สมมติว่าท่านมีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป เนื่องจากกองทุนประกันสังคมมีเพดานการจัดเก็บเงินสมทบจากฐานค่าจ้างสูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท ท่านที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จึงสมทบในอัตรา 5% ของเพดานค่าจ้าง 15,000 บาท เป็นจำนวนรวม 750 บาท นายจ้างของท่านสมทบอีก 5% คิดเป็นเงิน 750 บาท รัฐบาลช่วยสมทบอีก 2.75% คิดเป็นเงิน 412.50 บาท ซึ่งเงินสมทบทั้งหมดดูแลสิทธิของท่านดังนี้
เงินสมทบส่วนแรกจำนวน 225 บาท กับเงินสมทบในส่วนหลังจำนวน 75 บาทนั้น ถูกหักเพื่อการคุ้มครองกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน คลอดบุตร และว่างงาน เงินสมทบในส่วนนี้เปรียบเสมือนการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต หากท่านไม่ได้ใช้สิทธิกรณีใดเลยในขณะนี้ เงินสมทบในส่วนนี้จะถูกนำไปรวมเป็นเงินกองกลาง เพื่อใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือจ่ายเป็นเงินประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ให้แก่เพื่อนๆ สมาชิกที่เป็นผู้ประกันตนเมื่อต้องประสบความเดือดร้อนจากการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร หรือว่างงาน ตามหลักการ “เฉลี่ยทุกข์ – เฉลี่ยสุข” ซึ่งกันและกัน
สำหรับเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตร เป็นส่วนที่รัฐบาลจ่ายสนับสนุนให้กับผู้ประกันตนในอัตราร้อยละ 1 คิดเป็นเงิน 150 บาทต่อเดือน
เงินสมทบกรณีชราภาพ เป็นการหักเงินสมทบเพื่อ “การออม” โดยผู้ประกันตนจะจ่ายเงินสมทบร้อยละ 3 และนายจ้างสมทบร้อยละ 3 รวมเป็นร้อยละ 6 ของทุกเดือน
แหล่งที่มา Face book : สำนักงานประกันสังคม
เงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่ท่านถูกหัก 5% จากเงินเดือนทุกเดือน เดินทางไปอยู่ที่ไหนบ้าง แบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 จัดเก็บเงินสมทบ ... ในแต่ละเดือน
- ผู้ประกันตนแต่ละท่านสมทบสูงสุดไม่เกิน 750 บาท
- นายจ้างสมทบด้วย 750 บาท
- รัฐบาลช่วยอีก 412.50 บาท
เนื่องจากเรามีผู้ประกันตนในระบบจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน ในแต่ละปี จึงมีเงินสมทบทั้งจากทั้ง 3 ฝ่ายไหลเข้ามาที่กองทุนประกันสังคมประมาณ 110,000 ล้านบาท
ขั้นตอนที่ 2 จ่ายประโยชน์ทดแทนให้ลูกจ้าง ...
เงินสมทบที่จัดเก็บได้จำนวนหนึ่งถูกหักไว้เพื่อเตรียมเป็นค่าใช้จ่ายประโยชน์ทดแทนให้กับผู้ประกันตน ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี โดยในแต่ละปี กองทุนประกันสังคมได้จ่ายประโยชน์ทดแทนให้ลูกจ้างเป็นเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท
ขั้นตอนที่ 3 นำเงินคงเหลือไปลงทุน ...
เงินสมทบที่จัดเก็บได้ปีละ 110,000 ล้านบาท เมื่อหักเงินจ่ายประโยชน์ทดแทนให้ลูกจ้างปีละ 50,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินคงเหลือประมาณปีละ 60,000 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคมได้มอบหมายให้หน่วยงานภายในที่มีชื่อว่า “สำนักบริหารการลงทุน” นำเงินส่วนที่เหลือนี้ไปลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล
นับตั้งแต่จัดตั้งสำนักงานประกันสังคมเมื่อปี พ.ศ. 2533 เราได้จัดเก็บเงินสมทบจากลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล รวมกันได้เป็นเงิน 664,573 ล้านบาท เรียกว่าเป็น “เงินต้น” ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็นำ “เงินต้น” ที่มีไปลงทุน จนได้รับ “ดอกผล” สะสมรวมกันเป็นเงินมากถึง 256,236 ล้านบาท
เมื่อนำ “เงินต้น” มารวมกับ “ดอกผล” ในวันนี้เราจึงมีเงินลงทุนจำนวนมากกว่า 9 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินออมกรณีชราภาพ เมื่อถึงวันที่ท่านเกษียณ ท่านจะมีสิทธิได้รับเงินออมนี้กลับไปในรูปของ “บำเหน็จ” หรือ “บำนาญ”
โดยจะเริ่มมีการจ่ายบำนาญชราภาพในปี พ.ศ. 2557 เป็นปีแรก
แหล่งที่มา Face book : สำนักงานประกันสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น