วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนทั่วโลกตีคุณค่าอาหารเกินจริง


ศูนย์วิจัยแมสซิฟ เฮลธ์ (Massive Health) ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ผู้ผลิตแอพพลิเคชั่น The Eatery สำหรับบันทึกภาพอาหารที่ทานแต่ละวันของคนทั่วโลก ได้เปิดเผยผลสำรวจน่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการทานอาหารของคนทั่วโลกว่า คนทั่วโลกมักทานอาหารที่มีประโยชน์เฉพาะในมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น ส่วนตอนกลางคืนนั้น มักส่งท้ายด้วยการทานอาหารขยะหรือจังก์ฟู้ด แถมยังคิดว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมีประโยชน์เกินจริงอีกด้วย

โดยศูนย์วิจัยแมสซิฟ เฮลธ์ ได้เปิดเผยผลการวิจัยพฤติกรรมการทานอาหารของคนทั่วโลกออกมาในรูปแบบแผนภูมิภาพ หรืออินโฟกราฟฟิก หลังวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเมนูอาหารของผู้ใช้แอพพลิเคชั่น The Eatery กว่า 7.68 ล้านคน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤษภาคม 2555) ซึ่งข้อมูลหลักๆ พบว่า ในแต่ละวัน คนทั่วโลกก็จะทานอาหาร 3 มื้อ ในเมนูแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ แต่ในมื้อดึกซึ่งเป็นมื้อที่ไม่จำเป็นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเพิ่มพลังงานส่วนเกินให้กับร่างกายตัวเองด้วยอาหารประเภทจังก์ฟู้ด ที่เต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล

และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือผู้คนส่วนใหญ่ตีคุณค่าอาหารที่พวกเขาทานในแต่ละมื้อนั้นมากเกินจริง โดยไม่รู้เลยว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมีประโยชน์น้อยกว่าที่คิดถึง 12.4% ขณะที่ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจจากผลวิจัยนั้น มีดังต่อไปนี้
  1. 72% ของคนทั่วโลกตีคุณค่าอาหารที่พวกเขาทานเข้าไปมากเกินจริง
  2. ผู้คนที่ทานมังสวิรัติ หรืออาหารชีวจิต มีสุขภาพดีกว่าผู้คนที่ทานอาหารทั่วไปเพียง 21.9% โดยเฉลี่ย
  3. อาหารเย็นของคนส่วนใหญ่ มีคุณค่าต่อสุขภาพน้อยกว่าอาหารเช้าถึง 15.9%
  4. ผู้คนที่ไม่ทานอาหารเช้า มักทานอาหารมากกว่าคนที่ทานอาหารเช้า 6.8%
  5. วันที่ผู้คนมีพฤติกรรมการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด คือ วันอาทิตย์ เพราะนอกจากพวกเขาจะตื่นสายแล้ว อาหารที่ทานเข้าไปยังไม่มีคุณค่าต่อสุขภาพอีกด้วย
  6. ผู้คนส่วนใหญ่ทานอาหารนอกบ้านถึง 74% และทานอาหารที่บ้านเพียง 26% เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่การทานอาหารที่ปรุงเองที่บ้านนั้น จะทำให้ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าถึง 12.7%
  7. เมนูอาหารที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ได้แก่ สลัด ไก่ ชีส ข้าว ชา กาแฟ นม ไข่ แอปเปิ้ล ซุป โยเกิร์ต และขนมปัง ตามลำดับ
  8. เพื่อนมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการทานอาหารของคนเราถึง 34.5%
  9. คู่สามีภรรยามีโอกาส 37% ที่จะอ้วน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้วน
  10. พี่น้องที่อยู่ด้วยกันมีโอกาส 40% ที่จะอ้วน หากคนใดคนหนึ่งอ้วน
  11. เพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีโอกาสถึง 57% ที่จะอ้วน หากคนใดคนหนึ่งอ้วน เพราะเรามีโอกาสทานอาหารเหมือนเพื่อน มากกว่าคนอื่นๆ
ทั้งนี้ ทางศูนย์วิจัยแมสซิฟ เฮลธ์ ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจที่ได้จากหลากหลายงานวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและพฤติกรรมการทานอาหาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วโลก ดังต่อไปนี้
  1. การทานอาหารในตอนเช้า ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าการทานอาหารจานเดียวกันในตอนบ่ายหรือเย็น
  2. แม้ว่า "สลัด" จะเป็นชื่อที่พูดถึงเมื่อไรก็ทำให้นึกว่ามันเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะสลัดบางชนิดมีพลังงานสูงถึง 500-976 แคลอรี เทียบเท่ากับอาหารอุดมไขมันจานใหญ่ ซึ่งสลัดที่เข้าข่ายพลังงานสูง ได้แก่ สลัดมันฝรั่ง โคลสลอว์ และสลัดไข่ ส่วนสลัดที่มีคุณค่าต่อสุขภาพมากที่สุดนั้น ก็คือสลัดที่ทำจากผักสด และมีน้ำสลัดน้อยๆ นั่นเอง
  3. งานวิจัยชิ้นหนึ่งแนะนำว่า ควรกินอาหารเช้าที่มีไฟเบอร์สูง เพราะจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้รู้สึกอิ่มไปทั้งวัน
  4. ควรทานอาหารเช้าให้ได้ในทุกเช้า เพื่อป้องกันการทานอาหารมื้ออื่นๆ ในปริมาณที่มากขึ้น สรุปแล้วการไม่ทานอาหารเช้าทำให้คุณทานอาหารมากกว่าเดิมเสียอีก
  5. ควรใส่ใจพฤติกรรมการทานอาหารในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะคุณมีโอกาสนอนเพลินจนลืมทานอาหารเช้า แล้วทำให้ทานมากขึ้นในมื้ออื่นๆ และยังมีแนวโน้มทานอาหารไร้ประโยชน์ เช่น อาหารขยะ เบียร์ หรือเหล้า มากกว่าวันอื่นๆ ด้วย
  6. หากคุณมีเพื่อน พี่น้อง สามีหรือภรรยาที่เป็นคนอ้วน ไม่ได้แนะนำให้คุณหย่าร้างหรือเลิกคบกับพวกเขา แต่ขอให้ชวนกันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งนี้ ไม่ใช่แต่คุณเท่านั้นที่จะเป็นคนที่มีสุขภาพดี คุณยังช่วยเปลี่ยนให้พวกเขามีสุขภาพดีขึ้นด้วย
เอ้า รู้อย่างนี้แล้ว เรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารเพื่อสุขภาพของตัวเองพร้อมๆ กันเลยดีไหม?

แหล่งที่มา   เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...