วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ยก “ไตรภูมิพระร่วง” เป็นวรรณกรรมอาเซีย
ยก “ไตรภูมิพระร่วง” เป็นวรรณกรรมอาเซียน เสียดายเยาวชนไทยเมิน แนะชนชั้นปกครองอ่าน
จากการสัมมนาทางวิชาการ “คติไตรภูมิ : อิทธิพลต่อวิถีสังคมไทย” จัดโดยกรมศิลปากร ณ โรงแรมเอส.ดี.อเวนิว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2555 นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า การที่ประเทศชาติจะพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปในทิศทางที่พึงปรารถนานั้น คนในชาติจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานของวัฒนธรรมของตนเองก่อน โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต หากคนในชาติไม่เข้าใจ และรู้เท่าทันภาวะดังกล่าว ก็คงไม่สามารถดำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้
ด้านคุณหญิง กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ประธานกรรมการวรรณคดีแห่งชาติ กล่าวว่า จากการที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้จัดทำโครงการวรรณกรรมอาเซียนตั้งแต่ปี 2525 ให้สมาชิกนำวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมของประเทศนั้นๆ ออกมาเผยแพร่และแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยวรรณกรรมที่เลือกมาจะต้องแสดงถึงวิถีชีวิต ความเป็นมาของแต่ละชาติอย่างถ่องแท้ สำหรับประเทศไทยได้นำเสนอวรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ 1 ลิไทย เป็นวรรณกรรมอาเซียน เพราะถือว่าเป็นวรรณคดีที่ดีที่สุดในสมัยสุโขทัย บอกเล่าปรัชญาทางพระพุทธศาสนา วิถีชีวิตของคนไทย ตลอดจนความเชื่อในเรื่องทำความดีละความชั่ว
"นับว่าบรรพบุรุษไทยฉลาดปราดเปรื่องมาก มีความสามารถล้ำเลิศด้านวรรณกรรม สังคมศาสตร์ ศาสนา ภาษาอย่างยอดยิ่ง แต่น่าเสียดายที่คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนในยุคนี้ไม่สนใจวรรณกรรม ไม่สนใจอดีตของชาติ ทั้งที่เราตั้งประเทศมา 700 กว่าปีแล้วรุ่งเรืองด้วยศิลปวัฒนธรรมมากมาย คนในสมัยนี้ก็พูดกันแต่เรื่องประชาธิปไตยแต่ไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้นคืออะไร ดังนั้น เราต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้นคือการเคารพส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตัว ต้องเห็นแก่คนอื่นไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแต่พวกพ้อง ไม่ยกตนข่มท่าน เคารพสิทธิของคนอื่น ไม่ใช่คลั่งอำนาจมวลชน ไตรภูมิพระร่วงสอนเรื่องนี้ไว้ชัดเจน จึงอยากให้ชนชั้นปกครองปัจจุบันอ่านไตรภูมิพระร่วงด้วย”ประธานกรรมการวรรณคดี กล่าว
แหล่งที่มา เว็บไซต์เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2555 เวลา 15:41 น.
เที่ยวงาน "วีเลิฟเพ็ทส์สัญจร ครั้งที่ 2" ชวนชมนกสวยงามแสนรู้
กรุงเทพมหานคร และสถานทูตเบลเยี่ยม ร่วมกันจัดงาน "วี เลิฟ เพ็ทส์ ครั้งที่ 2 สัญจรประกวดนกสวยงาม" ชวนคนรักนกร่วมชมความสวยงามของนกสีสันสดใสมากมาย เช่น มาคอว์หลากสายพันธุ์ ซันคอนนัวร์ และนกแก้วสุริยะ พร้อมการประกวดเพื่อเฟ้นหานกสวยที่สุดในประเทศไทยในประเภทต่างๆ อาทิ นกเลิฟเบิร์ด นกหงส์หยก นกเจ็ดสี นกพิราบแฟนซี ไก่ซารามอ รวมทั้งการแข่งขันนกบินอิสระ และประกวดนกเชื่องแสนรู้
นอกจากนี้ภายในงานยังมีเซเลบริตี้ที่สนใจเรื่องนก อย่าง ดร.โภคิน พลกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ชรัส เฟื่องอารมณ์, และเทเรซา อากีร่า ร่วมพูดคุยความรู้เกี่ยวกับนกสวยงาม
ผู้ที่สนใจสามารถชมงานได้ฟรี ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2 ชั้น 1 โซนลิฟท์แก้ว งานเริ่มอย่างเป็นทางการเวลา 13.00 น. จัดอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2555 เพียงวันเดียวเท่านั้น
แหล่งที่มา เว็บไซต์เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2555 เวลา 16:45 น.
เครื่องต้นแบบผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์
รมว.วิทย์ นำคณะผู้บริหาร นาโนเทค/สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวาย เครื่องต้นแบบผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน (SOS water) แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี...
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวนำคณะผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือนาโนเทค เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องต้นแบบผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน (SOS water: Solar Operating System) เพื่อนำไปใช้ในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของไทยที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายจังหวัดของประเทศ ซึ่งปัญหาสำคัญในการบรรเทาทุกข์คือ
นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กล่าวว่า การพัฒนาเครื่องต้นแบบน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรอกนาโน ถูกพัฒนาขึ้นโดย ดร.จามร เชวงกิจวณิช นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้พัฒนาระบบการกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในจำนวน 6 ขั้นตอน ได้แก่ ถังกรองทราย ไส้กรองเมมเบรน ไส้กรองแมงกานีสซีโอไลท์ ไส้กรองเรซิ่น ไส้กรองคาร์บอน และไส้กรองเซรามิกส์ซิลเวอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ เครื่องดังกล่าวยังมีกำลังการผลิตน้ำดื่มประมาณ 200 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งเหมาะสำหรับชุมชนขนาดประมาณ 1,000 คน ทั้งนี้ ได้ทดสอบการใช้งาน โดยศูนย์นาโนเทคร่วมกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ในการนำเครื่องผลิตน้ำ SOS water ไปทดสอบการใช้งานได้จริง จำนวนทั้งสิ้น 7 ครั้ง ในพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ บ่อน้ำพุ สถานเสาวภา แม่น้ำน้อย จังหวัดอ่างทอง คลองชลประทาน จังหวัดลพบุรี แม่น้ำปิง จังหวัดนครสวรรค์ คลองชลประทาน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผลปรากฏว่าผ่านการใช้งานได้ดีทั้งในด้านความคงทนและคุณภาพน้ำดื่มที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานน้ำดื่มของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้
แหล่งที่มา เว็บไซต์ไทยรัฐ 30 มิถุนายน 2555, 15:30 น.
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวนำคณะผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือนาโนเทค เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องต้นแบบผลิตน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรองนาโน (SOS water: Solar Operating System) เพื่อนำไปใช้ในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ ว่า จากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของไทยที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายจังหวัดของประเทศ ซึ่งปัญหาสำคัญในการบรรเทาทุกข์คือ
- การขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด ก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ปัญหาโรคท้องร่วงอันเกิดจากการ
- บริโภคน้ำดื่มปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย และสารเคมี
นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กล่าวว่า การพัฒนาเครื่องต้นแบบน้ำดื่มพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีไส้กรอกนาโน ถูกพัฒนาขึ้นโดย ดร.จามร เชวงกิจวณิช นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งได้พัฒนาระบบการกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในจำนวน 6 ขั้นตอน ได้แก่ ถังกรองทราย ไส้กรองเมมเบรน ไส้กรองแมงกานีสซีโอไลท์ ไส้กรองเรซิ่น ไส้กรองคาร์บอน และไส้กรองเซรามิกส์ซิลเวอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ เครื่องดังกล่าวยังมีกำลังการผลิตน้ำดื่มประมาณ 200 ลิตรต่อชั่วโมง ซึ่งเหมาะสำหรับชุมชนขนาดประมาณ 1,000 คน ทั้งนี้ ได้ทดสอบการใช้งาน โดยศูนย์นาโนเทคร่วมกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ในการนำเครื่องผลิตน้ำ SOS water ไปทดสอบการใช้งานได้จริง จำนวนทั้งสิ้น 7 ครั้ง ในพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ บ่อน้ำพุ สถานเสาวภา แม่น้ำน้อย จังหวัดอ่างทอง คลองชลประทาน จังหวัดลพบุรี แม่น้ำปิง จังหวัดนครสวรรค์ คลองชลประทาน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผลปรากฏว่าผ่านการใช้งานได้ดีทั้งในด้านความคงทนและคุณภาพน้ำดื่มที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานน้ำดื่มของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้
แหล่งที่มา เว็บไซต์ไทยรัฐ 30 มิถุนายน 2555, 15:30 น.
แก้เคล็ดเบญจเพส
หลายๆ คนกังวลเรื่องเบญจเพสโดยเฉพาะอายุ 25 ปี กลัวว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีกับตัวเอง วันนี้มีวิธีแก้เคล็ดเบญจเพสมาฝาก
แก้เคล็ดเบญจเพส
แก้เคล็ดเบญจเพส
- ถวายสิ่งของที่เป็นคู่ให้กับที่วัด ไม่ว่าจะเป็นเทียนคู่ แจกันคู่ ธงคู่ หมอนคู่ อะไรก็ได้ที่เป็นคู่ ก็ตามความเชื่อและตามความคิดเหมือนกับว่าเป็นคู่กับคนอื่น และคนอื่นก็จะได้นำไปใช้เป็นคู่ๆและก็จะเป็นสิ่งที่ดีกับเรา
- ร่วมพิธีเลี้ยงพระตอนเช้ากับคู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน
- ถวายพวงมาลัยดอกรักหรือดอกมะลิเป็นประจำเพื่อที่จะไหว้พระ
- ปลูกต้นรัก ลงดินในบริเวณวัด แต่ห้ามปลูกในบ้าน
- รักษาศีลพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อผู้อื่น ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี เมื่อเห็นผู้อื่นได้ทุกข์ก็ไม่ซ้ำเติมเขา
- ทำบุญสะเดาะเคราห์ เพื่อที่จะแก้ดวง แก้ชง
- ปล่อยเต่า 3 ตัว หรือ 9 ตัว ทุกๆ 7 วัน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ให้ครบ 5 ครั้ง
- ไหว้พระพรหม ขอความสำเร็จด้านการงาน
- สวดมนต์ไหว้พระอย่างตั้งใจ
- กราบไหว้เจ้าที่เจ้าทางประจำบ้าน จัดผลไม้ ดอกไม้ ไหว้บูชาพระบนหิ้งที่บ้าน
- กราบไหว้ ร.5 ขอความสำเร็จด้านการงาน ถวายกุหลาบสีชมพู ธูป 9 ดอก
- ปล่อยปลาไหล ตามความเชื่อทำให้ชีวิตไหลลื่น
ประโยชน์และเมนูน่าหม่ำจากผลไม้แห้ง
สาวๆ ที่กำลังลดหุ่นและหันมารับประทานผลไม้เป็นชีวิตจิตใจ ต้องหยุดอ่านตรงนี้สักหน่อยแล้ว เพราะหากคุณเป็นหนึ่งในฟรุตเลิฟเวอร์ที่เริ่มมีอาการเขม่นตาบ่อยๆ ชาปลายมือปลายเท้าเป็นประจำ รู้สึกหนาวง่าย มีเสมหะมาก หรือปากซีด หน้าซีดผิดปกติ อันนี้เป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังฟ้องว่า ภายในเริ่มไม่สมดุลเพราะหยินเกินแล้ว
พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 354.57 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.81 กรัม ไขมัน 13.02 กรัม คาร์โบไฮเดรต 52.94 กรัม ไฟเบอร์ 1.79 กรัม
คุณเมกุมิเล่าให้ฟังว่า ผลไม้สดมีความเป็นหยินหรือเย็นอยู่เมื่อรับประทานมากจะทำให้ร่างกายเย็น เกิดไม่สมดุลได้ เธอแนะว่า ผู้ที่ชอบรับประทานผลไม้สดเป็นประจำและเริ่มรู้สึกว่าตัวเย็น ให้ลองปรับมารับประทานผลไม้แห้งสลับบ้างก็จะได้ประโยชน์ไม่แพ้กัน ซึ่งผลไม้แห้งช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึมความหวานที่เป็นธรรมชาติ ช่วยให้ร่างกายไม่เสียสมดุล แต่ต้องระวังไม่รับประทานผลไม้แห้งที่แต่งน้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ
อากาศร้อน แดดแรงแบบนี้ คุณเมกุมิจึงอยากชวนคุณๆ นำผลไม้มาตากแห้งไว้กินเองกัน เพราะนอกจากเก็บไว้รับประทานเล่นได้แล้ว ยังนำมาทำสลัด แยม หรือเป็นส่วนผสมทำขนมได้ด้วย ครานี้เธอเลือกแอ๊ปเปิ้ลทั้งเขียวและแดงมาตาก โดยเริ่มจากล้างแอ๊ปเปิ้ลให้สะอาด หั่นตามขวาง เสร็จแล้วแช่ลงในน้ำเกลือเล็กน้อย ก่อนนำขึ้นวางบนกระจาดโดยรองกระดาษเพื่อไม่ให้แอ๊ปเปิ้ลแห้งติดภาชนะ จากนั้นนำไปตากแดดจัดประมาณ 2 วัน เท่านี้ก็เป็นอันสำเร็จเสร็จแล้วก็นำมารับประทานได้
สลัดแอ๊ปเปิ้ลตากกับถั่วขาว ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เตรียม 5 นาที ปรุง 2 นาที (ไม่รวมเวลาแช่เย็น) ถั่วขาวต้มสุก 1 ถ้วย แอ๊ปเปิ้ลตากแห้ง (2 - 3 ผล) 20 กรัม หอมหัวใหญ่ซอยตามยาว ¼ หัว ผักร็อกเกตหรือผักสลัดอื่นตามชอบ ส่วนผสมน้ำสลัด น้ำส้มสายชูหมัก แอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 25 มิลลิลิตร เกลือ ¼ ช้อนชา น้ำมันมะกอก 25 มิลลิลิตร พริกไทยป่นเล็กน้อย วิธีทำ ผสมส่วนผสมน้ำสลัดทั้งหมดให้เข้ากันใส่ถั่วขาว หอมหัวใหญ่ และแอ๊ปเปิ้ลลงผสมให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็นประมาณ 3 วัน ก่อนนำมารับประทานกับผักร็อกเกตหรือผักสลัดอื่นตามชอบ
Tips
น้ำสลัดที่ผสมแล้วเก็บไว้รับประทานได้ 1 สัปดาห์ความหนาและความแห้งของแอ๊ปเปิ้ลขึ้นอยู่กับความชอบ เมื่อผลไม้แห้งตามต้องการแล้ว ให้เก็บใส่ถุงพลาสติกนำเข้าตู้เย็น สามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน วิธีนี้ใช้กับผลไม้อื่นได้ตามต้องการ
แหล่งที่มา เว็บไซต์สนุกดอทคอม 29 พ.ค. 55 11.27 น.
ปราบหวัดด้วยมื้ออร่อย
บ่อยครั้งที่เราได้ยินคนมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นหวัดพูดกันว่า "ต้องกินยากันไว้ก่อน" แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราเปลี่ยนจากการกินยาสู้หวัดมาเป็นเลือกเมนูโปรดที่มีฤทธิ์สู้หวัดแทน
"อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย" กลายเป็นวลีทองของคนยุคโลกแปรปรวนไปซะแล้ว ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ เป็นจุดอ่อนของคนที่ร่างกายกำลังอยู่ในโหมดภูมิต้านทานต่ำ เพราะอาจทำให้เราเป็นไข้หวัดได้ อาการไข้ในช่วงอากาศเปลี่ยนแบบนี้ คนรุ่นแม่เขาเรียกไข้หัวลม จะเกิดในช่วงเปลี่ยนฤดูจากร้อนเป็นฝน ฝนเป็นหนาว และหนาวเป็นร้อน ปีหนึ่งก็มีแค่ 3 ครั้ง แต่ยุคสมัยเปลี่ยนโลกเปลี่ยน เมืองไทยดูเหมือนจะมีฤดูกาลลดลง แต่จำนวนครั้งที่อากาศเปลี่ยนกลับมีมากขึ้น ไข้หวัดเลยกลายเป็นโรคธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะกับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง ปรับตัวไม่ทันกับสภาพอากาศที่เปลี่ยน ปีหนึ่งก็มีโอกาสเป็นหวัดกันได้หลายครั้ง
หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นร้อยๆ ชนิด และยังไม่มียาที่รักษาได้โดยตรง ยาที่ซื้อมากินกันหรือที่หมอจ่ายให้ก็เป็นแค่ยารักษาตามอาการ เช่น แก้ไอ แก้ไข้ ขับเสมหะ ลดน้ำมูก เท่านั้น เมื่อเป็นหวัดเราจึงต้องใช้หลักพึ่งตัวเองล้วนๆ ด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และกินอาหารมีประโยชน์ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ซึ่งอย่างหลังนี่ต้องยกให้คนไทยที่รู้จักนำพืชพรรณที่มีอยู่หลากหลายมาปรับประยุกต์ใช้ให้เป็นได้ทั้งอาหาร และยารักษาโรคมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ
จานเผ็ดร้อนต้านหวัด
ใครที่สนใจเรื่องอาหารชาววัง อาจพอรู้มาบ้างว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงประชวรโรคหวัด ห้องเครื่องก็จะทำต้มจิ๋วเป็นเครื่องสวย ให้เป็นทั้งพระกระยาหารและพระโอสถ ซึ่งเครื่องปรุงในเมนูนี้นอกจากเนื้อวัวแล้วก็มีใบกะเพรา โหระพา พริก หัวหอม น้ำมะขามเปียกและน้ำมะนาว แต่ถ้าเป็นคนเฒ่าคนแก่คนรุ่นแม่ก็มักจะบอกให้กินแกงส้ม แกงเลียง ต้มยำ ความเหมือนของสองสูตรนี้ก็คือต่างเป็นอาหารที่ออกไปทางเผ็ดร้อน และอุดมไปด้วยพืชผักสมุนไพร
หมอหรือนักโภชนาการสายธรรมชาติจึงมักแนะนำว่า ช่วงฝนต่อร้อน หนาวต่อฝน หรือช่วงที่เป็นหวัดเราควรกินอาหารเผ็ดร้อน เพื่อช่วยไล่น้ำ เพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย และช่วยต้านทานหวัดได้ ที่แน่ๆ เวลากินเผ็ด น้ำหูน้ำตาที่ไหลมันทำให้เราหายใจโล่งสะดวก
ความเผ็ดร้อนนั้นนอกจากได้จากสารพัดพริกแล้ว ยังมีหอม กระเทียม พริกไทย ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ กระชาย ใบกะเพรา แมงลัก และอีกมากมาย แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณแตกต่างกันไป เช่น
- หอม แก้ไข้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอครืดคราด ขับลม
- กระเทียม ระบายพิษไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ
- ขิง บรรเทาหวัด อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะ
- ตะไคร้ ช่วยลดไข้ แก้ปวดหัว ลดความดันโลหิตสูง ขับเหงื่อและช่วยรักษาโรคหืด ที่สำคัญคือช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี
- กะเพรา เสริมไฟธาตุ ทำให้ร่างกายอบอุ่น ขับเสมหะ ขับเหงื่อ เป็นต้น
เสริมทัพกับผัก ผลไม้ และน้ำอุ่นสมุนไพร
ผัก ผลไม้ นอกจากอาหารเผ็ดร้อนแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้คือผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เพราะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย คนที่กินผักผลไม้เป็นประจำโอกาสที่จะเป็นหวัดจะน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยกิน หรือถ้าเป็นแล้วอาการและระยะเวลาที่เป็นก็จะสั้นลง แต่การกินผัก ผลไม้ให้ได้วิตามินซีไปเต็มๆ ต้องเน้นกินสด เช่น กินเป็นผักจิ้ม ผักแนม หรือคั้นสด เพราะวิตามินซีจะสลายเมื่อถูกความร้อน
สำหรับตัวอย่างผักที่มีวิตามินซีสูง เช่น ดอกขี้เหล็ก มะรุม พริกหวาน สะเดา พริกหนุ่ม บร็อกโคลี่ ผักหวาน ผักคะน้า ผักกาดเขียว มะระ (ยอดอ่อน) เป็นต้น
ผลไม้ เช่น มะขามป้อม ฝรั่งสาลี่ สตรอว์เบอรี่ มะละกอ ผลไม้ตระกูลส้ม มะม่วง มะนาว สับปะรด มะเขือเทศ พุทราแอปเปิ้ล เป็นต้น
- มะขามป้อมนั้นมีวิตามินซีสูงมาก กินผลสดๆ จิ้มเกลือช่วยแก้ไอ แก้เจ็บคอและทำให้ชุ่มคอ
- ส่วนมะนาวนั้นมีสรรพคุณช่วยแก้ไอ ขับเสมหะเช่นกัน ฉะนั้นถ้าเริ่มเจ็บคอเป็นหวัด จิบน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งกับเกลือเล็กน้อย ช่วยบรรเทาได้
น้ำอุ่น น้ำสมุนไพร เวลาเป็นหวัดหมอมักแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ นั่นเพราะน้ำช่วยให้ทางเดินหายใจและทางเดินอาหารชุ่มชื้น ทำให้เสมหะถูกขับออกง่าย และช่วยยับยั้งการเติบโตของไวรัสด้วย และที่ต้องเป็นน้ำอุ่นก็เพราะน้ำเย็นๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหดตัวกะทันหัน ทางเดินหายใจแคบลง ทีนี้การหายใจก็ยิ่งติดขัดมากขึ้น อีกอย่างไวรัสไม่ชอบความร้อน มันจะเจริญเติบโตได้ดีในที่เย็นๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงมาลงตัวที่น้ำอุ่นและน้ำสมุนไพร ที่ทั้งอุ่นชุ่มชื้นและมีสรรพคุณบรรเทาโรคด้วย เช่น น้ำขิง เก๊กฮวย มะตูม ตะไคร้ หรือจะเน้นน้ำสีหวานอย่างน้ำกระเจี๊ยบ ว่านกาบหอยแครง หรืออัญชันก็ได้
ทางเลือกง่ายๆ ดีๆ แบบนี้อย่าลืมนำไปใช้ในครอบครัว แต่อร่อยด้วยอาหารเป็นยาอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ร่างกายแต่พอเหมาะอย่าหักโหม พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณห่างไกลทั้งโรคหวัดและโรคอื่นๆ อย่างแน่นอน
เมนูสู้หวัด
คนไทยเรามีศิลปะในการกินเผ็ดให้อร่อยและมีสุนทรีย์อยู่แล้ว เราจึงมีอาหารไทยจานเผ็ดหลากหลายรูปแบบให้เลือกกินสู้หวัดกันได้ตลอดปี เช่น
- แกง บรรดาแกงที่มีเครื่องแกงไม่ว่าจะแกงส้ม แกงเผ็ด พะแนง แกงคั่ว ล้วนมีสมุนไพรต้านหวัดเป็นส่วนประกอบ นอกจากนั้นก็มีต้มยำ แกงเลียง ต้มโคล้ง ต้มแซบ ต้มจิ๋ว หรือแม้แต่ขนมจีนน้ำยา ส่วนจะเป็นแกงหรือต้มอะไรนั้นเป็นเรื่องที่คุณสามารถดีไซน์ได้ตามชอบ และจะให้ดีต้องมีผักแนมและซดตอนที่ยังร้อนๆ คล่องคอ โล่งจมูก ทำให้เหงื่อออกสบายตัวขึ้น
- ผัด เลือกเนื้อสัตว์ที่ชอบ นำมาผัดขิง ผัดกะเพรา ผัดพริกไทยดำ ผัดเผ็ด ฯลฯ
- ทอด เช่น ทอดมันปลากรายกับกะเพรากรอบ ไข่เจียวสมุนไพร ปีกไก่ทอด พริกไทยดำ ฯลฯ
นอกจากนี้ อย่าลืมบรรดาเมนูน้ำพริกผักสด อาหารสไตล์ ยำ-ตำ-ลาบ-พล่า ส่วนของว่างนั้น ถ้าได้แบบครบเครื่องอย่างเมี่ยงคำก็เข้าทีดี
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ปรับสมดุลสีบ้าน ช่วยนำพาโชคลาภ
ช่วงหน้าร้อนของเมืองไทยส่วนใหญ่มักจะร้อนและร้อนจนอบอ้าว ทำให้อารมณ์พานจะหงุดหงิดกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่าแน่ๆ หากเราสามารถเติมเต็มบรรยากาศและอารมณ์ในบ้านให้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ซึ่งก็น่าจะช่วยคลายความหงุดหงิดจากอากาศร้อนๆ ในช่วงนี้ได้ไม่น้อย ที่สำคัญสีสันยังเป็นเป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกได้ดีด้วยเช่นกัน
การแต่งบ้านในเฉดสีต่างๆ หรือเลือกของตกแต่งที่มีสีสัน นอกจากจะเพิ่มชีวิตชีวาให้กับบ้าน และทำให้ของใช้ในบ้านมีความสดใสแล้ว ยังสามารถสร้างบรรยากาศแห่งความสดชื่นหรือความสบายภายในบ้าน เพราะพลังงานและอิทธิพลที่ได้รับจากสีสันของเครื่องใช้ต่างๆ จะช่วยกระตุ้นกระแสชี่ที่ดีให้กับมุมต่างๆ ของบ้านได้ เรามาลองเรียนรู้คุณสมบัติ และพลังที่ได้รับจากสีต่างๆ ดูค่ะว่าจะช่วยส่งโชคในด้านใดให้กับคุณได้บ้าง
โทนสีธาตุน้ำ เหมาะที่จะใช้แต่งบ้านในทิศเหนือ
สีฟ้า
เป็นสีแห่งการเจริญเติบโต ความก้าวหน้า การขยายตัว พลังแห่งสีฟ้าใช้กระตุ้นโชคเรื่องความผ่อนคลาย ความสงบ สร้างสมาธิ และความมั่นคง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบำบัดในเรื่องของภาวะทะเลาะเบาะแว้ง การแตกแยก และความรู้สึกเศร้าได้ดีค่ะ
สีน้ำเงิน
เป็นสีแห่งความสุขุม มั่นคง สีแห่งความมั่นใจ ฉะนั้นสีน้ำเงิน โดยส่วนใหญ่มักจะถูกใช้เพื่อสร้างโชคในการเจรจาต่อรอง การประชุมหาข้อตกลง
สีเทา
เป็นสีที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสีดำกับสีขาว ใช้เพื่อกระตุ้นพลังงานด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เสริมความสมดุล ความเรียบง่าย แก้ไขความร้อนรน วุ่นวายไร้ระเบียบ
สีดำ
เป็นสีแห่งความมืดมิด ความลึกลับ การซ่อนเร้น อำพราง การดูดซับพลังงานของสีดำนำมาใช้เพื่อสร้างสมดุลให้กับสีอื่นๆ ใช้ในการชำระล้างสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือ
โทนสีธาตุไม้ เหมาะที่จะใช้แต่งบ้านในทิศตะวันออก
สีเขียว
เป็นสีแห่งความสงบ ความสมหวัง ความมั่นคง และความปลอดภัยส่งพลังแห่งความรอบคอบ มุ่งมั่น ใช้เพื่อกระตุ้นพลังงานด้านความรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ การเจริญเติบโต และนอกจากนี้ยังมีพลังของการบำบัดรักษาแอบแฝงอยู่ในสีเขียวอีกด้วย เหมาะที่จะใช้แต่งห้องให้กับคนที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงได้เช่นกัน
โทนสีธาตุไฟ เหมาะที่จะใช้แต่งบ้านในทิศใต้
สีแดง
เป็นสีแห่งโชคลาภ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ และชื่อเสียง
สีม่วง
เป็นสีแห่งความมั่งมี ชื่อเสียง ยศและตำแหน่ง สะท้อนความหรูหรา ความมีชีวิตชีวา ใช้บำบัดเรื่องของความหยุดนิ่ง ทำให้กระแสพลังงานเดินได้คล่องขึ้น
สีชมพู
เป็นสีแห่งความสวยงาม ความนุ่มนวล อ่อนโยน พลังงานแห่งสีชมพูมักนำมาใช้กระตุ้นพลังงานเกี่ยวกับการสร้างมิตรภาพ ความรักช่วยบำบัดและขจัดความเย็นชา ความมึนตึง และความก้าวร้าว
สีส้ม
เป็นสีแห่งความสุขสำราญ ความคิดสร้างสรรค์ ความสนุกสนาน สีส้มเป็นสีที่นำมาซึ่งความสดใส ร่าเริง พลังงานด้านความสามัคคี ปรองดอง มีพลังแห่งการบำบัดความหมองเศร้า
โทนสีธาตุดิน เหมาะที่จะใช้แต่งบ้านในทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้
สีเหลือง
เป็นสีแห่งอำนาจ วาสนา บารมี และโชคลาภนำมาซึ่งความรื่นเริง แจ่มใส ความรู้สึกสงบ อบอุ่น มีพลังงานซึ่งช่วยบำบัดความอ่อนแอ ความหมองเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยนำพาความรุ่งโรจน์ และความมั่นคงมาให้เราได้อีกด้วย
สีน้ำตาล
ช่วยส่งเสริมความมั่นคง สร้างบุญบารมี อำนาจ ความน่าเคารพ ยกย่อง การใช้โทนสีน้ำตาลจะช่วยเพิ่มพลังงานด้านการอุปถัมภ์การสนับสนุนได้เป็นอย่างดี
โทนสีธาตุทอง เหมาะที่จะใช้แต่งบ้านในทิศตะวันตก
สีขาว
เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ สงบ และผ่อนคลาย พลังของสีขาว โดยส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ใช้ปรับความร้อนแรงของสีอื่น ๆ ใช้เพื่อให้เกิดสมาธิ การยอมรับ และความอดทน
สีทอง
เป็นสีที่ให้ความรู้สึกร่าเริง ส่งผลต่อโชคด้านความคิดสร้างสรรค์เติมเต็มความมุ่งมั่น และยังส่งผลต่อโชคด้านความมั่งคั่งได้อีกด้วย
สีบรอนซ์
พลังงานที่ได้จากสีบรอนซ์ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนกับสีทอง นำพามาซึ่งโชคด้านความหรูหราและมั่งคั่ง
การเลือกใช้สีสันสดใสในการแต่งบ้าน เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยกระตุ้นพลังงานที่ดีให้กับบ้านได้ ซึ่งในศาสตร์แห่งการปรับสมดุลสีแต่ละสีจะมีอิทธิพล และช่วยนำพาโชคด้านต่างๆ เข้ามาสู่ตัวบ้าน ดังนั้นการเลือกใช้โทนสีและพลังงานจากสีต่างๆ ให้กับบ้านหรือห้องต่างๆ ในบานได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ก็จะช่วยนำพากระแสซี่แห่งโชคให้เข้ามาเยือนบ้าน ไปพร้อมๆ กับการสร้างอารมณ์สนุกสนานให้กับบ้านในหน้าร้อน ส่งผลให้คุณมีทั้งความผ่อนคลาย และมีโชคตบเท้าเข้ามาเยือนตลอดช่วงอากาศร้อนๆ นั่นเอง
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
คลิปฮา สุดยอดสามี! ปิ้งบาร์บีคิวกลางพายุฝน
หากมีการมอบตำแหน่ง "สุดยอดสามี" แล้ว บุคคลในคลิปนี้คงไม่แคล้วได้รับรางวัลเป็นแน่
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ ประเทศสวีเดน ในวันที่พายุฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก แต่กลับมีชายคนหนึ่ง ยืนถือร่มอยู่หน้าเตาบาร์บีคิว และกำลังย่างอาหาร ท้าท้ายฝนและลมแรงอยู่อย่างทุลักทุเล พาลให้คนที่พบเห็นอาจคิดไปได้ว่าหนุ่มผู้นี้บ้าหรือเปล่า ถึงได้ทำอะไรพิลึกพิลั่นขนาดนี้
แต่หากคุณได้รู้คำตอบ คำปรามาสทั้งหลายแหล่อาจเปลี่ยนเป็นคำชื่นชมก็ได้ ที่ชายผู้นี้ยังตั้งหน้าตั้งตาย่างบาร์บีคิวต่อไป อย่างไม่กลัวฟ้าฝน เนื่องจากวันนั้นตรงกับวันครบรอบวันเกิดภรรยาของเขาเอง และเขาก็ไม่อยากให้งานปาร์ตี้ที่ตั้งใจจัดให้ภรรยา ต้องมีอุปสรรคขัดขวาง จนอาจทำให้เธอเสียอกเสียใจ จึงยอมลำบากลำบนยืนปิ้งบาร์บีคิวอยู่ท่ามกลางพายุฝนอย่างที่เห็น
คลิปนี้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบ โดย "krakskrik" ซึ่งเป็นลูกชายของพระเอกในคลิปนี้ และเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวสุดโรแมนติก (หรือเปล่า?) ให้เราได้ทราบกัน และแม้จะผ่านมาไม่ถึง 1 อาทิตย์ แต่ก็มีผู้คลิกเข้ามาชมทะลุ 2 แสนครั้งเรียบร้อยแล้ว... คุณล่ะ เป็นหนึ่งในนั้นหรือยัง?
แหล่งที่มา เว็บไซต์เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2555 เวลา 16:00 น.
ร่มธรรมดาๆ ก็กลายเป็นร่มอเนกประสงค์
คงจะดีไม่น้อย ถ้าหากร่มกันแดด-กันฝนธรรมดาๆ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะสามารถทำประโยชน์อื่นๆ ได้มากกว่าการกางเฉยๆ เช่น การนำแสงแดดที่ได้รับ มาใช้เป็นพลังงานทดแทนอะไรสักอย่าง หรือประโยชน์อื่นๆ ก็ดูจะเข้าท่ามากๆ ซึ่งใครที่เคยมีความคิดแบบนี้ล่ะก็ บอกได้เลยว่าคุณเตรียมยิ้มรับกับประโยชน์จากร่มกันได้แล้ว เพราะล่าสุดมีด็อกเตอร์คนเก่งช่วยทำให้ร่มธรรมดาๆ กลายเป็นร่มเพิ่มสัญญาณโทรศัพท์ได้ซะแล้ว!!
ด็อกเตอร์คนเก่งที่ว่านี้คือ ด็อกเตอร์เคนเน็ต ตง (Dr. Kenneth Tong) ผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน โดยผลงานของด็อกเตอร์ตง ก็คือการทำร่มอเนกประสงค์ที่มีประโยชน์ใช้สอยหลากหลาย อาทิเช่น
- การเพิ่มสัญญาณโทรศัพท์
- เป็นที่ชาร์จแบตเตอร์รี่ แถมยังเป็นไฟฉายในตัวได้อีกด้วย
ร่มคันนี้มีหลักการทำงานหลักๆ คือ การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เอาไว้ เพื่อเป็นแหล่งแจกจ่ายพลังงานให้กับทุกฟังก์ชั่นที่ได้กล่าวไป พร้อมกันนี้ยังได้นำอลูมิเนียมมาใช้เป็นโครงของร่ม เพื่อทำหน้าที่เป็นเสาอากาศในการเร่งสัญญาณโทรศัพท์นั่นเอง
และด้วยแนวคิดร่มอเนกประสงค์ดีๆ ของด็อกเตอร์ตงนี้เอง ทาง "โวดาโฟน" (Vodafone) โอเปอเรเตอร์โทรศัพท์มือถือชื่อดังในสหราชอาณาจักร ก็ขอร่วมมือกับด็อกเตอร์ตง ในการสนับสนุนให้มีการประดิษฐ์ร่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น เพื่อออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ร่มอเนกประสงค์นี้ได้รับการประดิษฐ์อยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น เพราะทางด็อกเตอร์ตงกล่าวอย่างชัดเจนเลยว่า ร่มของเขายังอยู่ในช่วงของการทดลองการใช้งาน ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้ 100% เต็มแต่อย่างใด
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ทำความเข้าใจปัญหาผมร่วง
ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะแบบไหน ที่ทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกขาดความมั่นใจมากที่สุด ตัดผมเด๋อด๋าไม่เป็นทรง ผมมัน ผมมีรังแค ผมหงอกขาว ..บรรดาปัญหาที่กล่าวมาเหล่านี้ล้วนมีวิธีแก้ได้ไม่ยุ่งยากนัก แต่ถ้าคุณผู้หญิงต้องประสบกับปัญหา "ผมร่วงหรือผมบาง" แล้วล่ะก็ นับเป็นปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะที่ค่อนข้างหนักหนา และหาทางแก้ไขได้ไม่ง่ายเลย
ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้านนั้น มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- โดยร้อยละ 80 ของผู้ชายจะประสบกับปัญหาผมร่วงศีรษะล้านเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
- ส่วนทางด้านผู้หญิงก็มีถึงร้อยละ 40 ที่ต้องประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน โดยเริ่มพบปัญหานี้ในวัยหมดประจำเดือน และมักจะเป็นปัญหาเรื่องผมบางทั่วทั้งศีรษะ มากกว่าที่จะเป็นปัญหาศีรษะล้านเช่นเดียวกับผู้ชาย
การเกิดและการเติบโตของเส้นผมนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเรื่องของยีน หรือพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของฮอร์โมนหรือสภาพอากาศอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ ซึ่งวงจรชีวิตของเส้นผมแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- อะนาเจน (Anagen) หรือ ระยะงอก : เซลล์รากผมมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมงอกขึ้นมา และจะอยู่ในระยะนี้ราว 2-3 ปี แล้วรอการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระยะต่อไป ซึ่งผมบนศีรษะจะอยู่ในระยะนี้ประมาณ 80%-85% และมีอายุต่างๆ กันไป ทำให้ผมทยอยๆ กันร่วง ไม่ร่วงทีละเยอะๆ พร้อมกัน
- คาตาเจน (Catagen) หรือ ระยะพัก : เป็นระยะถัดมาจากระยะอะนาเจน ผมที่มีอายุมากรากผมจะเริ่มฝ่อลง และค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ผิว
- เทโลเจน (Telogen) หรือ ระยะหลุดร่วง : รากผมฝ่อเต็มที่ และขึ้นสู่ผิว เพียงแรงดึงหรือหวีเบาๆ ก็หลุดร่วงได้
สาเหตุของอาการผมหลุดร่วงผิดปกตินั้น เกิดมาจาก..
- ระดับฮอร์โมนเพศชาย หรือ แอนโดรเจน ลดลง (สามารถพบแอนโดรเจนได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้ชายจะประสบปัญหาผมร่วงล้านด้วยสาเหตุนี้มากกว่า) และพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสารไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน หรือ DHT (dihydrotestosterone, DHT) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อเข้าไปจับกับรากผมแล้ว จะยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมตามปกติ ทำให้ผมที่มีอยู่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ประสบภาวะผมบาง หรือศีรษะล้านได้
- ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการใช้ยา แต่ยาที่ช่วยสร้างเอนไซม์เพื่อต่อต้านกับสาร DHT ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา คือภาวะขาดอารมณ์ร่วมทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็ง และหน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้่น แต่อาการดังกล่าวก็จะหายไปได้เองเมื่อหยุดใช้ยา
- อาการอักเสบที่หนังศีรษะอันเนื่องมาจากการแห้งลอกเป็นรังแค รวมทั้งการถูกแดดโดยตรงก็ยิ่งกระตุ้นให้ผมบางและร่วงได้ไวขึ้นด้วย แต่หากมีอาการมากผิดปกติ ก็มักเกี่ยวเนื่องกับการทำงานที่บกพร่องของต่อมไทรอยด์
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โดยผลิตฮอร์โมนน้อยลง กระบวนการพัฒนาต่างๆ ของร่างกายจึงชะลอลง รวมทั้งเส้นผมและเส้นขนก็จะเกิดงอกกลับขึ้นมาใหม่น้อยและช้าลงด้วย สังเกตได้จากผมร่วงแล้วงอกกลับมาช้า หรือการโกนขนไม่ว่าจะที่รักแร้หรือหน้าแข้งในแต่ละครั้งทิ้งระยะเวลาห่างกันนานกว่าปกติมาก
อย่างไรก็ดีปัญหานี้สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆ โดยการตรวจกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยควรเริ่มตรวจครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี จากนั้นที่อายุ 35 ปี และหลังอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจกระตุ้นปีเว้นปี ซึ่งในกรณีนี้หากแพทย์พบว่า คุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จะได้รักษาอาการได้อย่างทันท่วงที โดยการใช้ฮอร์โมนเทียม หรือสารที่ทำงานใกล้เคียงกันกับฮอร์โมนชนิดที่บกพร่องไปเข้าไปกระตุ้น แล้วกลับไปพบแพทย์อีกครั้งใน 6 สัปดาห์ให้หลัง เพื่อดูว่าปริมาณฮอร์โมนที่ให้ไปนั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ หรืออีกวิธีที่ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเต็มร้อย และกำลังอยู่ในกระบวนการค้นคว้าพัฒนา ก็คือทำการกระตุ้นยีนที่รากผมโดยตรงนั่นเอง
การรักษาปัญหาผมร่วง ผมบาง อย่างได้ผล ก็ควรต้องแก้ไขกันให้ตรงจุดที่สาเหตุ ส่วนสาวๆ คนไหนที่ตอนนี้ยังผมที่สุขภาพดีและแข็งแรงอยู่ ก็อย่าลืมบำรุงดูแลทั้งจากภายนอกและภายในอย่างสม่ำเสมอ
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
แผ่นดูดกลิ่นตด หมดกังวลเรื่องกลิ่นรบกวน
หากคุณเคยมีปัญหา รับประทานอาหารรสจัดหรืออาหารแปลกๆ เข้าไป แล้วเกิดอาการปวดมวนในท้อง เผลอผายลมออกมาไม่ทันตั้งตัว ยิ่งถ้าเป็นการผายลมในที่สาธารณะแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งเสียง คงทำเอาคนผายลมหลบสายตารุมประณามแทบไม่ทัน แต่ล่าสุด ปัญหานี้จะถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย ด้วยแผ่นดูดกลิ่นตด
แผ่นดูดกลิ่นตด จะสามารถป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่ให้แพร่ออกมาท่ามกลางคนหมู่มาก วิธีใช้ก็ง่ายแสนง่าย แค่แปะเเผ่นนี้เอาไว้ด้านนอกกางเกงชั้นใน คล้ายกับการใส่ผ้าอนามัย คราวนี้ ไม่ว่าอาหารรสจัดหรืออาหารแปลก ๆ ที่ไม่คุ้น ก็กินเข้าไปได้ไม่จำกัด โดยไม่ต้องกลัวว่า กลิ่นตดจะทำให้ตัวเองขายหน้า
ว่าแต่ คนที่มีปัญหาผายลมบ่อย จะยอมซื้อแผ่นนี้มาใช้ หรือยอมไปหาหมอดีล่ะ
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
หลินปิง ทายสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2012
สวนสัตว์เชียงใหม่ จัดกิจกรรมให้แพนด้า หลินปิง ทายผลฟุตบอลยูโร 2012 คู่ชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติสเปนและอิตาลี โดย หลินปิง ทายให้ทีมชาติสเปน เป็นผู้ชนะและได้แชมป์
วันนี้ (30 มิถุนายน 2555) ที่ส่วนจัดแสดงแพนด้าในสวนสัตว์เชียงใหม่ ได้มีการจัดกิจกรรมแพนด้าหลินปิง ทายผลฟุตบอลยูโร 2012 คู่ชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติสเปนและอิตาลี ที่จะแข่งขันกันคืนพรุ่งนี้ (1 กรกฎาคม) หลังจากที่แพนด้าหลินปิงได้ทายผลคู่รองชนะเลิศทั้ง 2 คู่ แต่ทายถูก 1 คู่ คือ สเปนชนะโปรตุเกส แต่คู่เยอรมันนีกับอิตาลี ทายผิด จึงมีการจัดกิจกรรมให้หลินปิงแก้ตัวอีกครั้ง โดยใช้ธงชาติของสเปนและอิตาลี ติดด้วยลูกบอล และแอปเปิ้ล ให้หลินปิงเลือก
พอเริ่มให้เลือกหลินปิงทำท่าจะเลือกที่ธงชาติอิตาลีแต่เอื้อมไม่ถึง สุดท้ายตัดสินใจเลือกของสเปน โดยกระชากธงลงมาหมด เป็นไปตามกติกาที่กำหนดว่า ถ้าเลือก หรือ กระชากธงของชาติใด ก็ถือว่าเลือกเป็นผู้ชนะและได้แชมป์ครั้งนี้ ซึ่งก็สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวและแฟนคลับอย่างมาก นอกจากนี้ ทีมพี่เลี้ยงยังสร้างสีสันโดยให้แม่แพนด้าหลินฮุ่ยทายผลด้วย ซึ่งก็เลือกสเปนเช่นกัน
โดย นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยและจัดแสดงแพนด้าบอกว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นสีสันก่อนเกมฟุตบอลที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกเวลานี้ ซึ่งทำนายจากพฤติกรรมแพนด้าว่า เกมจะสูสี อิตาลีอาจทำประตูได้ก่อนแต่ที่สุดก็จะเป็นสเปนที่จะได้แชมป์
ขณะเดียวกันช่วงบ่ายวันเดียวกันที่เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ก็จัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 โดยให้เสือโคร่งขาวเป็นตัวแทนทีมชาติอิตาลี และเสือโคร่งเบงกอลเป็นตัวแทนทีมชาติสเปน ทีมละ 3 ตัว มาแข่งขันกัน เพื่อทายผลสร้างบรรยากาศอีกแห่งหนึ่งด้วย
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ใครค้นพบว่าโลกหมุนรอบตัวเอง?
ใครคือคนสาธิตให้โลกเห็นครั้งแรกว่า “โลกหมุนรอบตัวเอง”
ใครคือคนที่สาธิตให้โลกเห็นเป็นครั้งแรกว่าโลกหมุนรอบตัวเอง อีกทั้งยังได้เสนอหลักฐานที่แสดงว่า แสงมิได้มีลักษณะเป็นอนุภาค นอกจากนี้ยังได้ประดิษฐ์ไจโรสโคป (gyroscope) สร้างกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสง และวัดระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ด้วย
คำตอบคือ León Foucault
ภาพเหมือนของ León Foucault |
จนกระทั่งปี 1851 (ตรงกับรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) นักฟิสิกส์หนุ่มชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ León Foucault ก็ได้ทำให้ทุกคนประทับใจ เมื่อเขานำเพนดูลัม (ระบบที่ประกอบด้วยลูกตุ้มติดอยู่ที่ปลายลวด หรือเส้นเชือกโดยปลายอีกข้างหนึ่งของลวดหรือเชือกถูกตรึงแน่น จากนั้นก็ปล่อยลูกตุ้มให้แกว่งไปมา) ที่ทำด้วยเส้นลวดยาว 67 เมตร และลูกตุ้มหนัก 28 กิโลกรัม มาแกว่งน้อยๆ ใต้โคมสูงของ Pantheón ในกรุงปารีส แล้วทุกคนก็ได้เห็นกับตาว่า ระนาบการแกว่งของเพนดูลัมค่อยๆ เบนไปในทิศทวนเข็มนาฬิกา เพราะถูกอิทธิพลการหมุนรอบตัวเองของโลกกระทำ
หลุมศพ León Foucault |
บิดาของ Foucault มีอาชีพขายหนังสือ และเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ เพราะตระกูลนี้มีฐานะดี ดังนั้นบิดาจึงสามารถส่ง Foucault ไปเรียนที่โรงเรียน College Stanislas ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับคำร่ำรวย และชนชั้นสูงได้ แต่ Foucault เรียนหนังสือไม่เก่ง ดังนั้นบิดาจึงต้องหาครูมาสอนพิเศษให้ แม้สมองจะไม่ปราดเปรื่อง แต่ Foucault มีพรสวรรค์ในการประดิษฐ์ เช่น ออกแบบสร้าง เรือจำลองและเครื่องส่งโทรเลข รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ จึงตัดสินใจเข้าเรียนแพทย์ แต่กลับทนเห็นเลือดจากบาดแผลไม่ได้ จึงลาออก
จากนั้นได้หันไปสนใจกล้องถ่ายรูป ซึ่งในสมัยนั้น การถ่ายภาพแต่ละภาพต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงกว่าจะล้างภาพได้หนึ่งภาพ ทั้งนี้เพราะกระจกฟิลม์ในยุคนั้นเคลือบด้วยเงินไอโอไดด์ และเวลาล้างภาพ ต้องอบกระจกด้วยไอปรอท จึงจะได้ภาพที่ต้องการ ในปี 1841 Hippolyte Fizeau ซึ่งเคยเรียนห้องเดียวกับ Foucault ที่ College Stanislas ได้มาทำงานร่วมกับ Foucault เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายภาพจนได้พบว่า ไอโบรมีนจะลดเวลาในการล้างภาพลงมาก ด้าน Foucault ก็ได้พัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพต่อ โดยพยายามหาวิธีที่จะเคลือบกระจกให้หนาสม่ำเสมอ เพื่อถ่ายภาพของดวงอาทิตย์ขณะเกิดสุริยคราสในปี 1844 ตามคำขอของ Francois Arago ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ French Academy of Sciences ที่ถือกันว่ามีบารมี อีกทั้งเป็นผู้อำนวยการแห่งหอดูดาวที่ปารีส ดังนั้น Fizeau และ Foucault จึงจัดการให้ ภาพถ่ายที่ได้แสดงให้เห็น ส่วนที่เป็น corona ในบริเวณใกล้ผิวดวงอาทิตย์ การพิสูจน์ด้วยภาพถ่ายนี้จึงล้มล้าง ทฤษฎีของ Huygens ที่ว่า ดวงอาทิตย์เป็นก้อนของเหลวที่มีอุณหภูมิสูง
ภาพวาดหอดูดาวปารีส (หอคอยด้านขวา) ในศตวรรษที่ 18 |
นับตั้งแต่ ค.ศ.1800 เป็นต้นมา Robert Hooke และ Christian Huygens ต่างเชื่อว่า แสงมีรูปร่างเป็นคลื่น เพราะแสงแสดงปรากฏการณ์โพลาไรเซชัน แทรกสอด และเลี้ยวเบน ทำให้แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับยิ่งกว่าแนวคิดของ Newton กับ Descartes ที่ว่า แสงเป็นอนุภาค แต่ฝ่ายที่เชื่อว่า แสงเป็นอนุภาคก็ยังไม่ยอมรับเรื่องแสงเป็นคลื่นอย่างเต็มที่ 100%
Arago จึงคิดออกแบบการทดลองที่จะตัดสินความถูกต้องหรือผิดพลาดของความคิดเหล่านี้ โดยจะวัดความเร็วของแสงในอากาศกับในน้ำ เพราะทฤษฎีทั้งสองพยากรณ์ความเร็วของแสงในน้ำและในอากาศแตกต่างกัน คือ ทฤษฎีที่ว่าแสงเป็นคลื่นทำนายว่า ความเร็วแสงในน้ำจะน้อยกว่าความเร็วแสงในอากาศ แต่ทฤษฎีที่ว่าแสงเป็นอนุภาคคิดว่า ความเร็วแสงในน้ำจะมากกว่าความเร็วแสงในอากาศ
แต่ Arago ต้องหยุดการทดลองก่อนจะได้ผลสรุป เพราะโรคเบาหวานทำให้สายตามัวมาก จนมองเห็นแสงยาก ดังนั้นจึงให้ Foucault ดำเนินการต่อและให้แสงผ่านทั้งน้ำและอากาศ ในระยะที่เท่ากัน และประจักษ์ว่า แสงเดินทางในน้ำได้ช้ากว่าในอากาศ Foucault จึงจัดการแถลงผลการทดลองนี้ในเดือนเมษายน ค.ศ.1850 ซึ่งเป็นการปิดฉากความคิดและความเชื่อที่ว่า แสงเป็นอนุภาคอย่างสมบูรณ์
ความสำเร็จของการทดลองนี้จักนำให้ Foucault พิชิตรางวัล Legion of Honour ของฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุด สำหรับนักวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส และทำให้ Fizeau กับ Foucault ต้องแยกทำงานกัน เพราะต่างก็มีบุคลิก และสไตล์การทำงานที่ไปกันไม่ได้นาน
ผลงานชิ้นต่อไปที่ทำให้ชื่อเสียงของ Foucault เป็นอมตะคือ การทดลองเรื่องเพนดูลัม เพื่อสาธิตการหมุนรอบตัวเองของโลก
ในการทดลองเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ.1851 Foucault ใช้ตุ้มที่หนัก 5 กิโลกรัม และใช้ลวดทองแดงยาว 2 เมตร ผลการทดลองปรากฏว่า ลวดขาด จนอีก 5 วันต่อมา จึงทดลองใช้ลวดยาวขึ้น และ Foucault ได้สังเกตเห็นว่า ระนาบการแกว่งของเพนดูลัมเบนยิ่งขึ้น จึงเชิญ Arago มาเป็นพยาน ในการดูเพนดูลัมที่หอดูดาวในกรุงปารีส Foucault ได้ชี้แจงให้ Arago ฟังว่า ถ้าเขาทดลองที่ขั้วโลก ระนาบการแกว่งของเพนดูลัมจะเบนไป 360 องศาในหนึ่งวัน แต่ถ้าทดลองที่เส้นศูนย์สูตร ระนาบการแกว่งของเพนดูลัมจะไม่เบี่ยงเบนเลย Foucault เชื่อว่า มุมเบนขึ้นกับ sine ของมุม q เมื่อ q คือมุมที่บอกตำแหน่งเส้นรุ้งของบริเวณที่เพนดูลัมแกว่ง
Arago รู้สึกประทับใจในการสาธิตครั้งนั้นมาก จึงเชิญประธานาธิบดีฝรั่งเศส Louis – Napoleon Bonaparte มาเป็นสักขี เพื่อดูการทดลองของ Foucault ในฤดูใบไม้ผลิปี 1851 ที่ Panthéon ซึ่ง Foucault ใช้ลวดยาว 67 เมตร และลูกตุ้มหนัก 28 กิโลกรัม แกว่งเป็นเพนดูลัม แล้วใช้เหล็กปลายแหลมติดใต้ลูกตุ้มซึ่งจะขีดเป็นรอยบนทรายที่กระจายอยู่บนพื้น ทำให้เห็นระนาบการแกว่งของเพนดูลัมชัด
ชาวปารีสที่มาดูการทดลองได้เห็นระนาบการแกว่งของเพนดูลัมเบนจริง แต่แรงต้านของอากาศได้ทำให้เพนดูลัมหยุดแกว่งในที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 7 ชั่วโมง และระนาบการแกว่งได้เบนไป 65 องศา จากแนวเดิม
ในการอธิบายเหตุการณ์นี้ นักฟิสิกส์ได้พบว่า ในระบบที่กำลังหมุน (โลก) จะมีแรงชนิดหนึ่งเกิดขึ้น (แรง Coriolis) ซึ่งกระทำต่อระบบ และผลักให้ระนาบการแกว่งของเพนดูลัมเบนไปจากเดิม
ผลการสาธิตการหมุนของโลกได้ทำให้ Foucault มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ก็เป็นคนที่ยังไม่มีงานประจำทำ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ Foucault มีบุคลิกภาพที่ไม่เป็นมิตร พูดจาขวานผ่าซาก และเอาใจใครไม่เป็น แต่ในที่สุด เมื่อ Arago เสียชีวิต ตำแหน่งผู้อำนวยการแห่งหอดูดาวที่ปารีสจึงตกเป็นของ Urbain Le Verrier ผู้พบดาวเคราะห์ Neptune ซึ่งเห็นอกเห็นใจ Foucault วัย 36 ปี ว่ายังไม่มีงานทำ จึงขอให้ Foucault สร้างกล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง เพื่อใช้ที่หอดูดาว โดยให้กล้องมีเลนส์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 74 เซนติเมตร แต่ Foucault บอกว่า กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสงจะทำงานได้ดีกว่า Foucault จึงได้ออกแบบกระจกเว้าที่ใช้สะท้อนแสงซึ่งใช้ silver nitrate เคลือบ เพราะหน้ากล้องโทรทรรศน์ที่จะสร้างค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นการสร้างกระจกโค้งเว้าที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นเรื่องยาก Foucault ได้ออกแบบการทดสอบความโค้งที่สมบูรณ์ของผิวกระจก โดยใช้คมมีดวาง ณ จุดศูนย์กลางความโค้งของกระจกนั้น จึงทำให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของกระจกได้ง่าย และเร็ว
วิธีทดสอบ Foucault’s knife edge Test นี้ ได้ช่วยให้ Foucault สามารถสร้างกล้องโทรทรรศน์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของกระจกโค้งยาวถึง 80 เซนติเมตรได้ และกล้องโทรทรรศน์นี้ได้ถูกนำไปติดตั้งที่หอดูดาวแห่งเมือง Marsailles เพื่อศึกษาดวงอาทิตย์ และด้วยกล้องนี้ Frauhoffer ก็ได้พบว่าเส้นสีเหลืองในสเปกตรัมของไฟโซเดียม มีความยาวคลื่นเท่ากับเส้นสีดำในสเปกตรัมของดวงอาทิตย์ ดังที่ Frauhoffer เห็น แต่ไม่ได้อธิบายว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เขาจึงพลาดการพบว่า บนดวงอาทิตย์มีธาตุโซเดียม
ในเวลาต่อมา Le Verrier ได้ขอร้องให้ Foucault วัดระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ และวัดความเร็วแสงด้วย
Foucault จึงใช้อุปกรณ์วัดความเร็วแสงที่เขาเคยใช้ศึกษาความเร็วแสงในน้ำ และในอากาศมาทดลองที่ Academy of Sciences และพบว่าความเร็วแสงมีค่าประมาณ 298,000 กิโลเมตร/วินาที (ค่านี้แตกต่างจากค่าปัจจุบันน้อยกว่า 1%) ส่วนระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ก็มีค่าน้อยกว่าค่าจริงประมาณ 1% และนี่คือผลงานวิทยาศาสตร์ที่สำคัญชิ้นสุดท้ายของ Foucault
ในปี 1855 Foucault ได้รับเหรียญ Copley Medal จาก Royal Society ซึ่งนับเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากสมาคม แต่สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสเอง การยอมรับค่อนข้างช้า คงเป็นเพราะคนฝรั่งเศสรู้ว่า Foucault ไม่เคยเรียนฟิสิกส์อย่างเป็นกิจจะลักษณะทำให้สอนวิชาฟิสิกส์ ก็คงไม่เป็น คณิตศาสตร์ก็ไม่เก่ง ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ Foucault สอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก แล้วอธิบายคณิตศาสตร์ง่ายๆ ไม่เป็น อีกทั้งไม่เคยเรียนที่โรงเรียนดีๆ เช่น Ecole Polytechnique และ Ecole Normal Superieure
ดังนั้นเขาจึงถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นสมาชิกของ Academy of Sciences ถึง 6 ครั้ง และประสบความสำเร็จในครั้งที่ 7
เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1867 Foucault ได้ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ และต้องนอนพักในห้องแต่เพียงคนเดียว เพราะ Foucault เป็นโสด จึงไม่มีเพื่อนสนิทมาเยี่ยมเยือนมาก อีก 4 เดือนต่อมา Foucault ก็เสียชีวิต ในงานศพ เพื่อนๆ ที่รู้จักเขา พากันหลั่งน้ำตาด้วยความสงสาร
ชื่อของ Foucault ถูกนำไปจารึกลงบนเหล็กที่ใช้ในการสร้างหอ Eiffel
อ่านเพิ่มเติมจาก Foucault, His Pendulum and the Rotation of the Earth โดย W. Tobin and B. Pippard ใน Interdisciplinary Science Reviews, Vol.19 No.4 page 326-337 ปี 1994
แหล่งที่มา เว็บไซต์ ASTV สุทัศน์ ยกส้าน 29 มิถุนายน 2555 07:22 น.
สุนัขแสนรู้คาบถังบิณฑบาตรทุกเช้า
ญาติโยมทึ่งสุนัขพันธ์ผสมที่วัดป่าทองบางพุฒารามคาบถังพลาสติกเดินตามพระออกไปบิณบาตรด้วยทุกวันแถมยังยืดขากราบพระได้ด้วย
สุนัขแสนรู้พันธุ์ไทยผสมอัลเซเชี่ยนคาบถังเดินตามพระลูกวัดป่าทองบางพุฒาราม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ออกไปบิณฑบาตในตอนเช้าทุกวันสร้างความฮือฮาให้กับประชาชนที่พบเห็นอย่างมาก โดยสุนัขตัวดังกล่าวจะคาบถังพลาสติกเดินตามหลังพระบ้าง บางครั้งก็เดินนำหน้าบ้าง
พระอาจารย์สมศักดิ์ ติสาโร อายุ 69 ปี พระลูกวัดวัดป่าทองบาง พุฒาราม กล่าวว่า เจ้าสุนัขแสนรู้ตัวนี้ชื่อเจ้าบิ๊ก อายุได้ 2 ปี เป็นสุนัขพันธุ์ผสม ซึ่งนำมาเลี้ยงไว้จะเดินตามไปบิณฑบาตตอนเช้าทุกวันมาเป็นเวลาได้เกือบทุก 6 เดือนแล้ว โดยจะคาบถังพลาสติกสีเหลืองไปด้วยถ้าวันไหนไม่ได้ไปบิณฑบาตด้วยจะงอนไม่กินข้าวและไม่มาใกล้ด้วย นอกจากนี้เจ้าบิ๊กก็ยังทำลักษณะเหมือนกับการกราบไหว้พระได้เหมือนคน
พระอาจารย์สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้มีคนร้ายเข้ามาขโมยก๊อกน้ำทองเหลือง ภายในวัดหลายอัน เพราะที่วัดแห่งนี้มีพระอยู่เพียง 3 รูป มีพื้นที่ 43 ไร่ และก็ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ จึงได้หาสุนัขพันธ์ที่ขนาดใหญ่ โดยได้ไปซื้อสุนัขพันธุ์ผสมอัลเซเซียนจากทาหารที่เกษียณ ที่อยู่ใกล้กับวัดในราคา1,500 บาท มาเลี้ยง เพื่อจะทำให้คนร้ายไม่กล้าเข้ามาขโมยก๊อกน้ำทองเหลืองภายในวัดอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีของในวัดหายไปอีกเลย ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามการฝึกหัดอะไรก็ไม่ได้ฝึกมากนัก เพียงฝึกให้ยกขาหน้าไหว้ นั่งและนอน ส่วนการคาบถังพลาสติกนั้นไม่มีการฝึกกันแต่อย่างใด ทุกๆเ ช้าหลังจากกลับมาถึงวัด ก็จะขอเอาถังออกจากปาก และบอกให้ไหว้ เจ้าบิ๊ก ก็จะแสดงท่าย่อขาหน้าทั้งสองลง และก้มหัวลงเหมือนกับการกราบและทำความเคารพ
แหล่งที่มา เว็บไซต์โพสทูเดย์ 29 มิถุนายน 2555 เวลา 17:30 น.
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
10 โรงแรมไฮเทค...พักผ่อนใต้เทคโนโลยี
ผ่อนคลายไปกับเทคโนโลยีและสายน้ำที่ Banyan Tree มาเก๊า |
ด้วยเหตุนี้ทาง agoda.com บริษัทผู้ให้บริการเว็บไซต์สำรองห้องพักในโรงแรมแบบออนไลน์ ซึ่งรับประกันราคาห้องพักที่ถูกที่สุดในเอเชียและเป็นส่วนหนึ่งของเครือ Priceline.com (Nasdaq: PCLN) ได้นำเสนอ 10 โรงแรมแนะนำสำหรับผู้ชื่นชอบเทคโนโลยี ประจำปี 2012 ในเอเชีย มาเป็นทางเลือกสำหรับคนเดินทางทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งอินเทอร์เน็ตและ Wi-Fi โดยระดับของโรงแรมก็มีหลากหลายตั้งแต่ 1.5 ดาวไปจนถึง 5 ดาว
นอกจากนี้จากรายชื่อโรงแรมประจำปีนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่โรงแรมธุรกิจขนาดใหญ่ในเมืองเท่านั้นที่จัดเตรียมอุปกรณ์เทคโนโลยีล่าสุดไว้ในห้องพัก แต่ผู้ให้บริการที่พักจำนวนมากกำลังเริ่มหันมาตอบโจทย์ความต้องการใช้เทคโนโลยีของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อพักผ่อนเช่นกัน โดยโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งจึงได้เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม ตั้งแต่ที่เน้นการใช้งาน เช่น ที่วาง iPhone จนถึงเน้นความหรูหรา เช่น อ่างน้ำวนและจากุซซี่
สำหรับ 10 โรงแรมแนะนำสำหรับคนรักเทคโนโลยี ปี 2012 ในเอเชีย มีที่ไหนบ้าง ขอเชิญทัศนากันได้
1. Wink Hostel 2 ดาว, สิงคโปร์
รูปลักษณ์ภายนอกที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในแบบฉบับลูกครึ่งจีน-โปรตุเกสของ Wink Hostel ในย่านไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์แอบซ่อนการตกแต่งภายในที่ดู sci-fi เอาไว้อย่างมิดชิด จนผู้คนที่ผ่านไปมาอาจหลงคิดว่าเป็นเพียงอาคารเก่าแก่อีกหลังจากต้นศตวรรษที่ 20
อย่างไรก็ตาม ภายในโฮสเทลแห่งนี้กลับก้าวล้ำสมยุค 2012 โดยในส่วนหอนอนแบ่งออกเป็นที่นอนแคปซูลปลายเปิดพร้อมแสงสว่างจากไฟนีออน มีทั้งแบบซิงเกิลสำหรับผู้เดินทางคนเดียวและควีนไซส์สำหรับคู่รัก ที่นี่ไม่ใช้ทั้งล็อกและกุญแจแบบเดิมๆ ผู้เข้าพักจะได้รับสมาร์ทการ์ดสำหรับเข้าห้องพัก เปิดล็อกเกอร์ และใช้งานที่นอนแคปซูลโดยให้แสงสว่างเฉพาะแคปซูลของผู้เข้าพักแต่ละคนเท่านั้น ทั่วที่พักให้บริการสัญญาณ Wi-Fi ฟรี ผู้เข้าพักที่ไม่ได้พกอุปกรณ์มาด้วยสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในโฮสเทลหรือแท็บเล็ต Blackberry (ให้เช่า-ฟรี) เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยแคปซูลในหอนอนราคาเริ่มต้นที่ 1,230 บาทต่อคืน
2. Madera Hong Kong Hotel 4 ดาว, ฮ่องกง
บูติกโฮเต็ลน้องใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านจอร์แดนบนฝั่งเกาลูน ให้บริการห้องพักกว่า 9 ประเภท (รวมถึงห้องสำหรับผู้เข้าพักหญิงเท่านั้นและห้องสำหรับผู้มีอาการแพ้ง่าย) พร้อมอุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัย แม้เทคโนโลยีจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับตึกสูงในฮ่องกง Madera Hong Kong ยังได้แฝงบรรยากาศอบอุ่นไว้ในห้องพักอันไฮเทคโดยใช้วัสดุไม้และโทนสีตามธรรมชาติเพื่อสร้างความผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน
ภายในห้องพักมีทั้งโทรทัศน์จอแบนพร้อมช่องเคเบิล ที่วาง iPod อ่างน้ำวน ฝักบัวอาบน้ำ อินเทอร์เน็ตฟรีทั้งไร้สายและบรอดแบนด์ ส่วนห้องเล่นเกม (GamExprt) ครบสูตรด้วยจอโปรเจคเตอร์ขนาดยักษ์ เครื่องเกม Xbox 360, PS3 และระบบเสียงสเตอริโอ รวมบริการเครื่องใช้ในห้องน้ำจาก Crabtree & Evelyn และมินิบาร์ฟรี ห้องดีลักซ์ดับเบิลราคาเริ่มต้นที่ 5,950 บาทต่อคืน
3. First Cabin Kyoto-Karasuma 1.5 ดาว, เกียวโต
ที่พักรูปแบบผสมระหว่างโฮสเทลและโรงแรมแคปซูล ตกแต่งภายในเหมือนห้องนอนส่วนตัวบนขบวนรถนอน First Cabin นำเสนอที่พักภายใต้ธีมเครื่องบินสุดหรู ให้บริการเคบินชั้นธุรกิจ (2.5 ตารางเมตร) และชั้นเฟิร์สคลาส (4.2 ตารางเมตร) แต่ละเคบินมีโทรทัศน์พร้อมชุดหูฟัง เตียงและชุดเครื่องนอน เต้าเสียบชาร์จไฟ
และพิเศษสำหรับเคบินชั้นเฟิร์สคลาสด้วยอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ผู้เข้าพักทุกคนจะได้รับแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ชุดนอน และอุปกรณ์ด้านความงาม ห้องน้ำเป็นแบบใช้ร่วมกัน มีทั้งตู้ฝักบัวอาบน้ำและห้องอาบน้ำรวมแบบญี่ปุ่น ห้องพักสามารถเช่าเป็นรายชั่วโมงได้ตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป โดยเข้าเช็คอินหรือเช็คเอาท์เมื่อไรก็ได้ First Cabin จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพักงีบระหว่างรอเดินทางต่อ เคบินชั้นเฟิร์สคลาสราคาเริ่มต้นที่ 1,820 บาทต่อคืน
4. Sofitel SO 5 ดาว, กรุงเทพ
โรงแรม 5 ดาวข้างสวนลุมพินีที่เป็นที่จับตามองอย่าง Sofitel SO ไม่ทำให้ผิดหวังทั้งในด้านดีไซน์และเทคโนโลยี นับตั้งแต่แรกสร้างที่ได้ Christian Lacroix มาช่วยออกแบบภายใต้แนวคิด “ต้นไม้แห่งชีวิต” (Tree of Life) ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกแง่มุมของการตกแต่งภายในโรงแรม รวมถึงชุดเครื่องแบบพนักงานและงานศิลปะประดับ
ในด้านเทคโนโลยี Sofitel SO เป็นหนึ่งในโรงแรมที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตั้งแต่ห้อง ‘SO Cosy’ ที่มีบริการฟรี Wi-Fi และ Apple Mac mini จนถึงห้องคลับและสวีทที่ครบเครื่องด้วยเครื่องชงกาแฟ Illy ฝักบัวอาบน้ำ iPad โทรทัศน์จอ LCD Sofitel MyBed บาร์ส่วนตัวและหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานชมวิวสวนลุมพินี ห้อง SO Cosy ราคาเริ่มต้นที่ 4,500 บาทต่อคืน
5. Viceroy 5 ดาว, มัลดีฟส์
แน่นอนว่าวันหยุดพักผ่อนในอีกหนึ่งสุดยอดจุดหมายปลายทางของโลกต้องมีเทคโนโลยีพร้อมใช้งานที่ทันสมัยที่สุด แม้ว่าอาจจะไม่ค่อยได้ใช้ก็ตาม วิลล่าของ Viceroy ใหญ่โตหรูหราและประดับประดาอย่างประณีต แต่ยังคงน่าประทับใจด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
ทั้งนี้ในวิลล่าแต่ละหลังทั้งแบบเหนือน้ำและริมชายหาด มีเครื่องชงกาแฟ ฟรี Wi-Fi โทรศัพท์และแผงควบคุมที่สามารถตรวจสอบสายเรียกเข้าได้ และความบันเทิงเต็มขั้นบรรจุไว้ใน Mac Mini อีกทั้งสระว่ายน้ำส่วนตัว ฝักบัวในร่มและกลางแจ้ง อ่างอาบน้ำหินอ่อน ลานอาบแดดส่วนตัวและ/หรือสวน บีชวิลล่าราคาเริ่มต้นที่ 23,400 บาทต่อคืน
6. The Opposite House 5 ดาว, ปักกิ่ง
ที่พักทันสมัยในย่านสุดฮิปอย่างซานหลี่ถุน ผสมผสานดีไซน์แบบมินิมัลลิสต์เข้ากับเทคโนโลยีชั้นสูง ห้องสตูดิโอขนาดเล็กมีทั้งระบบทำความร้อนใต้พื้น แสงไฟเสริมบรรยากาศ โทรทัศน์จอแบน ฟรี Wi-Fi
ส่วนสตูดิโอขนาดใหญ่มาพร้อมเครื่องชงกาแฟ Nespresso และอ่างจากุซซี่ พื้นผิววัสดุที่ใช้ เช่น อ่างอาบน้ำไม้ พื้นไม้ หรือชุดเครื่องนอนผ้าลินินสีขาว ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นคุ้นเคยแก่ผู้เข้าพัก งานศิลปะตกแต่งในพื้นที่รวมตัดกันอย่างลงตัวกับการออกแบบสไตล์เรขาคณิตภายในโรงแรมตามแนวคิดแบบเซน ห้องสตูดิโอราคาเริ่มต้นที่ 12,230 บาทต่อคืน
7. Oasia Hotel by Far East Hospitality 4.5 ดาว, สิงคโปร์
โรงแรมไฮเทคแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นตัวของธรรมชาติ ดีไซน์แบบญี่ปุ่นรวมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักของที่นี่เหมาะเจาะลงตัวกับมหานครทันสมัยอย่างสิงคโปร์ โดยไม่ละทิ้งวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “โอเอซิส”
สำหรับแขกผู้มาเยือน ห้องพักทุกห้องมีบริการอินเทอร์เน็ต (ฟรีสำหรับห้องพักชั้นคลับ) โทรทัศน์อินเตอร์แอคทีฟพร้อมจอ LCD ที่วางไอพอดและระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ รวมถึงเครื่องชงกาแฟ Nespresso หรือ Martello ในขณะเดียวกัน คลับเลานจ์แบบเปิดโล่งและสวนไผ่บนดาดฟ้าถือเป็นอีกตัวเลือกสำหรับการผ่อนคลายกลางใจเมือง โดยห้องดีลักซ์มีราคาเริ่มต้นที่ 5,240 บาทต่อคืน
8. Banyan Tree 5 ดาว, มาเก๊า
Banyan Tree Macau เป็นส่วนหนึ่งของ Galaxy Macau Complex การตกแต่งดูโดดเด่นหรูหราเช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่นำเสนอ
นอกจากที่วาง iPod อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์จอแบน อุปกรณ์ชงชากาแฟ และความบันเทิงภายในห้องพักแล้ว วิลล่าทุกหลังในรีสอร์ทแห่งนี้ยังมีสระควบคุมอุณหภูมิพร้อมระบบเติมน้ำอัตโนมัติไว้ลงแช่ผ่อนคลาย รวมถึงฝักบัวคู่ อ่างอาบน้ำและ/หรือจากุซซี่ วิลล่าขนาดใหญ่กว่ามาพร้อมห้องครัวและห้องสปาทรีตเมนต์ สำหรับบริการสปาบำบัดหลากหลายรูปแบบจาก Banyan Tree อีกทั้งยังมีหาดส่วนตัวและสระคลื่นในบริเวณ Grand Resort Deck ให้ผ่อนคลายไปกับสายน้ำในใจกลางนครลาสเวกัสแห่งเอเชีย สำหรับห้อง Grand Cotai Suite ราคาเริ่มต้นที่ 8,070 บาทต่อคืน
9. Hotel Tria 4 ดาว, โซล
บูติกโฮเต็ลเพื่อธุรกิจแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านกังนัมของกรุงโซล ให้บริการห้องพักขนาดกะทัดรัดที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและดีไซน์สุดชิคในสไตล์อินดัสเทรียล ผู้เข้าพักสามารถใช้มินิบาร์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมและเสริมความงาม และชากาแฟในห้องพักได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
โดยสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องพักสำหรับนักเดินทางที่ไม่ได้พกแล็ปท็อปมาด้วย หรือรับชมช่องโทรทัศน์ดาวเทียมผ่านโทรทัศน์จอแบน ห้องระดับดีลักซ์ขึ้นไปมีฝักบัวอาบน้ำประหยัดพลังงานและอ่างน้ำวน ตัวโรงแรมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินยอกซัมในระยะเดินเท้า รายล้อมด้วยร้านอาหารท้องถิ่นและร้านสะดวกซื้อมากมาย Hotel Tria จึงสมบูรณ์แบบสำหรับนักเดินทางผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีที่กำลังวางแผนท่องเที่ยวแบบประหยัด ห้องรอยัลดีลักซ์ราคาเริ่มต้นที่ 3,360 บาทต่อคืน
10. Peppermint Hotel 4 ดาว, คุร์เคาน์
Peppermint เครือบูติกโฮเต็ลอันโดดเด่นของอินเดียด้วยแบรนด์ให้บริการที่พักระดับ 4 ดาว ที่ครบเครื่อง
ภายในห้องพักที่เป็นมิตรกับนักเดินทางสมัยใหม่ นอกจากมินิบาร์ ตู้นิรภัยอิเล็กทรอนิกส์ และสัญญาณ Wi-Fi ห้องพักแต่ละห้องยังมีโทรทัศน์จอแบน เครื่องเล่นดีวีดี ฝักบัวอาบน้ำ โทรศัพท์ไร้สายที่รับข้อความเสียงได้ เครื่องชงกาแฟ (พร้อมกาแฟบดบรรจุซองรสชาติต่างๆ จาก Lavazza) และที่วาง iPod ในพื้นที่ผ่อนคลายรวมของโรงแรมมีเครื่อง Nintendo Wii และเกมมากมายให้เลือกเล่น อีกทั้งบริการอาหารส่งถึงห้องพักตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับมนุษย์นอนดึกและนักเดินทางที่ตารางเวลาแน่นทั้งวัน ห้องดีลักซ์คิงเบดราคาเริ่มต้นที่ 3,270 บาทต่อคืน
หมายเหตุ -สำหรับราคาที่นำเสนอเป็นราคาเมื่อจองผ่าน agoda.com เท่านั้น และเป็นราคาจองสำหรับในช่วงนี้เท่านั้น
แหล่งที่มา เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2555 18:01 น.
คลิปหนุ่มตี๋ทำเท่ เปิดประตูโหนตัวขับรถท้าความตายกลางกรุง
คลิปเสียวรายวัน! ชายหนุ่มโหนตัวออกมานอกประตูด้านคนขับขณะขับรถอยู่บนท้องถนนกลางเทศบาลนครฉงชิ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับเพื่อนร่วมทาง ด้านชาวเน็ตรุมประณาม
"เปิดประตูขับรถ" อาจเป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ในฉากของภาพยนตร์ ทว่าล่าสุดบนถนนสายหลักกลางเทศบาลนครฉงชิ่ง ชายหนุ่มแซ่เถียน สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์จริงชวนหวาดเสียวของรถยนต์ BYD สีดำที่ขับอยู่ด้านหน้ารถของเขา รถคันนี้ไม่เพียงแล่นเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วสูง แต่ชายคนขับยัง "โชว์กายกรรม" ด้วยการเปิดประตูด้านคนขับ โหนตัวออกมาอยู่นอกตัวรถถึง 3 ครั้ง 3 ครา ขณะที่รถแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว อีกทั้งยังเปลี่ยนเลนไปมาไม่หยุด สร้างความแตกตื่นหวาดเสียวให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาช่องข่าวโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีน นำคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวไปนำเสนอ โดยตำหนิบุคคลในคลิปว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเอาชีวิตมาล้อเล่น และการขับรถถูกกฏระเบียบนั้นไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่เป็นสำนึกสาธารณะที่มีต่อเพื่อนร่วมทางที่อยู่บนท้องถนนอีกด้วย
ส่วนในสังคมออนไลน์ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของการกระทำดังกล่าวเป็นวงกว้าง
แหล่งที่มา เว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2555 09:25 น
ภัตตาคารจีนเจ๋ง!!! บริกรไม่ใช้ 'คน' .. เลือก 'หุ่นยนต์' ดีกว่า
หมดยุคบริกรแต่งตัวสุภาพเดินถือถาดอาหารบริการภายในร้านอาหารแล้ว เพราะประเทศจีนเขานำเทรนด์ใช้หุ่นยนต์ลงโปรแกรมบริการลูกค้าแบบเป็นกันเอง
บริกรทั้งหลายที่ได้ยินข่าวนี้คงเริ่มร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากอาชีพเลี้ยงปากท้องกำลังจะโดนแย่งด้วยหุ่นยนต์อันแสนชาญฉลาดที่สามารถทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า เสิร์ฟอาหาร เตรียมอาหารและเก็บล้าง แบบไม่ขอค่าแรงและไม่มีเสียงบ่นเล็ดลอดให้ได้ยิน โดยภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองฮาบิน มณฑลเฮย หลง เจียงของประเทศจีน ได้เปิดร้านอาหารแนวใหม่ใช้บริกรเป็นหุ่นยนต์ล้วนๆ เรียกลูกค้าได้แน่นทุกวัน
แม้การตกแต่งของร้านจะดูไม่แตกต่างภัตตาคารทั่วไป แต่สิ่งที่ขึ้นชื่อก็คือ เจ้าหุ่นยนต์บริกรทั้ง 18 ตัว โดยแต่ละตัวจะแบ่งหน้าที่กันตามโปรแกรมที่ลงเอาไว้ เช่น
- ตัวสีเหลืองทำหน้าที่จัดคิวลูกค้า
- ตัวสีเขียวเสิร์ฟอาหาร
- ตัวสีน้ำเงินเตรียมอาหาร
- ตัวสีแดงเก็บโต๊ะ และ
- ตัวสีฟ้าเก็บล้างจานชามหลังลูกค้าลุกออกไปแล้ว
ถึงเวลาแล้วที่บริกรหน้าบึ้งตามร้านอาหารดังๆ จะปรับตัวกันเสียใหม่ เพราะถ้าหน้างอมากๆ หรือเอาแต่บ่นของค่าแรงสูงๆ เจ้าของร้านและลูกค้าจะหันไปพึ่งหุ่นยนต์แสนขยันทำแต่งานมาแทนก็เป็นได้นะจ๊า...
แหล่งที่มา เว็บไซต์ไทยรัฐ 29 มิถุนายน 2555, 15:00 น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ตอน 37 ลาก่อนทองแดง
ตอน 36 อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...
-
ใครที่นึกเบื่อตลาดติดแอร์ แต่ชื่นชอบตลาดเปิดท้ายรวมถึงของขายแบกกะดินราคาถูก หรือร้านขายตามล็อกหลากหลายแนว มาทอดน่องช็อปให้เพลินที่ "ต...
-
การจ่ายเงินรายได้ไม่ครบถ้วน ว่าจริงๆ แล้วเงินที่ทางผู้จ้างได้จ่ายให้ผู้รับจ้างไม่ครบนั้น เพราะว่าทางผู้จ้างได้หักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซ...