วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เอเชียครองแชมป์เศรษฐีมากที่สุดในโลก
ผลสำรวจธนาคารในแคนาดาพบ เอเชียแปซิฟิกมีจำนวนเศรษฐีมากสุดในโลก แซงหน้าภูมิภาคอเมริกาเหนือ
แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีอาการน่าเป็นห่วง แต่ไม่น่าเชื่อว่า จำนวนคนรวยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จากการสำรวจโดยบริษัทที่ปรึกษา Capgemini และธนาคารรอยัลแบงก์ออฟแคนาดา (RBC) ได้ทำการสำรวจจำนวนเศรษฐีทั่วโลกประจำปี 2011 ผลปรากฏว่า เอเชียแปซิฟิกก้าวขึ้นมาเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐีมากที่สุดในโลก โค่นแชมป์เก่าตลอดกาลอย่างภูมิภาคอเมริกาเหนืออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผลสำรวจพบว่า ปีที่แล้วเอเชียแปซิฟิกมีเศรษฐี หรือผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 30 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.37 ล้านคน เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 1.6% ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมกัน 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากถึง 317 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีเอเชียกลับปรับลดลง 1.1% โดยเฉพาะที่สิงคโปร์พบว่าจำนวนเศรษฐีปรับลดลงถึง 7.3%
ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือ จำนวนเศรษฐีลดลง 1.1% มาอยู่ที่ 3.35 ล้านคน สัดส่วนความมั่งคั่งที่เศรษฐีในภูมิภาคนี้ครอบครองอยู่ยังคงมากที่สุดในโลกที่ 11.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 362 ล้านล้านบาท ทว่า ตัวเลขลดลงมาถึง 2.3%
อันดับ 3 คือ ยุโรป มีจำนวนเศรษฐี 317 ล้านคน มูลค่าสินทรัพย์รวมกัน 10.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 325 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อปี 2009 ยุโรปเคยก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แทนที่เอเชียมาแล้ว แต่หลังจากประสบกับวิกฤตนานาประการทำให้อันดับปรับลงมา
โดยรวมแล้วเจ้าสัวทั่วโลกมีจำนวนลดลง 1.7% มาอยู่ที่ 11 ล้านคน ส่วนระดับความร่ำรวยรวมกันอยู่ที่ 42 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,333 ล้านล้านบาท
สาเหตุที่ปรับลดลงเนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง อีกทั้งผลพวงจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากความวุ่นวายในตะวันออกกลางที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น บวกกับความบอบช้ำของญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากภัยพิบัติสึนามิและวิกฤตนิวเคลียร์
ขณะที่ระดับมหาเศรษฐี หรือผู้ที่มีทรัพย์สิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป ต้องกระอัก เพราะปัจจัยลบที่กำลังรุมเร้ามากที่สุด จากการสำรวจพบว่า มหาเศรษฐีของโลกมีจำนวนลดลงถึง 2.5% เหลือเพียง 1 แสนคน ส่วนมูลค่าสินทรัพย์ดิ่งฮวบลงมาถึง 5%
สาเหตุที่คนระดับมหาเศรษฐีได้รับผลกระทบมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เพราะเจ้าสัวกลุ่มนี้มักลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เฮดจ์ฟันด์ หรือการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่หากเกิดความผันผวนก็อาจพบกับความสูญเสียมหาศาลไม่แพ้กัน
แหล่งที่มา เว็บไซต์โพสทูเดย์ 21 มิถุนายน 2555 เวลา 11:41 น.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ตอน 37 ลาก่อนทองแดง
ตอน 36 อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...
![](https://i.ytimg.com/vi/XVJUg9XusLM/hqdefault.jpg)
-
ใครที่นึกเบื่อตลาดติดแอร์ แต่ชื่นชอบตลาดเปิดท้ายรวมถึงของขายแบกกะดินราคาถูก หรือร้านขายตามล็อกหลากหลายแนว มาทอดน่องช็อปให้เพลินที่ "ต...
-
การจ่ายเงินรายได้ไม่ครบถ้วน ว่าจริงๆ แล้วเงินที่ทางผู้จ้างได้จ่ายให้ผู้รับจ้างไม่ครบนั้น เพราะว่าทางผู้จ้างได้หักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น