุณหยุด คุณเท่ากับแพ้

เพียแค่คุณเข้าใจกฎ 2 ข้อนี้ของการแข่งขัน คุณก็จะใช้ชีวติท่ามกลางการแข่งขันได้อย่างมีความสุขทุกๆวัน

แหล่งที่มา    Facebook : Trick of the Trade

คนเรารู้จักความตายตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

"ทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น"
นั่นสิ แต่มันเมื่อไหร่ล่ะ? ไม่มีใครรู้

เพราะคนเราไม่ใช่ผลไม้กระป๋องที่มีฉลากบอกวันหมดอายุ
ที่แน่ๆ คือ ในทุกวันเราต่างกำลังเดินเข้าหาความตาย

หลังจากคืนนั้นบอกกับตัวเองว่า
จะดูแลสุขภาพมากกว่านี้
จะบ้างานให้น้อยกว่านี้
จะเล่นกับลูกให้มากกว่านี้
จะไปรับลูกที่โรงเรียนให้มากครั้งกว่านี้
จะกินข้าวกับลูกให้มากมื้อกว่านี้

เพราะรู้ว่าที่สุดเราก็ต้องจากกัน ไม่วันใดก็วันนึง
นึกถึงเพลง We Can Work it Out ของ The Beatles
ท่อนนึงเขาร้องไว้ว่า
"Life is very short, and there's no time
For fussing and fighting, my friend"
แปลสั้นๆ ว่า
ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะมาหงุดหงิดทะเลาะกัน

ใช่  ชีวิตคนเราสั้นจะตาย
ที่สุดเราก็ต้องจากกัน
ความทรงจำดีๆ จึงคือสิ่งเดียวให้คนที่ยังอยู่ได้ระลึกถึง
ทำดีต่อกัน รักกัน ให้กำลังใจกัน ให้อภัยกัน
ใช้เวลาร่วมกันให้นานที่สุด
นั่นเป็นเรื่องที่เราน่าจะทำให้กับคนที่เรารัก
คิดว่าอย่างนั้นนะ

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Timeline การประกาศ คสช. ในรัฐประหาร 57

เกาะติดประกาศ คสช.


แหล่งที่มา    Facebook : Infographic Thailand

ปลายทาง...เป้าหมาย+ความสำเร็จ

เคยถามตัวเองไหมว่า
เราต้องทนให้คนอื่น "ตัดสิน" ไปอีกนานเท่าไร
-----
ถ้ามีคนบอกว่า..
งานที่คุณทำไม่มีวันประสบความสำเร็จ

ถ้ามีคนบอกว่า..
ธุรกิจที่คุณลงทุนนั้นห่วยแตก

ถ้ามีคนบอกว่า..
คุณนั้นเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องแบบโคตรๆ

คุณจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?
เกลียด กลัว โกรธ
รำคาญ หงุดหงิด งุ่นง่าย
พ่ายแพ้ อ่อนแอ ร้องไห้
-----
วิธีที่ทำให้เค้าหยุดพูดที่ดีที่สุด
คือ คุณต้องประสบความสำเร็จให้เค้าเห็น

คำถามต่อมาคือ...
หากมีคนอื่นมาพูดแบบนี้ต่ออีกล่ะ?
คุณก็ต้องพยายามทำให้เค้าหยุดพูดอีกหรือเปล่า?

ถ้าคำตอบคือใช่
แล้วเมื่อไรจะจบจะสิ้น?
-----
บางครั้ง..
สิ่งที่ดีที่สุด คือ การไม่ตอบโต้
แต่ลงมือทำตามเป้าหมายของตัวเองต่อไป
เพราะคุณนั่นแหละ... รู้ดีที่สุดแล้วว่า
ตัวเอง "กำลังทำ" อะไรอยู่
และท้ายที่สุด...เราจะพบว่า
การ "ปิดหู" ของเรานั้น
ง่ายกว่า "ปิดปาก" คนอื่น
...จริงไหม

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

"สร้างมูลค่าเพิ่ม" + "ช่องทางจัดจำหน่าย"

สินค้าหนึ่งชิ้นจากโรงงานสู่มือผู้บริโภค
ถ้าใครเข้าใจว่าคนที่ได้กำไรเยอะที่สุดคือผู้ผลิต
คุณกำลังเข้าใจผิด
เพราะยุคนี้เราผลิตได้จำนวนมาก
และมีคู่แข่งจากทั่วโลกที่พร้อมจะขายถูกกว่า

จากโรงงานสู่มือผู้บริโภค
คนที่ได้กำไรมากที่สุดนั้นจึงมีอยู่สองคน

หนึ่ง คนที่ "สร้างมูลค่าเพิ่ม" ให้กับสินค้านั้น

รองเท้าต้นทุนคู่ไม่กี่สิบกี่ร้อย ทำไมขายได้คู่ละเป็นพัน?
กาแฟข้างถนนแก้วละไม่กี่สิบ แต่ทำไมกาแฟเจ้าดังระดับโลกแก้วละเป็นร้อย?
คำตอบเพราะเขารู้จักสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างเรื่องราวให้กับสินค้า
ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่าย ทั้งที่รู้ว่ามันแพง...แต่คุ้ม

สอง คนที่เป็นเจ้าของ "ช่องทางจัดจำหน่าย"

แต่ไหนแต่ไรมาพ่อค้าคนกลางนั้นร่ำรวยที่สุด และยุคนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น
ผู้ใดเป็นเจ้าของช่องทาง ผู้นั้นเป็นเจ้าของความมั่งคั่ง
มูลค่าของการขนส่ง กระจายสินค้า จึงเป็นต้นทุนที่สูงไม่น้อยของสินค้า

คำถามก็คือ แล้วคนธรรมดาอย่างเราจะทำอย่างไร?
คำตอบก็คือ ยุคนี้เราโชคดีมาก
ลองคิดสิ ถ้าเป็นยุคก่อน
ให้เราไปผลิตสินค้าแข่งกับยักษ์ใหญ่
ให้เราเปิดโรงงานผลิตสินค้านู่นนั่นนี่ เราจะสู้ไหวเค้าเหรอ ?

ถ้าเป็นยุคก่อน จะส่งสินค้าทีนึงต้องพึ่งพาเจ้าของช่องทางจัดจำหน่าย
หรือจะซื้อรถไปขนส่งเองก็เป็นเรื่องใหญ่โตเกินตัว
แต่ยุคนี้ทุกคนเป็นเจ้าของช่องทางได้
และทุกคนสร้างเรื่องราวสร้างมูลค่าเพิ่มได้

สินค้าธรรมดาที่เราจับมาสร้างเรื่องราวแล้วขายผ่านออนไลน์
จะสร้างกำไรให้เรามากกว่าที่จะต้องมานั่งผลิตสินค้าแบบยุคเก่าก่อน
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าคนตัวเล็กอย่างเรา
จะใช้แต้มต่อของโลกที่เปลี่ยนไปให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

ยุคนี้ยักษ์เล็กก็สู้ยักษ์ใหญ่ได้
ถ้ารู้จักสร้างเรื่องราว เพิ่มมูลค่า
และครอบครองช่องทางจำหน่ายเอง
ไม่ใช่มัวแต่ไปผลิตสินค้าราคาต่ำ
เพราะมันยากที่จะทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้
ยักษ์เล็กอย่างเรา พร้อมสู้มั้ย?

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สิ้นเปลืองมากที่สุด 10 อันดับ

ก่อนใช้ให้หยุดคิด


ถ้าคุณมีทุกอย่างใน 10 เครื่องใช้ไฟฟ้าตามรูป ก็ค่าไฟตกเฉลี่ยปีละราวๆ 27,000 บาท (หรือคิดเป็นต่อเดือน ก็ตกเดือนละ 2,250 บาท)
  1. เครื่องปรับอากาศ 10 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 4,529 หน่วย/ปี เสียเงิน 17,935 บาท/ปี
  2. เครื่องทำน้ำอุ่น 15 นาที เช้า-เย็๋น/วัน ใช้ไฟ 821 หน่วย/ปี เสียเงิน 3,251 บาท/ปี
  3. โทรทัศน์ 6 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 372 หน่วย/ปี เสียเงิน 1,473 บาท/ปี
  4. ตู้เย็น 24 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 473 หน่วย/ปี เสียเงิน 1,873 บาท/ปี
  5. พัดลม 12 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 237 หน่วย/ปี เสียเงิน 939 บาท/ปี
  6. หลอดไฟ 12 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 201 หน่วย/ปี เสียเงิน 1,873 บาท/ปี
  7. เครื่องคอมพิวเตอร์ 6 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 175 หน่วย/ปี เสียเงิน 693 บาท/ปี
  8. หม้อหุงข้าว 414 ครั้ง/ปี ใช้ไฟ 124 หน่วย/ปี เสียเงิน 491 บาท/ปี
  9. กาต้มน้ำไฟฟ้า 30 นาที/วัน ใช้ไฟ 110 หน่วย/ปี เสียเงิน 436 บาท/ปี
  10. เตารีด 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ใช้ไฟ 104 หน่วย/ปี เสียเงิน 412 บาท/ปี
นี่ยังไม่นับว่า ค่าไฟในอนาคตจะขึ้นไปอีกเท่าไหร่ แล้วจะมีนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรมาล่อใจเราอีกก็ไม่รู้เนอะ

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ

เครื่องใช้ไฟ้าที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุดก็คือ เครื่องปรับอากาศ นั้นเอง ซึ่งก็ไม่แปลก  ประเทศไทยเรามีแค่สองฤดู คือ ร้อน กับ ร้อนมาก ก็ต้องพึ่งแอร์เป็นธรรมดา

แต่ที่งงขึ้นมาก็คือ อันดับสอง ดันเป็นเครื่องทำน้ำอุ่น (อ้าวว ไหนบอกอยู่เมืองร้อน - -")

ถ้าลดสองอย่างนี้ได้ ก็คิดเป็น 70% ของค่าไฟทั้งหมดแล้วนะ
ประหยัดได้ ก็เพิ่มเงินออม เราลองมาหาทางลดกันดีกว่า
ว่าแล้วก็นะ อากาศมันร้อนเหลือเกิน ทำงานออฟฟิศมันดีตรงนี้ละ ^^

แหล่งที่มา     Facebook : Sinthorn

สิทธิประโยชน์ประกันสังคมควรรู้เกี่ยวกับเงินสงเคราะห์ต่างๆ

กรณีคลอดบุตร
ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าคลอดบุตร คนละ 2 ครั้ง ดังนี้

ผู้ประกันตนหญิง สามารถคลอดบุตรที่สถานพยาบาลใดก็ได้ มีสิทธิได้รับ
  • ค่าคลอดบุตรเหมาะจ่าย 13,000 บาท
  • เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นเวลา 90 วัน
ผู้ประกันตนชาย ที่มีภริยาจดทะเบียนสมรสหรือหญิงซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรส มีสิทธิ์ได้รับค่าคลอดบุตรเหมาะจ่าย 13,000 บาท

หมายเหตุ  ฐานค่าจ้างที่นำมาคำนวณเงินสงเคราะห์
  • ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) ค่าจ้างจริง แต่ไม่ต่ำกว่า 1,650 บาท และไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน
  • ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39) คือ 4,800 บาทต่อเดือน
กรณีสงเคราะห์บุตร
ผู้ประกันตน (ทั้งชายและหญิง) มีสิทธิได้รับ เงินสงเคราะห์บุตร เหมาะจ่ายเดือนละ 400 บาทต่อบุตร หนึ่งคน สำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ ใช้สิทธิพร้อมกันได้ คราวละไม่เกิน 2 คน

กรณีเสียชีวิต
นอกจากค่าทำศพ (40,000 บาท) และรับเงินบำเหน็จชราภาพคืนแล้ว ยังมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์กรณีตาย จ่ายให้กับทายาทหรือผู้มีสิทธิ ดังนี้
  • สมทบ 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 10 ปี ได้รับ 50% ของค่าจ้างรายเดือน 3 เดือน
  • สมทบ 10 ปีขึ้นไป  ได้รับ 50% ของค่าจ้างรายเดือน 10 เดือน


ขอขอบพระคุณกราฟฟิกจาก jobthai.com
แหล่งที่มา     Facebook : สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

10 คำพูดยอดฮิตของคนล้มเหลว

1.ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
2. วาสนาคนเราไม่เท่ากัน
3. มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
4. คนอย่างเราทำไม่ได้หรอก
5. อย่าไปทำเลย ไม่สำเร็จหรอก
6. พวกนั้นเค้าโชคดีก็ทำได้สิ
7. ถ้าย้อนเวลาไปได้นะ
8. ก็เศรษฐกิจมันแย่แบบนี้
9. เอาไว้ให้พร้อมก่อนก็แล้วกัน
10. เงินไม่สำคัญหรอก ขอแค่มีความสุขก็พอ

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ย้ำกันให้ชัดๆเเละดังๆ ว่า รัฐประหารไม่ใช่ปฏิวัติ !!!

รัฐประหารเกิดขึ้นจากใคร ?
ปฏิวัติกันไปเมื่อไร ?


ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ : http://infographic.in.th/infographic/525

แหล่งที่มา     Facebook : Infographic Thailand

ร้านปิด ลูกน้องหงุดหงิด เจ้าของร้านดีใจ

ช่วงนี้ร้านกาแฟของคนรู้จักคนนึงต้องถูกหวย ร้านต้องปิด 3 วันตามประกาศของคสช. เพราะร้านตั้งอยู่ในเขตสถานศึกษา

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ พอร้านปิดกลับกลายเป็นบรรดาลูกน้อง พนักงาน ที่หงุดหงิดงุ่นง่าน อยากเปิดร้านขาย ถึงกับมาขอบอกว่า เราแอบเปิดร้านได้ไม๊ ไม่ขายก็ได้ แค่ได้มาทำความสะอาดรัานก็ยังดี

เรื่องนี้บอกอะไรกับเรา

สิ่งที่บอกได้อย่างแรกคือ พนักงานร้านนี้มีสปิริตและผูกพันกับบริษัท กับรัาน และมีความเป็นเจ้าของร่วมอย่างมาก ใครเป็นเจ้าของแล้วได้พนักงายแบบนี้ โชคดียิ่งกว่าถูกหวยหลายเท่านัก

ซึ่งการที่พนักงานสามารถรู้สึกได้แบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่สิงที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะการชนะใจคนนั้นเป็นเรื่องใช้เวลาและอาศัยความพยายาม ความเข้าใจและปัจจัยต่างๆอีกหลายสิ่ง

การบริหารงานทุกอย่าง ปัจจุบันลัวนมาจบลงที่ขั้นตอนการบริหารคนทั้งสิ้น

เจ้าของต้องพัฒนาศาสตร์และเทคนิคการบริหารคนของตนเองดี สามารถเข้าใจหัวใจและเอาชนะใจพนักงานให้ได้ งานทุกอย่างจึงจะเป็นไปด้วยความเรียบรัอย

วันนี้ถ้ารัานของคุณปิดแล้วพนักงานร้องเฮแบบไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่าร้านจะไม่ได้ขาย แล้วล่ะก็
นั่นแสดงว่าคุณยังไม่สามารถชนะใจพวกเค้าได้

แหล่งที่มา     Facebook: Trick of the Trade

ค้นหา "งานที่ทำแล้วสนุก"

ชีวิตที่ไม่สนุก
คือชีวิตที่วิ่งวุ่นทำงานเพื่อหาเงินทั้งวัน
แล้วเอาเงินนั้นมากินใช้เพื่อคลายเครียด
โทษฐานที่ต้องวิ่งวุ่นทั้งวัน เลยต้องใช้เงินให้คุ้มกับที่เหนื่อย

สรุปแล้วยิ่งทำงานหนัก เงินจึงยิ่งไม่เหลือเก็บ
เพราะมันคือวังวนของการขจัดทุกข์คลายเครียด

ชีวิตที่สนุก
คือชีวิตที่สนุกกับการทำงานทั้งวัน
เมื่อไม่เครียด ก็เลยไม่ต้องกินใช้เพื่อคลายเครียด

และยิ่งแปลกที่เมื่อไม่ใช่ทำงานเพื่อหาเงิน
เงินกลับจะยิ่งตามมาเองจนปฏิเสธก็ไม่ได้

สรุปแล้วยิ่งทำงานหนัก เงินก็ยิ่งเหลือเก็บ
เพราะไม่รู้จะใช้ทำอะไร เนื่องจากงานที่ทำอยู่มันก็สนุกอยู่แล้ว
แบบนี้คือวงจรแห่งความสุขและผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม
งานที่ทำแล้วใจบอกว่าใช่ มันไม่เคยหล่นมาจากฟ้า
คนที่เจองานที่ใช่ เขาไม่ใช่ใช้แค่ความโชคดี
แต่ต้องค้นหา ไขว่คว้า ฝึกฝนจนชำนาญ
เพื่อให้งานนั้นเลี้ยงหัวใจและปากท้องได้

มีคนบอกว่า ใช่สิ! มันโชคดี
ชีวิตมีทางเลือกเยอะก็พูดได้สิว่าให้ทำงานที่รัก
ทั้งที่จริง ฝ่าฟันมาไม่น้อยกว่าจะเจองานที่ใช่

โชคดีแล้วงอมืองอเท้า
ยอมแพ้ง่าย แกล้งตายบ่อย
แบบนั้นงานในฝันไม่มาหาหรอก

งานต้องแปลว่าความสุข
ไม่ใช่แปลว่าความทุกข์
ยืนยันว่ามันเป็นอย่างนั้น
แม้มันจะใช้เวลาค้นหานานแค่ไหนก็ตาม

ปรารถนาจะบอกคุณว่า
คุณต้องหา "งานที่ทำแล้วสนุก" ให้เจอ
แล้วชีวิตทุกวันจะมีคุณค่า
เชื่ออย่างนั้น

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ใส่แว่น ... เพราะอะไร?

เตือนไว้ก่อนนะครับ...
โพสนี้คนสายตาดีห้ามอ่าน!!
-----
ทุกครั้งที่เราใส่แว่น
คนภายนอกดูไม่ออกว่า
เราใส่แว่นด้วยสาเหตุอะไร
สายตาสั้น, ยาว, เอียง
ใส่ตามแฟชั่น หรือป้องกันแดด

แต่เมื่อเราถอดแว่น
คนถึงจะพอเดาได้ว่า
เราใส่แว่น ... เพราะอะไร?
ปัญหาด้านสายตา?
ปัญหาด้านหน้าตา?
ปัญหาด้านแสบตา?
-----
การใส่แว่น...
ทำให้มองเห็นโลกชัดเจนขึ้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า "โลก" นั้น
อาจจะไม่ใช่โลกเดียวกับคนอื่น

แต่ไม่ว่าโลกจะเป็นอย่างไร
และเราจะใส่แว่นแบบไหน
มันคือ.. โลกใบเดียวกัน

และบางครั้ง
การมองผ่านแว่นของคนอื่นบ้าง
... มันอาจจะไม่เลวนัก

แหล่งที่มา      Facebook : TaxBugnoms

วิธีการแพคกระเป๋า

  1. ม้วนเสื้อ
  2. เรียงเสื้อที่ม้วนลงไปเป็นฐาน
  3. วางกางเกงขายาว จะเหลือที่ไว้วางเสื้อม้วนๆ ได้อีกชั้นหนึ่ง
  4. ตลบขากางเกงเข้า
  5. เสียบชิ้นเล็กๆ ไว้ขอบๆ กระเป๋า
Cr. วิธีการแพคกระเป๋าโดย Aksorn Learnspace

แหล่งที่มา    Facebook : SSO Savings Club

ได้เวลาอ่านหนังสือ

ช่วงนี้ไม่มีรายการทีวีให้ดู ไม่มีวิทยุให้ฟัง
แต่เรายังมี "หนังสือ" เพื่อนแท้ของเรา

ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้มีเวลาอ่านหนังสือ
ปกติแล้ว มักจะอ่านหนังสือหลายๆ เล่มพร้อมกัน
เพราะมีหนังสือน่าสนใจเต็มไปหมดจนอดใจแง้มอ่านไม่ได้

วันนี้เลยเลือกมา 3 เล่มที่อ่านง่ายมาก
เผื่อใครจะลองหามาอ่านตาม



เล่มแรก "ใคร? ขโมยเวลาของฉันไป"
เป็นหนังสือการบริหารเวลาที่อ่านง่ายมาก
สนุก และทำตามได้จริง
อย่างเรื่องของการจดบันทึกทุก 15 นาที
เพื่อดูว่าเราหมดเวลาไปกับอะไรบ้าง
เห็นแล้วสยอง ว่าเราใช้เวลาสิ้นเปลืองจริงๆ

เล่มที่สอง "5 Gifts for the Mind"
เล่มนี้มาแหวกแนวด้วยการเขียนเป็นนิยายสืบสวนคลี่ปมเร้นลับ
ผ่านตัวละครที่ต้องเดินทางไปไขความลับถึง 5 ประเทศ
หนึ่งในนั้นมีประเทศไทยด้วย
โดยทั้งหมดสอดแทรกภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของแต่ละประเทศ
เพื่อให้เราอ่านสนุก เจ๋งมากเล่มนี้

เล่มที่สาม "วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ"
เล่มนี้ถ้าเข้าใจไม่ผิด น่าจะมีขายนานแล้ว
แต่พิมพ์ออกมาใหม่  เจอที่ 7-11
ความน่าสนใจอยู่ที่ภาพประกอบที่จะทำให้เราเข้าใจถึง
"Body Language" หรือภาษาที่ออกมาจากท่าทาง
ลองหามาอ่านกันดู
ได้ทั้งความสนุก ได้ทั้งความรู้

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

องค์กรที่ดี

ในองค์กรที่ดี

ฝ่ายขาย ควรทำตัวเหมือนน้ำ เน้นการกระจายสินค้าให้คลอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย หาโอกาสช่องทางใหม่ๆ ขยายตลาดตลอดเวลา เหมือนสายน้ำที่ไหลไปได้ทุกที่ที่มีช่องว่าง

ฝ่ายการตลาด ควรทำตัวเหมือนไฟ จะทำแคมเปญอะไร แรงแค่ไหนทุกคนต้องรู้สึกได้ เกิด awareness ชัดเจน

ฝ่ายบุคคล ควรทำตัวเหมือนต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา เป็นที่พักพิงใจของทุกคนในองค์กร

ฝ่ายการเงิน ควรทำตัวเหมือนดินกั้นน้ำ หนักแน่นในหลักการ อุดช่องว่างไม่ให้เกิดการรั่วไหลของเงินทอง

เจ้าของ ควรทำตัวเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ให้ความสุขใจยามมองเห็น ปรากฏตัวให้การสนับสนุนเมื่อทีมงานมีปัญหา หาทางออกไม่ได้ เหมือนตกอยู๋ในความมืด

เพราะเราทุกคนอยู่ร่วมกัน เราจึงควรต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีและอยู่อย่างเกื้อกูลกัน องค์กรจึงจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

แหล่งที่มา    Facebook : Trick of the Trade

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

"เป็นไงบ้าง?"

ในเรื่องเดียวกัน
ถ้าคุณถามคำถามกลางๆ ไปว่า "เป็นไงบ้าง?"

คนสำเร็จจะตอบคำถามนี้ไปในทางที่ดี
หรือไม่ก็ตอบว่า "เฉยๆ"
เต็มที่เลยก็บอกว่า "ไม่เป็นไร" "ก็ดี"

แต่คนล้มเหลวพอถูกถามว่า "เป็นไงบ้าง?"
เท่านั้นล่ะ คุณเอ๋ย! เหมือนเขื่อนแตก
โอ๊ย! โคตรแย่! ไม่ได้เรื่อง!
เหนื่อย! ร้อน! คนเยอะ! น่ารำคาญ!
อะไรของมันวะ! เรื่องมากจริง!
และอื่นๆ อีกมากมายหลายคำบ่น

ขอย้ำอีกทีว่า "ในเรื่องเดียวกัน"
แต่คนสำเร็จกับคนล้มเหลว
มีคำตอบไม่เหมือนกัน

ที่ไม่เหมือนกันก็เพราะต่างกันที่ "โฟกัส"
คนสำเร็จเก่งในการหาข้อดีได้ทุกเรื่อง
ส่วนคนล้มเหลวก็เก่งในการหาข้อเสียได้ทุกเรื่อง

อยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนแบบไหน
ลองถามคำถามกลางๆ แบบนี้ดู

"เป็นไงบ้าง?"

แล้วรอฟังคำตอบ
ไม่ยากใช่มั้ย
แล้วคุณล่ะครับ วันนี้เป็นไงบ้าง?

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แค่ใจรัก อาจยังไม่พอ

เมื่อพูดถึงการมีรัานกาแฟเล็กเป็นของตัวเอง น่าจะเป็นหนึ่งในความฝันของใครต่อหลายคน แต่การที่คุณจะตัดสินใจเปิดร้านกาแฟสักร้าน ในชีวิตจริงคงไม่ง่ายแบบนับ 1-2-3 ทุกอย่างต้องถูกผ่านกระบวนการทดสอบและเรียนรู้อย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน

เพื่อนที่ทำงานเก่าคนนึง ทำงานประจำมาเกือบ 20 ปีมาถามว่า ธุรกิจร้านกาแฟนี่ทำยากไหม ต้องเตรียมตัวและมีขั้นตอนอะไรบ้าง เป็นคนชอบกินกาแฟมากเลยอยากทำร้านกาแฟ

เหตุผลและที่มาของการอยากเปิดร้านกาแฟ ฟังดูคุ้นๆ มั๊ย
"เพราะชอบกินกาแฟ เลยอยากเปิดร้านกาแฟ"
นี่มันเหตุผลยอดนิยมจริงๆ นะเนี่ย

เลยแนะนำไปง่ายๆ  ในขั้นต้นก่อนว่า อยากให้ไปศึกษาดูก่อนว่าในรัานกาแฟ วันๆ นึงเค้าทำอะไรบ้าง แล้วคุณคิดว่าคุณสามารถอยู่แบบนั้นได้ทุกวัน ทำอะไรๆ เหมือนเดิมเป็นกิจวัตรทุกวันแบบนั้นได้รึเปล่า "มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดและไม่น่าสนุกเท่าไหร่นะ ที่ต้องทำอะไรแบบเดิมทุกวัน"  ย้ำประโยคนี้ถึง 2-3 รอบเพื่อให้เค้าแน่ใจ ซึ่งเค้ามั่นใจว่าเค้ารับได้แน่นอน ไม่ต้องห่วง

สุดท้าย เราจบลงด้วยการที่ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนนึงที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟอยู่ โดยบอกว่าจะส่งเพื่อนไปขอฝึกงานด้วยสักอาทิตย์นึง เพื่อนคนนั้นก็ยินดีรับเด็กฝึกงานจำเป็นไปตามคำขอ
เมื่อผ่านไป 7 วัน เด็กฝึกงานจำเป็นก็โทรมาคุย  บอกว่าไม่คิดจะเปิดร้านกาแฟแล้ว เพราะน่าเบื่อมาก ไม่เคยคิดว่างานดูแลร้านกาแฟจะมีอะไรจุกจิกและจำเจแบบนี้ ตั้งแต่ตื่นเช้ามาทำความสะอาดล้างแก้ว สั่งน้ำแข็ง เช็คของในตู้เย็น ไม่รวมถึงงานเอกสารต่างๆ ลูกค้าก็มีเป็นช่วงๆ เวลาลูกค้าว่างๆ ก็ไปไหนไม่ได้ต้องคอยเก็บกวาดทำความสะอาดร้านตลอด

สรุปคือถอดใจและขอไปศึกษาธุรกิจอื่นดูอีกที

นับว่าเค้าโชคดีมาก  ที่เลิกกิจการได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียวลงแต่แรงกับเวลาเท่านั้น
สิ่งที่เรื่องนี้บอกเราก็คือ บางครั้งความฝันกับความจริงมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ถ้ามันฝืนธรรมชาติของเรา ต่อให้เรามีความฝันและความชอบแค่ไหน จริงอยู่ที่เราจะมีพลังมากกว่าปกติในการสู้กับปัญหาถ้าเรามี Passion ในเรื่องนั้นๆ แต่ถ้าสิ่งที่ทำมันฝืนธรรมชาติของเราจริงๆ มันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ตอยดึงเราไว้ไม่ให้ไปได้สุดตัว นานๆเข้ามันจะสะสมะกลับมาบั่นทอนตัวเรา

ดังนั้นคุณตวรหาธุรกิจในสิ่งที่คุณมี passion ควบคู่ไปกับความเป็นตัวตนของคุณ (Passion+Identity) นั่นเอง

ในการเลือกธุรกิจที่จะทำ คุณต้องมองภาพใหญ่ของสิ่งที่คุณชอบให้ออก ว่ามันสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบอื่นใดได้บ้าง อย่ายึดติดกับรูปแบบที่คุ้นเคยเพียงรูปแบบเดียวเช่นถ้าคุณชอบกินกาแฟ คุณอาจไม่จำเป็นต้องมีร้านกาแฟก็ได้ แต่คุณสามารถทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ขายเครื่องชง ขายเมล็ด รับออกแบบร้าน หรือแม้กระทั่งเปิดโรงเรีบนสอนชงกาแฟ

เหมือนกับเด็กฝึกงานจำเป็นคนนี้ ที่ปัจจุบันกลายเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าเครื่องชงกาแฟ ได้ทำตามฝัน อยู่กับสิ่งที่รักโดยที่ไม่ต้องฝืนธรรมชาติของตัวเองด้วย

ขอให้ทุกคนค้นพบสิ่งที่เป็น passion+Identity ของตัวเองให้เจอ

แหล่งที่มา     Facebook : Trick of the Trade

เสียดายเงิน ไม่เสียดายเวลา...ห่างไกลความสำเร็จ

ถ้าเรายังเอาแต่เสียดายเงิน
ไม่เคยเสียดายเวลา
เรายังห่างไกลความสำเร็จ

ถ้าเรายอมแลกเวลากับการประหยัดเงินเพียงเล็กน้อย
แปลว่าเรายังประเมินค่าของเวลาไม่เป็น

มนุษย์ต้องมี "เวลา" เท่านั้น
เขาถึงจะคิดทำอะไรใหม่ๆ ได้
ต่อให้วันนี้รายได้เดือนละหมื่น หรือเดือนละล้าน
แต่ถ้าไม่มีเวลา เราก็ทำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้

และอะไรใหม่ๆ ที่ว่านั่นเอง
ที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ชีวิต
อย่าเอาเวลาไปทำกิจกรรมราคาถูก
เพราะคิดว่าค่าตัวเราราคาถูกอยู่แล้ว
เสียเวลานิดหน่อยจะเป็นไรไป

เราได้รับค่าจ้าง ไม่ใช่เพราะชั่วโมงที่เราเอาไปแลก
พูดแบบนี้เหมือนจะค้านความจริง
ก็เห็นอยู่ว่าเราส่วนใหญ่ทำงานเก้าโมงเช้า ห้าโมงเย็น

ไม่หรอก ถ้าเราขายเวลาจริงๆ
งั้นนั่งอยู่บ้านเฉยๆ เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ก็คงได้เงินเดือน
เราขายความสามารถของเราต่างหาก
เพียงแต่ต้องนัดเจอกันในเวลาเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น
ค่าตัวหรือค่าจ้างของเราจึงมาจากความสามารถของเรา
หรือคุณค่าของเราที่มอบให้กับผู้อื่น

คนทำงานวันละแปดชั่วโมงเท่ากันจึงมีค่าตัวต่างกัน
ตั้งแต่เดือนละหมื่นไปจนเดือนละล้านหรือมากกว่า

ประเด็นจึงอยู่ที่เราเอาเวลาไปทำอะไร
ใครที่เห็นค่าของเวลา เค้าจะไม่ฆ่าเวลาเล่น
แม้วันนี้ค่าตัวเขาอาจจะน้อย
แต่เขาจะเอาเวลาว่างไปพัฒนาความสามารถของตัวเอง
และเมื่อวันที่ความสามารถของเขามากพอและตอบโจทย์ตลาด

ค่าตัวเขาก็จะสูงขึ้น และเวลาของเขาก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้น
จุดเปลี่ยนแรก จึงอยู่ที่มนุษย์ต้องมี "เวลาว่าง"
จุดเปลี่ยนที่สอง จึงอยู่ที่มนุษย์ผู้นั้น "เอาเวลาว่างไปทำอะไร?"
คนส่วนใหญ่เอาไปทำกิจกรรมราคาถูกที่ไม่ทำชีวิตให้ดีขึ้น
และส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ต้องเสียตังค์ด้วย

อะไรที่จะทำให้เรามีเวลามากขึ้น จงทำ
จากนั้นเมื่อมีเวลามากขึ้น
อะไรที่จะพัฒนาตัวเราเองได้ จงทำ
แล้วไม่นานความสำเร็จจะเป็นของเรา

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนคำถาม...ได้รับคำตอบที่เปลี่ยนชีวิต!

เพียงแค่เรากล้าที่จะเปลี่ยนคำถาม
เราอาจจะได้รับคำตอบที่เปลี่ยนชีวิต!
------
คนทุกคน
ล้วนอยากจะประสบความสำเร็จ

เพียงแต่ว่า
เราถามตัวเองด้วยคำถามไหน
ระหว่าง...
ทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จ
หรือ ทำอย่างไรเราถึงจะประสบความสำเร็จ

คำถามหนึ่ง
อาจจะทำให้คุณลงโทษตัวเอง
ด้วยข้อเสีย ตำหนิ จุดด้อยต่างๆ
และสุดท้ายมักจะจบลงด้วยคำแก้ตัว

ส่วนอีกคำถามหนึ่ง
อาจจะทำให้คุณค้นหาหนทางที่จะประสบความสำเร็จ
ผ่านมุมมอง ประสบการณ์ ความผิดพลาด ความล้มเหลว
แม้ว่าจะทำไม่ได้ในวันนี้
แต่ยังดีกว่าถ้าเราไม่ได้เรียนรู้อะไร
------
วันนี้...
คุณถามตัวเองด้วยคำถามแบบไหน?

คำถามเพราะไม่รู้
อาจจะได้รับคำตอบที่ทำให้เราได้เรียนรู้

ส่วนคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
... บางครั้งอาจจะไม่ต้องถาม

แหล่งที่มา      Facebook : TaxBugnoms

แผนผังรถไฟฟ้าลอยฟ้า & ใต้ดิน

ทั้งปัจจุบันและอนาคต

แหล่งที่มา     Facebook : มั่วหุ้น : การวิเคราะห์หุ้นมั่วๆ

คำดูถูก...ประสบความสำเร็จ

"แม่ของผมตั้งท้องผมตั้งแต่อายุ 15
ใครๆ ก็บอกแม่ว่าแม่กำลังทำชีวิตตัวเองให้ชิบหายวายวอด
ที่ตั้งท้องตั้งแต่อายุแค่นี้ แถมพ่อก็เป็นคนเดินยา"
"ใครๆ ก็บอกแม่ว่าชีวิตแม่ต้องเละยิ่งกว่าขี้
และลูกในท้องของแม่ก็ต้องเละยิ่งกว่าขี้ไม่ต่างจากแม่
ทุกคนต่างหว่านล้อมให้แม่ทำแท้ง
แต่แม่ก็ไม่ทำ"

"และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวผมตั้งแต่เด็กว่า
ผมจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้
เพราะผมจะไม่ยอมให้ไอ้คนพวกนั้นมันพูดถูก"

ข้อความดังกล่าว Dr. Dre
ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร esquire
(เผื่อใครไม่รู้จัก Dr.Dre เขาคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเพลงฮิพฮอพของอเมริกา)

อ่านบทสัมภาษณ์นี้แล้วประทับใจในประโยคสุดท้าย
จนน้ำตาแทบไหลออกมา เพราะมันโคตรใช่!
ถ้ามีคนสบประมาทว่าเราไปไม่รอดแน่ๆ

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนพูด
แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำให้ไอ้คนปากแบบนั้น
พูดถูกหรือพูดผิด

ถ้าเรายอมแพ้
ไอ้คนพวกนั้นมันก็พูดถูก
ถ้าเรายังไม่ยอมแพ้
ไอ้คนพวกนั้นมันก็ไม่มีทางพูดถูก

ปัจจุบัน Dr. Dre เป็นทั้งศิลปิน โปรดิวเซอร์
และเจ้าของค่ายเพลงฮิพฮอพที่ใหญ่มากๆ
มีศิลปินในสังกัดอย่าง Eminem และ 50 Cent

เขาเคยได้รางวัลแกรมมี่ถึง 6 รางวัล
นิตยสาร Rolling Stone ยกให้เขาเป็นศิลปินยิ่งใหญ่ตลอดกาล

ปัจุบันสินทรัพย์ของเขามีมูลค่านับหมื่นล้าน
Dr.Dre ทำให้คนพวกนั้นพูดผิดได้แล้ว
แล้วเราล่ะ? สู้มั้ย?

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

Google Logo : 19 พ.ค. 2557 การฉลองครบรอบ 40 ปีการประดิษฐ์ลูกบาศก์ของรูบิค


วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

กา จา ดา ตา บา ปา อา

ภาพนี้ถ่ายจากห้องเรียนชั้นอนุบาล 2



ประทับใจมากจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้
เห็นมั้ยว่าบนกระดานดำเขียนคำแสนจะง่ายอย่าง
กา จา ดา ตา บา ปา อา
แต่กลับบอกว่านี่คือ "คำยาก"

อะไรกันเนี่ย? มันยากตรงไหน?
แต่พอคิดไปคิดมา
เออจริง! มันคือคำยากสำหรับเด็กที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก

ครั้งนึงตอนเราเป็นกว่าจะผสมคำได้ มันง่ายซะที่ไหน
เพียงแต่ตอนนี้เราลืมไปแล้วว่ามันเคยยาก
จะว่าไปมีหลายเรื่องที่เราลืมไปแล้วว่ามันเคยยาก

ตักข้าวเข้าปากโดยไม่หก จรดดินสอเขียน กอ ไก่
ขี่จักรยานสองล้อได้ บวกลบคูณหารเลข
ไปโรงเรียนได้เอง มีแฟน สอบติด สอบไม่ติด สมัครงาน
เอาเป็นว่าเยอะ!

ชีวิตนี้มีแต่เรื่องยากๆ ที่เราคิดว่าไม่น่าจะทำได้
แต่เห็นมั้ย  สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้ทุกทีสิน่า
น่าแปลกที่ดูเหมือนว่ายิ่งเติบโต เราก็ยิ่งกลัวง่ายขึ้น

ไอ้นู่นก็ยาก ไอ้นี้ก็ไม่ง่าย
อย่างเดียวที่ง่ายคือ "ยอมแพ้ง่าย"
ใช่ เราเป็น "นักยอมแพ้" ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"เรื่องทุกเรื่องมันต้องยากก่อน แล้วมันถึงจะง่าย"
เป็นความจริงที่แสนจะธรรมดา
แต่ดูเหมือนเราจะแกล้งลืมๆ มันไป
หรือเราจะเอา "เริ่มต้นแล้วง่าย ต่อมาเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ"
แบบนั้นสงสัยจะไม่เวิร์ค

ถ้ากำลังทำสิ่งใหม่ แล้วพบว่ามันยากจัง
ขอให้รู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว
มันต้องยากก่อน แล้วถึงจะง่าย
ขอแค่อย่าเพิ่งเป็นนักยอมแพ้ง่ายๆ เท่านั้นก็พอ
วันนึงที่คุณผ่านความยากนั้นมาได้

คุณจะรู้สึกเหมือนกับตอนที่เห็นตัวหนังสือบนกระดานดำนี้ว่า
"มันยากตรงไหน?"
สู้ต่อ อย่าท้อง่าย
อะไรที่ไม่ทำให้เราตาย มันจะทำให้เราโต
เป็นกำลังใจให้นักสู้ชีวิตทุกท่าน

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

ทำไมมีคนแค่ 3% เท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ระหว่าง "เรื่องฉาว" กับ "ข่าวดี"
คุณว่าคนส่วนใหญ่ชอบคุยเรื่องไหน?

ระหว่าง "ชม" กับ "บ่น"
คุณว่าคนส่วนใหญ่เก่งเรื่องไหน?

ระหว่าง "เรื่องบันเทิง" กับ "เรื่องประเทืองปัญญา"
คุณว่าคนส่วนใหญ่ชอบฟังเรื่องไหน?

เอาแค่ 3 เรื่องนี้
ก็น่าจะหายสงสัยแล้วว่า

ทำไมมีคนแค่ 3% เท่านั้น
ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

นั่นก็เพราะคน 3% นั้นไม่ได้พูด ทำ คิด แบบคนส่วนใหญ่
คุยข่าวดี ชมเก่งๆ
ฟังเรื่องประเทืองปัญญา
อีกไม่นาน เราจะเข้ามาอยู่ในกลุ่มคน 3% นั้น

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

(1.01)^365 = 37.8 และ (0.99)^365 = 0.03

ณ โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง มีป้ายติดไว้ว่า..
(1.01)^365 = 37.8 และ (0.99)^365 = 0.03



อาจจะงงเล็กน้อยว่า มันหมายความว่าอย่างไร??
1.01 มีค่า มากกว่า เลข 1 นิดเดียว
0.99 มีค่า น้อยกว่า เลข 1 นิดเดียว

เอาเลข 1.01 มายกกำลัง 365 จะได้ค่า 37.8
คำแปลตามป้าย => “ถ้าคุณพยายามเเค่ไหน ความพยายามนั้น ก็จะส่งผลต่อคุณ”

เอาเลข 0.99 มายกกำลัง 365 จะได้ค่า 0.03
คำแปลตามป้าย => “ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่พยายาม ไม่ว่าจะทำอะไร ความสำเร็จก็จะไม่เป็นผล”

ว่ากันว่าตัวเลขนี้ เป็นการคำนวณของ Hiroshi Mikitani ประธานบริษัท Rakuten หนึ่งในบริษัท e-commerce ยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งกล่าวว่า ถ้าคนเราพยายามทำให้ได้ 1.01 เป็นพลังต่อสู้ทุกวันๆ (นับหนึ่งวันเป็นปี =365 วัน) ความพยายามนั้นก็จะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเราไม่สู้เกินร้อย สู้แค่ 99% ต่อให้เวลาผ่านไป 365 วัน ก็จะไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา

ยกตัวอย่างเช่น
มีคน 2 คน คนหนึ่งพยายามวิดพื้นทุกวัน วันละสิบครั้ง กับอีกคนหนึ่งกินๆๆๆ โดยไม่ออกกำลังกาย คุณคิดว่า คนสองคนนี้ อีกหนึ่งปีจะเป็นเช่นไร??

หรือ

มีออมสิน อยู่ หนึ่งใบ คนหนึ่งสะสมเงินวันละสิบบาท กับอีกคนมีออมสินเเละไม่หยอด อีกหนึ่งปีต่อมา จะเป็นเช่นไร?
Source: http://bit.ly/1mV7CSDSSO Savings Club

แหล่งที่มา      Facebook : SSO Savings Club

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ตัดสินการใช้จ่าย...ด้วย "ราคา" หรือ "ความคุ้มค่า"

เคยถามตัวเองไหมว่า..
เราตัดสินการใช้จ่ายของเรา
ด้วย "ราคา" หรือ "ความคุ้มค่า"
-----
กาแฟแก้วละ 150 บาท
ดื่มได้ดื่มดีปีละ 300 วัน
คิดเป็นเงิน 45,000 บาท

ราคานี้สามารถซื้อ..
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คดีๆ ได้ 1 เครื่อง
-----
เงิน 400,000 บาท
ระหว่างดาวน์รถใหม่ 1 คัน
กับกล้อง DSLR ดีๆ สัก 1 ชุด

เงินจำนวนเท่ากัน
แต่ความต้องการของเราต่างกัน
-----
คนเราทุกคน
เลือกที่จะใช้จ่ายไม่เหมือนกัน

คำว่า "สิ้นเปลือง" ของคนหนึ่ง
อาจจะเรียกว่าความ "คุ้มค่า" ของอีกคน

มันจึงเกิดคำถามว่า
เราวัดค่าของการใช้จ่าย
ด้วย "เงินที่เราจ่ายออกไป"
หรือ "สิ่งที่ได้กลับมาหลังจากนั้น"
-----
แต่ที่สำคัญที่สุด...
เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าการใช้จ่ายนั้น
"ถูก" หรือ "ผิด"

ตราบเท่าที่...การกระทำนั้น
ไม่ได้ทำให้ตัวเขาเองลำบาก
และไม่มีผลกระทบด้านลบต่อคนอื่น..
เพราะเมื่อเขาไม่รู้สึก "ลำบาก"
คุณจะไปลำบากแทนทำไมล่ะ
 
แหล่งที่มา      Facebook : TaxBugnoms

เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร?

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามแย่งความสนใจของเรา
ใจเราจึงพร้อมจะวอกแวกได้ตลอดทั้งวัน

ตื่นมาเจอข่าวในทีวี คนนั้นทำสิ่งนี้ คนนี้ทำสิ่งนั้น
ออกจากบ้านเจอแต่โฆษณาล้อมรอบตัว
ซื้อฉันหน่อยสิ เธอมีหรือยัง?
อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องปัดจอมือถือเพื่ออ่านไลน์
กรุ๊ปมีเป็นสิบ ข้อความไม่ได้อ่านเป็นร้อย
ไหนจะต้องอ่าน fb อ่านเมนต์ของคนนั้นคนนี้
โพสต์รูปเที่ยว รูปของกินลง IG
เช็คอีเมลอีกนิด ดูยูทูปอีกหน่อย จะได้ไม่ตกเทรนด์

สักพักโทรศัพท์ก็ดังเป็นเสียงเพลง ต้องรับอีก
โทรมาเรื่องงานบ้าง โทรมาเม้าท์มอยบ้าง
อะไรหนังเรื่องใหม่เข้าแล้ว หนังสือเล่มนั้นก็ยังไม่ได้อ่าน
แล้วคืนนี้ละครเรื่องอะไรนะ ต้องดูซะหน่อย

! เขียนมาซะยืดยาว
แค่อ่านก็ยังเหนื่อยใจ แล้วชีวิตจริงจะไม่เพลียยังไงไหว?
ถ้าไม่หลอกตัวเอง ก็คงจะเห็นเหมือนกับที่เห็นว่า
"คนที่ไม่วางแผนชีวิตนั้น แทบไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย"

เพราะทุกวันมันจะมีแต่ "เรื่องไม่สำคัญ" มาดึงความสนใจของเรา
และแน่นอน  หมายถึงมันดึง "เวลา" เราไปด้วย

จึงไม่แปลกใจว่า
คนส่วนใหญ่จะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ทั้งที่ตอนนี้เราใช้เวลาของปี 2557 ไปแล้วถึง 37%
"แล้วทำไมถึงไม่เป็นชิ้นเป็นอัน?"

ถามต่อและขอตอบให้เลย
"ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราในปี 2557 คืออะไร"
"แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราในปี 2557 คืออะไร?"

ถามต่อและขอตอบเองอีกที
"ก็เพราะเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร"
"ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทำไงดี?"

ตอบให้เลย
ก็ต้องออกไปลองทำอะไรใหม่ๆ ไปเจอโลกภายนอก
เสร็จแล้วต้องกลับมานั่งคุยกับตัวเอง มาเจอโลกภายใน
ทำแบบนี้เป็นประจำ แล้วจะเจอคำตอบเองว่า
"เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร?"

เรื่องเป้าหมายชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องค้นหากันทั้งชีวิต
ถ้าเจอคำตอบแล้ว เราจะเหมือนได้ GPS ไว้นำทาง
ใจเราจะวอกแวกน้อยลง

ใครที่ไม่มีเป้าหมาย ก็จะถูกดึงออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
เพราะสิ่งยวนใจมันเยอะ
แต่ใครที่มีเป้าหมาย
เมื่อจบวัน เราจะประเมินได้ว่า
วันนี้ทั้งวัน เราได้ทำอะไรที่ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายหรือยัง?

จากวันจะต่อเป็นเดือน จากเดือนจะต่อเป็นปี
และจากปี จะถักทอเป็นชีวิตของเรา
เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง
เราจะได้มองย้อนกลับไปแล้วไม่ต้องเสียใจว่า
ที่ผ่านมา เราไม่น่าปล่อยชีวิตลอยไปลอยมาอย่างนี้เลย
ที่สุดวันนึงทุกคนก็ต้องตาย

การได้เกิดมาแล้วอยู่อย่างมีเป้าหมายจึงคุ้มค่ากว่า
หาให้เจอสิว่า "เป้าหมายชีวิตของคุณคืออะไร?"
อย่ามัวแต่วอกแวกคิดเรื่องอื่นสิ

ถามคุณว่า
"เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร?"

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เงิน

เราให้คำจำกัดความกับ "เงิน" อย่างไร
เราจะปฏิบัติกับ "เงิน" อย่างนั้น

เงิน คือ Transport หรือ "พาหนะ"เป็นพาหนะที่แลกไปเพื่่อให้ได้ครอบครอง สินทรัพย์
และสินทรัพย์นั้น ก็จะสร้างเงินหรือกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นมาให้
และก็นำเงินไปแลกเป็นสินทรัพย์เพิ่มเข้าไปอีก

บริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง
เงินจะเพิ่มขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ เงินหรือเงินสด โดยตัวมันเองจะไม่สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆ
หนำซ้ำยังลดมูลค่าจากเงินเฟ้อด้วย

การเลือกครอบครองเงินสดในระยะยาวจึงเป็นโทษมากกว่าคุณ
แต่หลายๆ คน มองเงินเป็นสินทรัพย์
พอมีเงิน เลยคิดแต่จะครอบครอง
กอดเงิน ไม่นำเงินไปลงทุน

ไม่ใช่เพราะกลัวความเสี่ยง แต่เพราะไม่เข้าใจความเสี่ยง
เงินจึงไม่เพิ่ม
และโทษเทวดาฟ้าดิน ว่าไม่เข้าข้าง
คุณละ มอง "เงิน" ยังไง?

แหล่งที่มา      Facebook : Monkey Trader

ใช้ชีวิตเหมือนเจอป้าย Sale 50% Off

ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดี
จงทำตัวเหมือนสุภาพสตรีที่เจอป้าย SALE!!!
-----
เริ่มต้นจาก..
พุ่งเข้าหา "เป้าหมาย" ที่ตั้งไว้
เหมือนวิ่งเข้าใส่ของลดราคา!

คว้าเอาไว้ให้มั่นและดุดัน
และเมามันเหมือน "แย่ง" ของในกระบะ
เบียดเสียด แย่งชิง พื้นที่ เพื่อเข้าหาชัยชนะ
ดุจการปะทะและพุ่งชนกับบรรดามนุษย์ป้า

ตาไว สังเกตปัญหา และแก้ไข
ให้เหมือนเวลาเปลี่ยนสินค้ามีตำหนิ

แต่สิ่งที่ควรระวัง
นั่นคือชีวิตที่ดีนั้น
ต้องไม่มีเป้าหมายที่มากเกินไป

มิฉะนั้นจะเหมือนกับ
การที่ซื้อของมาแล้วแต่ไม่ได้ใช้
... มันเสียเวลาและเงินไปเปล่าๆ
จริงไหม

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

โลกของ "ความเป็นเพื่อน"

ครั้งหนึ่งพาลูกชาย ตอนนั้นน่าจะอายุราว 6-7 ขวบไปเล่นสวนน้ำบนหลังคาห้างสรรพสินค้าใหญ่
ปล่อยให้วิ่งเล่นน้ำในสระตื้นๆ
คอยมองไม่ให้คลาดสายตา...

ตอนแรกลูกชายเล่นอยู่คนเดียว
พอสักพักมีเด็กวัยเดียวกันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้ามาเล่นด้วย จากหนึ่งคน เป็นสอง เป็นสาม...
ไม่ช้าเป็นกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะให้กันสนุกสนาน ...
พากันเล่นโน่น เล่นนี่ด้วยกัน !

ความเป็นเพื่อนของเด็กเกิดง่ายมาก แค่นำตัวเองเข้ามาร่วม กลุ่มก็เปิดรับ เรียบง่าย ไม่มีอื่นใด...
นึกถึงสมัยเรียนมัธยม วัยที่โลกนี้มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่สำคัญที่สุด...

ไม่เรียบง่ายเหมือนสมัยเด็กเล็กๆ
แต่ไม่มีอะไรซับซ้อน ขอเพียงมีเวลาให้กัน แค่นั้นทุกอย่างจบ
อาจจะทะเลาะกันบ้าง แต่เมื่อหายโกรธ ... ก็กลับมา กอดคอเที่ยวเล่นกันได้เหมือนเดิม รักกันเหมือโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าความเป็นเพื่อนอีกแล้ว !!!

ยิ่งโตขึ้นความรู้สึกแบบนี้ยิ่งค่อยๆเลือนหายไป ... เริ่มที่จะเลือกคนที่จะมาเป็นเพื่อนมากขึ้น ตัดขาดเพื่อนเก่าบางคน มองหาใครที่จะมาเป็นเพื่อนใหม่ มีกรอบที่จะคัดสรร คนมาเป็นเพื่อนมากขึ้น อย่างน้อย ... มีสไตล์ชีวิตคล้ายๆ กัน
มีเรื่องราวที่สนอกสนใจเหมือนๆ กัน
หรือไม่บางคนถึงขั้นต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น !!!

โลกของเพื่อนแคบลงเรื่อยๆ
มองคนที่มีสไตล์ชีวิตแตกต่าง หรือ
ไม่มีประโยชน์ร่วม ไร้สาระ
เสียเวลาที่จะคบหา...

โกรธใครสักคนก็หัวปักหัวปำ
ชาตินี้ยากจะคืนดีกันได้ หรือหากเป็นเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน อาจถึงขั้นต้องล้างผลาญแตกหัก
ดับดิ้นกันไปข้าง !!!

ความเป็นเพื่อนที่เรียบง่าย ...
ค่อยๆ จางหายไป...

แต่เมื่อวันที่ชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยชรา
เหมือนความเรียบง่ายนั้นจะกลับมาเอง...
เราจะพบเห็นเสมอว่าคนแก่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แค่นั่งกินกาแฟ
ร้านเดียวกัน มีเรื่องคุยกันได้ครึ่งค่อนวัน เล่าถึงวันเก่าๆ ... เรื่องราวของลูกหลานแลกเปลี่ยนกัน...

ในสวนสาธารณะ ที่ไปเดินออกกำลังกาย ผู้สูงอายุต่างพูดคุยกัน
ช่วยเหลือเอื้ออาทรกันโดยไม่ถือชั้นวรรณะ ... เอ็งจนข้ารวย ข้าเคยมีตำแหน่งใหญ่โต ส่วนเอ็งแค่คนหาเช้ากินค่ำ ไม่เอาอะไรแบบนั้นมาปิดกั้นความสัมพันธุ์อีกแล้ว !!!
เมื่อไม่มีกรอบของชีวิตเสียแล้ว ความเป็นเพื่อนก็เกิดขึ้นง่าย...

อาจจะเป็นความไม่มีกรอบที่เกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของเด็กๆ หรือกรอบถูกสลัดไปจากความเจนโลกเจนชีวิตของคนแก่...

มิตรภาพที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มากเรื่องมากความ เกิดจากชีวิตที่ไม่มีกรอบขังตัวเองไว้ให้ห่างจากคนอื่น
ในหลักสูตรอบรมดังๆ ที่นิยมเข้าเรียนกันในปัจจุบัน จนมีการเปิดสอนกันมากมายเพื่อให้หน่วยงาน หรือบริษัทตัวเองเป็นสถาบันที่โด่งดัง
ได้รับการยอมรับนับถือ...

คอร์สแรกของการเข้าอบรวมด้วยกัน คือ "ละลายพฤติกรรม" ...
เอาคนที่หลากหลาย เป็นใหญ่เป็นโตจากต่างที่ต่างทาง มาเล่นเฮฮา
บางครั้งบ้าๆ บอๆ ร่วมกัน เรียกว่า "ละลายพฤติกรรม" ...

คำที่มักใช้เสมอในคอร์สนี้คือ
"ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน เมื่อเดินเข้ามาในนี้
จงถอดหมวกวางไว้หน้าประตู
เข้ามาแล้วทุกคนเท่าเทียม ไม่มีใครเล็ก ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร !!!"

ว่าไปกิจกรรมทั้งหมดที่ทำในคอร์สนี้คือ ... การทลายกรอบที่ทุกคน
ตีไว้ขังตัวเอง ให้เปิดใจออกมาต้อนรับคนอื่นเป็นเพื่อนง่ายขึ้น...

เล่นสนุกสนานเฮฮาร่วมกันได้ !!!
เหมือนเด็กๆ ถอดฟอร์มตัวเองทิ้ง
ใครถอดได้ก่อน ได้เร็ว ...
จะกลายเป็นผู้นำกิจกรรมของกลุ่มไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่าใหญ่โต ต่ำต้อยมาจากไหน
หากยังถอดฟอร์มของตัวเองทิ้งไม่ได้
จะกลายเป็นคนที่เงอะงะตามเพื่อนไม่ทันเหมือนๆ กัน
ด้วยคอร์สละลายพฤติกรรม ทำให้เปิดใจต้อนรับคนอื่นได้ง่ายๆ
เหมือนที่เคยมี ตอนเป็นเด็กเล็กๆ

ถ้าหลักสูตรไหน หรือผู้เรียนรุ่นใหญ่สามารถแกะกรอบของเพื่อนร่วมรุ่นได้มาก ถอดฟอร์มทิ้งเมื่ออยู่กับเพื่อนได้เสมอ...
หลักสูตรนั้น หรือรุ่นนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ !!!
ว่าไปแล้วความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของหลักสูตรแบบนี้ ที่สุดแล้วแทบไม่ได้
อยู่ที่วิชาความรู้ที่เอามาอบรม
แต่อยู่ที่ ... ทำให้คนในหลักสูตร

เพื่อนร่วมรุ่น คบหาสมาคม ช่วยเหลือกันและกัน โดยไม่ถือยศถา
บรรดาศักดิ์ และ ฐานะ ได้นานแค่ไหนมากกว่า...

ความสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนร่วมรุ่นได้ เป็นสิ่งที่มีค่า เพราะเราได้ชีวิตในวัยเด็กที่เรียบง่ายกลับคืนมา...
ในรุ่นเพื่อนสมัยมัธยมบางกลุ่มก็เป็นอย่างนั้น แยกย้ายกันไปสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อเสียง บางคนสำเร็จ หลายคนล้มเหลว บางคนชีวิตเหมือนวันเก่าๆ !!!

ในงานเลี้ยงรุ่นชั้นมัธยม หากกลุ่มไหน เอาแต่ยกย่องชมเชยเพื่อนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ร่ำรวย มีหน้ามีตา ละเลยเพื่อนที่ยังเดินไปไม่ถึงฝัน
จะเป็นงานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนมาร่วมน้อยลงไปเรื่อยๆ ...

แต่หากกลุ่มไหน ให้เกียรติเพื่อนเสมอกัน เพื่อนผู้ประสบความสำเร็จมีวุฒิภาวะพอ ที่จะรู้ว่าต้องถอดหมวกแห่งความยิ่งใหญ่ ทิ้งไปก่อนเข้างาน มาในฐานะ "เพื่อน" ที่เสมอๆ กัน !!!

งานเลี้ยงเพื่อนรุ่นนั้นยิ่งนานยิ่งมีเสน่ห์ เพื่อนที่จะเข้าร่วมยิ่งมากขึ้น
ทำตัวเหมือนเด็กที่ชวนกันวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ หรือเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชวนกันคุยเรื่องราวเก่าๆ
ในร้านกาแฟได้มากเท่าไร !!!

ถอดกรอบที่ตัวเองตีไว้ เปิดใจรับเพื่อน โดยไม่นึกถึงประโยชน์ตัวเองได้มากเท่าไร !!!

ชีวิตในเวลาที่อยู่กับเพื่อนจะสนุกสนานเฮฮาได้มากเท่านั้น
ต่างกันที่ "ทำได้หรือไม่ แค่ไหน"
เครดิต เพื่อนทางไลน์

แหล่งที่มา      Facebook : Investor Room

แรงบันดาลใจ

เมื่อวานจำเป็นต้องปริ้นท์รูปด่วนจากมือถือ
เลยตรงเข้าไปที่ร้านถ่ายเอกสารครบวงจร
แจ้งความจำนงว่า อยากปริ้นท์งานจากมือถือ

พนักงานต้อนรับชี้ให้ ไปที่ห้องคอมพิวเตอร์ด้านใน
เดินเข้าไปในห้องนั้น มีคอมพิวเตอร์เรียงอยู่สามตัว
พนักงานผู้หญิงคนนึงที่กำลัง "ออกแบบนามบัตร" อยู่
เธอหันมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยคะ  ตอบไป

แล้วเธอก็ให้เสียบมือถือเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน USB
จากนั้นเธอก็จัดแจง "คลิกเม้าส์" เปิดไฟล์งาน
ลากไฟล์ดึงลงโปรแกรมโฟโต้ชอป
ตรวจดูความเรียบร้อย แล้วสั่งปรินท์

เนื่องจากร้านนี้ทำงานเป็นระบบมาก
เธอจึงต้อง "กดคีย์บอร์ด" ป้อนรหัสพนักงาน
ป้อนลักษณะงานที่ลูกค้าสั่ง จำนวนหน้า
พร้อม "ยื่นการ์ดบาร์โค้ด" ของเธอให้ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์

เล่าเรื่องนี้ทำไม? ในเมื่อมันแสนจะธรรมดา
ก็แค่เดินไปปริ้นท์งาน จะเล่าเพื่อ?
! มันก็คงจะธรรมดาอยู่หรอก

ถ้าพนักงานที่ปริ้นท์งานนั้นไม่ใช้ "ตีน" ทำทั้งหมดที่ว่ามา
ไม่ว่าจะเป็นออกแบบนามบัตร คลิกเม้าส์ กดคีย์บอร์ด
หรือยื่นการ์ดบาร์โค้ด
(ขออนุญาตใช้คำว่า "ตีน" นะ เท้ามันไม่สะใจ 555+)

เปล่านะ ไม่ได้เปรียบเปรยว่าเธอไม่ตั้งใจทำงาน
แต่เธอใช้ "ตีน" จริงๆ ปริ้นท์งานให้
เนื่องจากเธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง
แต่เธอคนนี้กำลังนั่งเก้าอี้ใช้คอมพิวเตอร์อยู่ข้างๆ เพื่อนที่มีแขน

ไม่ได้รู้สึกว่าเธอพิการเลยสักนิด
นาทีที่จ้องดูเธอทำงาน
บอกตรงๆ ว่าทึ่ง ทึ่งมาก
เพราะเธอคล่องแคล่วไม่แพ้คนมีแขน
(เผลอๆ จะมากกว่าด้วยซ้ำ)

เธอใช้ตีนซ้ายจับดินสอเพื่อจิ้มคีย์บอร์ด พิมพ์เร็วปานจักรผัน
ส่วนตีนขวา เธอคลิกเม้าส์ขวาซ้ายได้อย่างรวดเร็ว
ดูเธอใช้คอมพิวเตอร์อย่างเมามัน สุดยอดอ่ะ!
เดินออกจากร้านด้วยความประทับใจ 2 เรื่อง

เรื่องแรก 
เธอคนนี้ช่างสร้างแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม
นี่ล่ะเรื่องจริงไม่ต้องผ่านจอ แต่โคตรสร้างพลังใจสุดๆ
เรามีสองมือ สองตีน ถ้าท้อแท้คงน่าอาย

บ้างบางคนงอมืองอตีน บอกว่าชีวิตนี้ขาดโอกาส
บ้างบางคนยอมแพ้ง่ายจนกลายเป็นนักแพ้
คนไม่มีมือ มีแค่สองตีน เค้ายังสู้เลย

เรื่องที่สอง
นาทีที่เธอยื่นตีนคีบการ์ดบาร์โค้ดส่งให้
โอโห มันช่างน่าจดจำจริงๆ
ก็เกิดมาเคยรับของจากตีนใครที่ไหนกันล่ะ
555+

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

งานประจำ มั่งคงมีจริงไหม

รู้ไหมว่า..
งานประจำอะไรที่มั่นคงที่สุด?
-----
มีน้องคนหนึ่งปรึกษามาทางหลังไมค์ว่า
อยากเปลี่ยนงานประจำที่ทำอยู่
เพราะรู้สึกว่า "ไม่ใช่" และ "ไม่โดน"
ทั้งวัฒนธรรมและองค์กรและระบบในการทำงาน
หรือเรียกได้ง่ายๆสั้นๆว่า "หมดไฟ" นั่นแหละ
-----
น้องบอกว่า..
อยากได้งานประจำที่มั่นคงกว่านี้?
คำพูดนี้แหละ
ที่ทำให้ถามตัวเองขึ้นมาว่า
แล้วมีงานอะไรบ้างที่เราเรียกได้ว่า "มั่นคง"
-----
มนุษย์เงินเดือน
บางครั้งอาจจะโดนไล่ออกโดยไม่รู้ตัว

ข้าราชการ
บางครั้งอาจจะถูกโยกย้ายเปลี่ยนพื้นที่

เจ้าของกิจการในฝัน
ที่บางครั้งต้องปิดกิจการ
พร้อมๆ กับวิมานในอากาศที่ล่มสลาย

เพราะว่า..
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน
-----
ในชีวิตหนึ่ง..
มีงานหลายงานให้เราเลือกทำ

แต่คนหลายคน
กลับต้องทนอยู่กับงานที่ไม่ได้อยากทำ
กลับกลายเป็นว่า
เรามัววนเวียนอยู่ในงานที่เราไม่ได้เลือก
เพียงเพราะมายาคติสั้นๆ ที่ชื่อว่า "มั่นคง"
... อย่างนั้นหรือ
-----
ตอบน้องกลับไปว่า
งานประจำที่มั่นคงนั้น
มันไม่มีจริงหรอก...

ถ้าอยากเปลี่ยนงานจริงๆ ล่ะก็
อยากให้ลองหางานใหม่
ที่เราสามารถ "มั่นคง"
และอยู่กับมันได้เป็น "ประจำ"
... น่าจะดีกว่า

แหล่งที่มา      Facebook : TaxBugnoms

หนังห่วย VS หนังดี

ผู้ชายคนนึง เดินไปที่ห้าง
ตรงไปที่ร้านขายดีวีดี
เขาตรงดิ่งเข้าไปรื้อค้นในกระบะหนังลดราคา
มันเต็มไปด้วยหนังเกรดบีห่วยๆ ไร้คุณภาพ
เขาบรรจงเลือกเรื่องที่ห่วยที่สุดในนั้นมา

หลังจากจ่ายเงิน
เขาเดินตรงกลับบ้านทันที
ยัดแผ่นใส่ในเครื่องเล่น กดปุ่มเพลย์ นั่งจมไปในโซฟา
ดูท่าทางเขาจะเพลิดเพลินกับหนังห่วยเรื่องนี้มาก

พอหนังจบ เขาเล่นมันซ้ำอีกรอบ
พอหนังจบ เขาเล่นมันซ้ำอีกรอบ
อีกรอบ และอีกรอบ

หลังจากหนำใจ เขาเอาแผ่นออก ปิดเครื่อง
แล้วเปิดตู้เก็บดีวีดี ในนั้นบรรจุหนังห่วยๆ ไว้มากมายหลายเรื่อง
เขาบรรจงเก็บแผ่นดีวีดีที่เพิ่งซื้อมา แล้วปิดตู้

บนตู้เขียนกำกับไว้ว่า "หนังห่วยเรื่องโปรดของฉัน"
เขาคิดในใจ ว่างๆ จะกลับมาเปิดดูซ้ำอีกรอบ
เพราะเขาชอบมันมาก

! ผู้ชายคนนี้ท่าจะบ้า
คนอะไรหนังดีๆ มีไม่เลือกดู ไปดูหนังห่วย
แถมดูจบแล้วก็ยังดูซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้คิดอะไร
เป็นเราคงไม่ทำแบบนั้นหรอก

แต่คิดไปคิดมา
เอ…หรือว่าจริงๆ แล้ว
เราก็เป็นชายผู้ชื่นชอบดีวีดีหนังห่วยๆ โดยไม่รู้ตัว?
คุ้นๆ ว่าเราจะชอบนึกถึงแต่เรื่องร้ายๆ ในอดีตที่จบไปแล้ว

แต่ชอบเอามาฉายซ้ำบ่อยๆ
คุ้นๆ ว่าเราจะชอบข่าวร้าย ข่าวเรื่องชาวบ้าน
เราชอบเอามาคุยกันเป็นประเด็นนินทาสนุกปากได้ทั้งวัน

คุ้นๆ ว่าถ้าให้เรานึกเรื่องลบๆ
เราจะดึงมันออกมาจากสมองได้ง่ายดาย แต่เรื่องดีๆ นึกไม่ออก
คุ้นๆ ว่าเราจะโฟกัสเก่งมากในเรื่องจุดด้อยของตัวเอง
แล้วเอามาคิดวนในหัวซ้ำๆ ว่าเรามันไม่เก่ง
นี่เราสะสมหนังห่วยแล้วเอามาฉายซ้ำไปซ้ำมา
โดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่านะ?

ถ้าใช่ สงสัยต้องเปิดตู้ กวาดเอาดีวีดีหนังห่วยๆ ออกมาทิ้งให้หมด
ถ้าทิ้งไม่ได้ ก็ให้เก็บไว้ในลึกสุด จะได้หยิบยากๆ
แล้วรีบไปซื้อหนังเรื่องใหม่ที่ดูแล้วจรรโลงจิตใจ
เอามาใส่ให้เต็มตู้ จะได้ไม่มีที่ว่างให้วางหนังห่วยๆ

จากนั้นหยิบหนังเรื่องดีๆ มาสักแผ่น
ยัดแผ่นใส่ในเครื่องเล่น กดปุ่มเพลย์ นั่งจมไปในโซฟา
แล้วเพลิดเพลินไปกับหนังเรื่องดีๆ
แบบนี้สนุกกว่า

อย่าไปเอาอย่างชายท่าจะบ้าคนนั้นเลย
คนอะไรชอบดูแต่หนังห่วยๆ
ขอให้สนุกกับการดูหนังเรื่องดีๆ ของชีวิตนะ

แหล่งที่มา       Facebook : Boy's Thought

พฤติกรรม 19 ข้อ ของคนที่ "ไม่มีความสุข"

1. กังวลกับเรื่องที่ตัวเองแก้ไขอะไรไม่ได้
2. ท้อใจเมื่อเจออุปสรรค

3. ซีเรียสกับชีวิตมากเกินไป
4. ไม่เคยออกกำลังกาย

5. ตั้งเป้าหมายที่ไม่มีวันไปถึง
6. กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์

7. นอนไม่พอ
8. ใส่ใจ "จุดอ่อน" แต่ละเลย "จุดแข็ง" ของตัวเอง

9. หมกมุ่นกับ Social Media มากเกินไป
10. ไม่ชอบลองทำสิ่งใหม่ๆ

11. มัวแต่กังวลว่า "คนอื่น" จะคิดอย่างไร
12. ชอบนินทาลับหลังเพื่อน

13. ทำงานหนักเกินไป
14. ชอบอยู่คนเดียว ไม่สนใจเพื่อนฝูงหรือญาติมิตร

15. ไม่เคยให้รางวัลกับตัวเอง
16. อยู่กับงานหรือทำสิ่งเดิมๆ ทั้งที่ไม่ชอบ

17. ไม่รู้จักการให้อภัย
18. ไม่รู้จักการวางแผนและจัดระเบียบตนเอง

19. คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่มีน้ำใจแบ่งปันให้ผู้อื่น
http://www.businessinsider.com/19-things-unhappy-people-do-2014-5

แหล่งที่มา      Facebook : SSO Savings Club

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ค่าเช่าที่คุณจ่ายอยู่ แพงไปรึเปล่า

ในธุรกิจค้าปลีกหรือร้านค้าทั่วไป ที่ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าธุรกิจ Retail โดยมากร้านค้าเหล่านี้ จะไปเช่าพื้นที่อยู่ตามศูนย์การค้า ตลาด แหล่งชุมชนต่างๆ เพื่อเปิดร้าน และ "ค่าเช่า" จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่อันดับ 1 ที่ต้องจ่ายกันทุกเดือน ไม่ว่าจะขายดีขายไม่ดี

หลายคนเคยถามมาว่า ค่าเช่าที่ตัวเองจ่ายอยู่นั้น แพงไปรึเปล่า
และคำตอบที่จะให้กับทุกคนคือ

ค่าเช่าไม่มีคำว่าถูกหรือแพง
แต่เราสามารถใช้เรื่องค่าเช่า มาบอกได้ว่า ร้านชองคุณกำลังอยู่ในสภาวะไหน มีผลประกอบการดีหรือไม่
เพราะต่อให้คุณจ่ายค่าเช่าเดือนละแสนแต่ขายได้เดือนละล้าน แสนนั้นก็ถือว่าไม่แพง
แต่ถ้าคุณจ่ายเดือนละ 5,000 แต่ขายได้ 10,000 คุณก็คงไม่รอด

ตามมาตรฐานสำหรับธุรกิจ reatil "ค่าเช่า" ควรอยู่ในอัตรา 12-15% ของยอดขายสุทธิ หมายความว่า ถ้าธุรกิจของคุณมียอดขายสุทธิ หลังหักส่วนลดแล้ว 100 บาท ร้านของคุณไม่ควรจ่ายค่าเช่าเกิน 15 บาท
(คนที่ทำบัญชีอยู่ คงพอนึกภาพงบกำไร/ขาดทุนออกนะครับ ส่วนท่านที่ยังนึกไม่ออก แนะนำให้ไปศึกษาด่วน")

คำแนะนำสำหรับการเอาเรื่องค่าเช่ามาช่วยในการบริหารธุรกิจ มีดังนี้

1. สำหรับคนที่ยังไม่ได้เปิดร้าน และมองหาทำเลอยู๋  ให้เอาค่าเช่ากับกำไรต่อหน่วยจากการขายมาลองคำนวณความเป็นไปได้ดูว่า ถ้าเปิดร้านตรงนี้ ด้วยค่าเช่าราคานี้ ร้านของคุณจะอยู๋ได้หรือไม่ ถ้าคิดแล้วเกิน 15% แสดงว่าคุณค่อนข้างจะเสี่ยงที่จะเปิดร้านตรงนั้น

ตัวอย่างวิธีคิด
คุณอยากเปิดร้านกาแฟหน้าศาลากลางจังหวัด
ค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท
ราคากาแฟแก้วละ 50 บาท โดยเฉลี่ย
ร้านเปิด 7 โมงเช้า - 4 โมงเย็น รวม 9 ชั่วโมง
ประมาณการยอดขาย วันละ 100 แก้ว หรือประมาณชั่วโมงละ 10 แก้ว
ร้านเปิด 22 วัน/เดือน อย่างลืมคิดเรื่องจำนวนวันเปิด/ปิดด้วย เพราะบางทำเล ไม่ได้เปิดขายได้ทุกวัน
คำนวณดูก็จะพบว่า ยอดขาย = 22 x 100 x 50 = 110,000 บาท
ค่าเช่า 20,000 / 110,000 = 18%

แปลว่าคุณค่อนข้างเสี่ยงมากนะ ถ้าจะเปิดร้านตรงนี้
เพราะว่าอะไร
  1. ประมาณการยอดขาย 100 แก้วต่อวันนั้น คิดมาจากความสามารถในการชงกาแฟของเรา ตามเวลาเปิดร้าน คือคุณชงได้มากแก้วกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น 100 แก้วคือ ยอดขายสูงสุดต่อวันของคุณ
  2. อย่าลืมเรื่องวันฝนตก ไฟดับ เด็กลาไม่มาทำงาน เรื่องเหล่านี้มีผลกับยอดขายทั้งสิ้น (มีแต่ทำให้ขายได้น้อยลง)
ทางแก้คือ
  1. คุณหาทางทำให้ขายได้ในราคาต่อแก้วมากขึ้น
  2. หาของอื่นมาขายเพิ่ม เช่นขนม เครื่องเขียน ของน่ารักๆจากสำเพ็ง เพื่อเป็นรายได้เสริมให้ร้าน ห้ามดูถูกของเหล่านี้นะครับ ของชิ้นเล็กๆที่คนซื้อๆได้แบบไม่ต้องคิดนี่ล่ะ ทำเงินล้านให้ใครต่อใครมาหลายคนแล้ว
  3. หาทำเลใหม่ เพราะตรงนี้มันไม่ตอบโจทย์จริงๆ ฝืนใจเปิดร้านไปนี่ โอกาสเจ๊งมีเห็นๆ ทำไปทำมาค่าเช่ากินหมด
2. สำหรับคนที่ร้านเปิดแล้ว  วิธีการคำนวณก็คิดวิธีเดียวกัน แต่จะย้ายร้านก็ทำไม่ได้ ทางแก้คือ คุณต้องทำให้ยอดขายต่อชั่วโมง/ต่อลูกค้าเพิ่มขึ้น
โดยการ
  1. ไปปรับสูตรเครื่องดื่มให้ขายได้ในราคาต่อแก้วสูงขึ้น โดยใช้ของดีขึ้น แต่ทำให้ขายได้แพงขึ้นด้วยเช่นกัน เคยเห็นกาแฟรถเข็นที่มีกาแฟ 10-20 ยี่ห้อวางเรียงกันอยู่บนรถไม๊ เวลาขาย คนกินจะเลือกได้ว่าเอากาแฟยี่ห้อไหน ราคาขายก็จะเปลี่ยนไปตามกาแฟที่เลือก เช่น + 5  -10 บาท แต่ใช้เวลาทำงานเท่าเดิม
  2. ทำร้านให้น่านั่ง จะได้บวกค่าบรรยากาศเข้าไปในเครื่องดื่มด้วย
  3. ยกระดับการบริการ เช่นมี Wifi มีหนังสือพิมพ์ หรือ Free Magazine ให้อ่าน บริการเหล่านี้ มี Value ในตัวเอง ทำให้แล้วเราคิดเงินลูกค้าได้
เรื่องค่าเช่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่มีใครอยากพูดถึง (แต่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาจ่าย) แต่ถ้าเราใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการบริหาร คุณจะเห็นประโยชน์จากมันมากจริงๆ

แหล่งที่มา      Facebook : Trick of the Trade

ขอบคุณ

เปิดก๊อก น้ำก็ไหล
เปิดไฟ ไฟก็ติด
อยากกินอะไร สั่งแล้วส่งมีทุกชนิด
แล้วทำไมชีวิตยังจะบ่นว่าลำบาก?

จะว่าไป ว่ามาตรฐานของคนยุคนี้
สบายกว่าพระราชาสมัยก่อนซะอีก
นอนห้องแอร์ มีรถนั่ง ไม่ต้องเดิน
มีทีวีร้อยช่อง ดูหนังในโรงจอใหญ่เท่าบ้าน
อาหารบุฟเฟต์ อาหารตลาดนัด มีให้เลือกกินไม่หมด
แต่เราก็ยังบ่นว่าชีวิตไม่สบาย
ทั้งที่ชีวิตแบบนี้มันโคตรน่าขอบคุณ

เราต้องรอให้น้ำท่วม ถึงจะเห็นค่าของน้ำดื่ม
เราต้องรอให้ไฟดับ ถึงจะเห็นคุณค่าของไฟฟ้า
พูดง่ายๆ ว่าเราจะเห็นคุณค่า
ก็ต่อเมื่อเราไม่มีสิ่งนั้นแล้ว

หรือต้องจับนั่งไทม์แมชชีน
เอาไปปล่อยในยุคหิน
ให้ต้องเข้าป่าหากิน
ให้นอนร้อน นอนหนาว
น้ำไม่มีใช้ ไฟต้องกองก่อ
นั่นล่ะเราถึงจะเลิกบ่นว่าชีวิตลำบากจัง

ล้วงกระเป๋าแล้วยังเจอตังค์
เปิดไฟแล้วไฟยังติด
หมุนก๊อกแล้วน้ำยังไหล
ยังมีที่ซุกหัวนอนให้หลบร้อนหลบฝน
นี่คือชีวิตที่น่าขอบคุณนะ

ไม่มีคำว่าขอบคุณมากไป
มีแต่คำว่าขอบคุณน้อยไป
ถึงจะออกไปแตะขอบฟ้า
แต่ก็อย่าลืมเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่
ขอบคุณให้เก่ง
แล้วชีวิตจะเจ๋ง
เชื่อสิ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คำว่า "โชคดีที่..."

ถ้าคุณยังคิดอะไรไม่ออกว่า
จะทำตัวให้เหมือนคนที่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีไหนดี
จะทำธุรกิจเหมือนเค้ารึก็ยาก เรามันก็ไม่มีเงิน
จะคิดเก่งไอเดียเจ๋งเหมือนเค้ารึก็ยาก เรามันก็หัวธรรมดา

จะบอกอะไรให้
มีอยู่สิ่งนึง สิ่งนี้เราสามารถเลียนแบบคนสำเร็จได้ง่ายมากๆ
ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องมีหัวคิดอะไรเลย
ใครๆ ก็ทำได้
พร้อมนะ!

เวลาพูดคุยกับคนอื่น
ให้คุณพูดว่า "โชคดีที่..." ขึ้นต้นประโยคทุกครั้ง
(ถ้าเป็นผู้หญิงก็ให้แทนชื่อตัวเองหรือสรรพนามที่เหมาะสม)
ขอให้พูดแบบนี้จนติดปาก

เช่น เวลามีคนมาถามว่า
"ตอนนั้นคุณผ่านความลำบากมาได้ยังไง?"
ให้ตอบว่า
"โชคดีครับ ตอนนั้นลำบาก แต่ก็...."

หรือถ้ามีคนถามว่า
"จากนี้คุณคิดว่าจะทำยังไงต่อ?"
ให้ตอบว่า
"เป็นคนโชคดี  คิดว่าจะ..."
ที่ให้ทำแบบนี้ก็เพราะ

ค้นพบว่า คนสำเร็จนั้น
"เก่งในการมองเรื่องเลวร้ายในอดีตให้เป็นประสบการณ์"
"เก่งในการคาดการณ์ว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเขา"

ในขณะที่คนส่วนใหญ่
"เก่งในการมองเห็นแต่แง่ร้ายของอดีต"
"เก่งในการคาดการณ์ว่าจะมีเรื่องร้ายเกืดขึ้น"

คำว่า "โชคดีที่..."
จึงเป็นคำที่ได้ยินจากปากคนที่ประสบความสำเร็จบ่อยมาก
ทุกครั้งที่เขาจะเล่าอะไรสักอย่าง
คำว่า "โชคดีที่..."
จึงหล่นออกมาให้ได้ยินบ่อยมาก

ลองดูสิ  มันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ แต่เปลี่ยนความรู้สึกเราได้
พอความรู้สึกเปลี่ยน เราก็จะเริ่มเปลี่ยนความเชื่อ
พอความเชื่อเปลี่ยน เราก็จะเริ่มลงมือทำด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น
แล้วชีวิตเราก็จะประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจ

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บ่น

ถ้าบ่นแล้วมีความสุข
ป่านนี้โลกคงมีแต่คนยิ้มร่าเริง
แต่เพราะยิ่งบ่นยิ่งเป็นทุกข์
คนไม่มีความสุขจึงเต็มโลก

ปัญหาก็คือ ทำไมเราถึงชอบบ่น?
ในเมื่อการบ่นมันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
มันเหมือนการย้ำคิด
เอาหนังห่วยๆ มาออกอากาศซ้ำ

แต่นั่นก็ยังเป็นวิธียอดฮิตของคนส่วนใหญ่
เจออะไรนิดหน่อย ก็บ่นเอาไว้ก่อน
ใครอยากเปลี่ยนนิสัยบ่นๆๆ  มีวิธีแก้
วิธีนั้นคือ "ให้เปลี่ยนโฟกัสแล้วหัดขอบคุณ"

เช่น
ถ้าเจออาหารไม่อร่อย ไม่ถูกปาก
แทนที่จะบ่น ก็ให้ขอบคุณที่อย่างน้อยเราก็ยังมีอาหารกิน

ถ้างานที่ทำ เงินเดือนน้อย แต่งานหนัก
แทนที่จะบ่น ก็ให้ขอบคุณที่เรายังมีงานทำ มีเงินใช้
เลิกบ่น เปลี่ยนโฟกัส แล้วหัดขอบคุณให้เก่งๆ
ชีวิตจะดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้นจนคุณจำตัวคุณในอดีตไม่ได้

อย่าเพิ่งเชื่อ
จนกว่าจะลองด้วยตัวคุณเอง

เลิกบ่น เปลี่ยนโฟกัส แล้วหัดขอบคุณให้เก่งๆ
ลองทำดู
แล้วสามสิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ธนบัตรชนิดราคา 500 บาท แบบใหม่

เริ่มใช้ 12 พ.ค. 2557 นี้


 Cr. ศคง. 1213

แหล่งที่มา       Facebook : SSO Savings Club

โลกยุคนี้ ผู้ชนะจะยิ่งชนะ ผู้แพ้จะยิ่งแพ้ ทิ้งห่างกันไปเรื่อยๆ

"โลกยุคนี้ ผู้ชนะจะยิ่งชนะ ผู้แพ้จะยิ่งแพ้ ทิ้งห่างกันไปเรื่อยๆ"
คือประโยคคมๆ จากพี่ป้อม ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา
บอสใหญ่แห่ง Stock2morrow
พี่เขาพูดประโยคนี้ไว้นานแล้ว

นี่ล่ะ
"โลกยุคนี้ ผู้ชนะจะยิ่งชนะ ผู้แพ้จะยิ่งแพ้ ทิ้งห่างกันไปเรื่อยๆ"
อันนี้ยิ่งชัดเจนว่าผู้ชนะยิ่งชนะ
เพราะเกือบทุกคนที่เดินเข้าร้านหนังสือ
ล้วนตรงไปที่ชั้นหนังสือขายดี หนังสือแนะนำ
มันก็เลยยิ่งขายดีขึ้นไปอีก
ส่วนพวกเล่มที่โชว์สันปกในซอกหลืบ
ก็จมหายไปกับหนังสืออีกหมื่นล้านเล่ม

"โลกยุคนี้ ผู้ชนะจะยิ่งชนะ ผู้แพ้จะยิ่งแพ้ ทิ้งห่างกันไปเรื่อยๆ"
จำประโยคนี้ให้ดีๆ เพราะมันคือกระแสของโลก
ไม่มีตรงกลาง ถ้าเราไม่ชนะ ก็แพ้เลย
เพราะฉะนั้นเล็งไปที่อันดับ 1 เท่านั้น
เข้าใจตรงกันนะ

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

5 เรื่องเด็ด...เกร็ดอาเซียน


แหล่งที่มา     Facebook : WealthMagik

ความสามารถ...แตกต่าง

เราทุกคน
มีเวลาเท่ากัน

เราทุกคน
มีร่างกายเหมือนกัน

แต่เราทุกคน
มีเงินแตกต่างกัน
-----
บางคน
ใช้ร่างกายตามหาเงิน
จนสูญเสียสุขภาพ

บางคน
ใช้เวลาตามหาเงิน
จนไม่มีเวลาว่าง
-----
แต่บางคน
สามารถใช้เงินเพื่อสร้างเวลา
ใช้เงินเพื่อรักษาสุขภาพ
ใช้เงินตามหาเงินเพิ่ม

นั่นเพราะ
เพราะเราทุกคนมีความแตกต่าง
ที่มีชื่อว่า "ความสามารถ"

วันนี้.. แม้เงินเราไม่เท่ากัน
แต่ความสามารถจะทำให้เรา
... ไล่ตามทัน


แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

19 ข้อ ไขความลับ ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

สารคดีจาก BBC : Make me a German
19 ข้อ ไขความลับ ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวชาวอังกฤษ ที่ประกอบด้วยสามี ซึ่งเป็นนักข่าว ภรรยา เป็นนักเขียน และลูกน้อยอีก 2 คน ที่ไปใช้ชีวิตในเยอรมนี เพื่อค้นหาความลับว่า อะไรที่ทำให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้ โดยบทความนี้ Wegointer ได้แบ่งออกมาเป็น 19 ข้อด้วยกันว่า อะไรที่ทำให้ประเทศเยอรมัน เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดประเทศหนึ่งในโลก?
  1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
  2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่าย ๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่าย ๆ เช่นกัน
  3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
  4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
  5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
  6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
  7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
  8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
  9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว
  10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
  11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
  12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจหากจะได้เป็น Housewife
  13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ
  14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
  15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
  16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
  17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
  18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คเน้นวินัยและแบบแผนการเล่น มากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล
  19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา
แหล่งที่มา   Facebook : Trick of the Trade

ไม่มีอะไรสายที่จะเริ่มต้น



คุณคงเคยได้ยินเสียงมารในหัวตัวเอง
ฉันไม่ฉลาดเหมือนคนอื่น
ฉันเรียนมาไม่ตรงสายงานที่ฉันรัก
ฉันแต่งงานมีครอบครัว เสี่ยงไม่ได้แล้ว
ฉันแก่เกินกว่าจะเริ่มอะไรใหม่ๆ

คุณรู้ไหมว่า?
ผู้พัน Sanders เปิดร้าน KFC ร้านแรกตอนอายุ 65
John Pemberton พบสูตร Coca-Cola ตอนอายุ 55
Ray Kroc ก่อตั้ง McDonald's ตอนอายุ 52

ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าคิดจะเริ่ม
ทุกอย่างที่อยู่ในหัวและคอยเถียงคุณ มันเป็นเพียงข้ออ้าง
ข้ออ้างเพื่อไม่ให้คุณประสบความสำเร็จอย่างที่คุณอยากเป็น
เอาใจช่วยพวกคุณทุกคน สู้ๆนะ^^

แหล่งที่มา     Facebook : Sinthorn

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปลั๊กไฟของแต่ละประเทศในอาเซียน



บรูไน    -    G
กัมพูชา   -  A, C, G
อินโดนีเซีย  - C, E, F
ลาว – A, B, C, E, F
สิงคโปร์ – B, G, H
ไทย – A, B, C, D, E, G, J, K
มาเลเซีย – G
ฟิลิปปินส์ – A, B, C
เมียนมาร์ – C, D, F, G
เวียดนาม – A, C, G

แหล่งที่มา    Facebook : Nation Channel

โครโมโซมคู่ที่ 15 ยังทำงานอยู่!!!

อย่าบอกว่าชีวิตคุณมีปัญหา
หากโครโมโซมคู่ที่ 15 ยังทำงานอยู่!!!
-----
วันนี้.. ได้พูดคุยกับพี่คนหนึ่ง
ลูกสาวของพี่เค้าเป็นโรค PWS
หรือ "โรคผิดปกติทางพันธุกรรม"
ที่เกิดจากการหยุดทำงานของโครโมโซมคู่ที่ 15

ผลของโรค...
ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างอ้วนมาก
กินจุ ร่างกายเผาผลาญไม่ดี
รวมถึงมีความบกพร่อง
ทางสติปัญญาและพฤติกรรม
โอกาสเกิดโรคนี้
มีเพียง 1 คน ใน 15,000 คน
-----
พี่เค้ายังเล่าต่ออีกว่า..
ค่าใช้จ่ายในการรักษา
อยู่ที่เดือนละหลายหมื่นบาท
ทั้งค่ายา ค่าดูแลรักษา
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาทักษะต่างๆ

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น..
วิทยาการด้านการแพทย์ทุกวันนี้
ยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้
-----
แต่มันแปลกตรงที่...
เรื่องนี้เป็นเรื่องเศร้า
แต่พี่เค้ากลับเล่าด้วยรอยยิ้ม
แถมยังเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขอีกต่างหาก

ถ้าคุณเชื่อเรื่องบาปบุญ
เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อให้คุณได้ทำบุญ
ประโยคนี้เป็นประโยคสั้นๆ
ที่สร้างพลังให้พี่เค้าสู้ต่อไป
-----
เรื่องนี้ทำให้คิดได้สามอย่าง

อย่างแรก
เราทุกคนล้วนมีปัญหา
แต่อยู่ที่ว่า...
เรามองว่ามันเป็นปัญหาหรือไม่

อย่างที่สอง
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น
มองเห็น "โอกาส" เมื่อเจอปัญหา

อย่างที่สาม
เราทุกคนมักเจอโชคร้ายเสมอ
จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท

คุณว่า..
จริงไหม
-----
ขอบคุณพี่เอ๋
เจ้าของเพจ PWS Thailand (Balloon's family) ด้วย ^^

แหล่งที่มา      Facebook : TaxBugnoms

คิดว่า มันเป็นไปได้ มันก็จะเป็นไปได้ VS คิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

ข้อความต่อไปนี้เป็นของคุณ "กล้า สมุทวณิช"
นักเขียนมือรางวัลมากมาย
ที่ได้ลองเขียนสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิต
และมันเป็นจริงในที่สุด
หวังว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคน
ลองอ่านดู
=============
ผมเคยมองการคิดบวกว่า
เป็นเรื่องของพวกโลกสวยบนความเพ้อฝัน
ผมไม่คิดจะอ่านหนังสือพวก "สอนรวย" หรือ "ทำเงิน"
โอ้ย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลเลย
แค่ "คิดดี" ก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาได้แล้ว
ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย ?

โอ้ย ถ้าใครๆ ทำตามได้ก็มีแต่คนรวย คนเก่ง เต็มประเทศแล้วซี ?
โอ้ย เหตุปัจจัยคนเราไม่เหมือนกันนะ ไม่เท่ากันนะ ?
ไอ้ "โอ้ย" ข้างบนน่ะผม "โอ้ย" มาหมดแล้วครับ...

ชีวิตผมตั้งแต่กลับจากฝรั่งเศสหลังจากผิดหวังจากการศึกษาปริญญาเอก ด้วยเหตุทุนหมดในปี 2553
ก็เลยได้ "โอ้ย" มันจริงๆ
การงาน การเงิน ครอบครัว ความก้าวหน้า ความสำเร็จ
ทุกอย่างผิดพลาดชะงักงัน ก็เพราะไอ้คิดแบบ "โอ้ยๆ" นั่นแหละ

วันหนึ่ง พี่บอยโพสต์เรื่อง "สมุดวิเศษ"
ที่ให้เราเขียนเรื่องดีๆ ที่อยากให้เกิดกับตัวเราไว้
แล้วลองเอามาดูอีกครั้ง จะพบว่ามันเป็นจริงได้
ผมเลยหยิบสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง เป็นสมุดใช้แล้ว
(บางหน้าจดสูตรโหราศาสตร์ไว้อีกต่างหาก)

เอามาเขียนเป้าหมายลงไป
มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าไม่น่าจะทำได้
เช่น การเรียนขับรถ ซึ่งผมเคยเป็นคนกลัวรถยนต์
และการตอบสนองช้ามากๆ
จนเชื่อว่าตัวเองคงขับรถไม่ได้ในชีวิตนี้
หรือการสอบเนติบัณฑิต ที่ตอนนั้น สอบจนท้อครับ

ผมเลยเขียน "เรื่องดีๆ" เอาไว้เรื่องหนึ่ง คือ
"มิถุนายน 2557 ขับรถไปสอบปากเปล่า เนติบัณฑิต สมัย 66"
ในวันที่เขียน ผมสอบไม่ผ่าน ยังไม่ได้ไปเรียนขับรถ

แต่ไม่น่าเชื่อว่า ราวๆ หนึ่งปี ข้อความนี้เป็นจริงอย่างมหัศจรรย์
ผมมาสอบผ่านเนติบัณฑิตในสมัย 66 นี้จริงๆ ประกาศผลไปหมาดๆ สิ้นเดือนที่ผ่านมาก
แต่คนสอบได้น่ะคือผมนะ คนที่ไปหัดเรียนขับรถจนขับเป็น
(สอบใบขับขี่ได้รวดเดียวผ่านด้วยนะ !) ก็คือผมเอง
แล้วปาฏิหาริย์จากสมุด มันอยู่ตรงไหน ? มันทำงานตรงไหน?
เพราะทุกครั้งที่ผมรู้สึกไม่แน่ใจ ผมจะเปิดสมุดเล่มนี้

ผมบอกตัวเองว่า เฮ้ย เขียนแล้วมันต้องเป็นไปได้สิวะ
มันทำให้ผม "ไม่ท้อ" มันทำให้ผมยอมเสียค่าแท็กซี่ไปร่วมพัน
(ค่ารถแพงกว่าค่าสมัครอีก)
แถมเสียเวลาเรียนในคอร์ส "เขียนไม่กี่คำทำเงินกว่า"
ไปราวสองชั่วโมง เพื่อไปลงทะเบียนสอบในวันก่อนสุดท้าย
ทั้งๆที่ในใจคิดว่า "ไม่น่าสอบแล้ว อ่านไม่ทันหรอก ไว้ปีหน้าก็ได้"

ตอนนั้นผมคิดว่า
"ถ้าไม่ไปสมัคร ข้อความในสมุดจะไม่มีวันเป็นจริง
ถ้ามันจะไม่เป็นจริง ก็ให้มันไม่เป็นจริงเพราะผลที่เราควบคุมเองไม่ได้ดีกว่า"
นี่คือพลังที่แท้จริงของ "สมุดวิเศษ"
"สมุดวิเศษ" และข้อความของพี่บอย

ทำให้ผมเลิกดูถูกตัวเองว่าเป็นคนขี้แพ้
ทำให้ผมกล้ารับงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ของสถาบันระดับชาติชิ้นหนึ่งมาทำ
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ งานประเมินระดับซีหก ผมก็ยังทำไม่ผ่าน
พี่บอยมีความฝันว่า "อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น"
ผมจึงขอรายงานผล สิ่งที่ผมได้ลองแล้วพบว่า "ใช้แล้วบอกต่อ"

เผื่อใครที่คิดว่าชีวิตตกหล่ม
หรือมองไม่ออกว่า จะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร
อย่าลืมครับ
"ถ้าคุณคิดว่า มันเป็นไปได้ มันก็จะเป็นไปได้
และคำพูดนี้ก็จะถูกต้อง
ถ้าคุณคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้
มันก็จะเป็นไปไม่ได้ ข้อความนี้ก็จะถูกต้องอยู่ดี"

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...