วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

"ชีวิตที่ร่ำรวย" กับ "ชีวิตที่มีความสุข" คุณเลือกอะไร?

ระหว่าง "ชีวิตที่ร่ำรวย" กับ "ชีวิตที่มีความสุข"
ถ้าให้เลือก ... คุณจะเลือกอะไร?
-----
คำถามนี้ฟังเผินๆ ควรจะตอบ "ข้อหลัง"
แต่ทำไมหลายคนกลับเลือกใช้ชีวิตตาม "ข้อแรก"
นั่นเป็นเพราะว่า "ความสุข"
ไม่สามารถวัดออกมาเป็นหน่วยได้
แตกต่างกันกับความร่ำรวย
ที่มีหน่วยวัดด้วยจำนวนเงินในกระเป๋า
-----
ชีวิตที่มีความสุข
อาจเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ

ส่วนชีวิตที่ร่ำรวย
อาจเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยปริมาณ
-----
การมี "ปริมาณมาก"
ใช่ว่าจะมี "คุณภาพที่ดี"

แต่การมี "คุณภาพที่ดี"
ไม่จำเป็นต้องมี "ปริมาณน้อย"

ว่าแต่ว่า...
ทำไมเราไม่เลือกทั้งสองทางล่ะ

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ชีวิตไม่เดินเส้นตรง...ขอเพียงเดินหน้า

ชีวิตส่วนใหญ่ไม่เคยเดินเป็นเส้นตรงหรอก
มันมักจะพาเราอ้อมไปอ้อมมา แวะนู่นนั่นนี่เสมอ

ผู้ชายคนนึงเรียนโรงเรียนการแพทย์
เขาฝันอยากเป็นศัลยแพทย์
แต่หลังจากไปเป็นทหาร เป็นแพทย์สนาม
เขากลับพบว่ามันไม่ใช่ตัวเขา
เขาน่าจะเป็นช่างภาพ
แต่เมื่อลองเป็นช่างภาพดู
เขากลับพบว่าเขาเก่งไม่พอที่จะทำมันให้เป็นอาชีพ

ในเวลาต่อมาเขากลายเป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้า
มีหน้าที่จัดตู้โชว์หุ่นแสดงเสื้อผ้าผู้ชายให้ออกมาดูดี
เขาเริ่มพบว่า เออ! นี่แหละ ตัวฉัน
เขาได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นฝ่ายจัดซื้อเสื้อผ้าชาย
กลายเป็นดีไซเนอร์ และกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าในที่สุด
เขาชื่อ "จิออร์จิโอ อาร์มานี่"
รู้จักเขามั้ย?

ผู้หญิงอีกคนหัวดี เรียนเก่ง ไอคิวสูง จบศิลปะ
เธอหน้าตาดี ทางบ้านเลยบอกลองประกวดนางงามสิ
ผลคือตกรอบประจำจนเกือบหมดความมั่นใจ
แต่นั่นก็ทำให้แมวมองเห็นเธอและชวนเธอไปเป็นนางแบบ
เธอกลายเป็นนางแบบดังระดับประเทศ
ถ่ายโฆษณามากมาย

แต่คืนนึงที่เงียบสงัด เธอคุยกับตัวเองแล้วพบว่า
เธออยู่ในธุรกิจที่ไม่ใช่ตัวเธอเลย
เธออยากเป็นมากกว่าไม้แขวนเสื้อเดินได้บนแคทวอล์ค
เธออยากสร้างสรรค์อะไรมากกว่านี้
เธออยากเป็นนักแสดง

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอได้เล่น ไม่มีบทพูดให้เธอด้วยซ้ำ
แต่นั่นแหละมันตอบเสียงเรียกร้องในหัวใจเธอ
เธอเริ่มมีบทพูดในละครทีวีหลายๆ เรื่อง
แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ดังมากมาย

ถ้าเธอจะท้อแท้บ้าง มันก็น่าจะสมควรอยู่ใช่มั้ย
10 กว่าปีเป็นเวลาที่นานไม่น้อย
กว่าโลกจะรู้จักเธอเล็กๆ ในบทที่เล่นคู่กับอาร์โนล ชวาซเนกเกอร์
และในเรื่องถัดมาเธอถึงจะเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก
ในหนังเรื่อง "Basic Instinct"
เธอชื่อ "ชารอน สโตน"
รู้จักเธอมั้ย?

! ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ
มันชอบพาเราไปในที่ๆ เหมือนจะไม่เกี่ยว พาฉันมาที่นี่ทำไม
มันชอบพาเราไปหกล้ม เหมือนจะแกล้งให้เรายอมแพ้
เพื่อมันจะได้หัวเราะเยาะเราว่าเรามันอ่อนแอเหลือเกิน
ชีวิตเองก็เคยเป็นแบบนี้

ชีวิตใครหลายคนก็อาจจะกำลังเป็นแบบนี้อยู่
สับสน ว้าวุ่น นี่ฉันมาถูกทางหรือเปล่า?
ท้อแท้ สิ้นหวัง ทำไมชีวิตต้องทดสอบกันขนาดนั้น?
แต่ในที่สุด ถ้าอดทนมากพอและไม่หยุดค้นหา
เราจะเจอกับสิ่งที่ฝัน
และฝันนั้นจะกลายเป็นความจริง
มันไม่ใช่คำปลอบประโลมโลกสวย
เพราะคนที่เชื่อ
ก็จะพบว่าประโยคข้างบนมันเป็น "เรื่องจริง"
ส่วนคนที่ไม่เชื่อ
ก็จะพบว่าประโยคข้างบนเป็นเรื่องจริงที่มัน "ไม่จริง"

ทุกคนมีความจริงในเวอร์ชั่นของตัวเอง
เอาเป็นว่าเลือกความเชื่อในแบบที่จะทำให้ชีวิตเราดีก็แล้วกัน
ชีวิตส่วนใหญ่ไม่เคยเดินเป็นเส้นตรงหรอก
มันมักจะพาเราอ้อมไปอ้อมมา แวะนู่นนั่นนี่เสมอ

ขอแค่โดยรวม มันไปข้างหน้าก็พอแล้ว
ล้มบ้างอะไรบ้าง เป็นธรรมดา
สับสนบ้างวุ่นวายบ้าง เป็นเรื่องธรรมชาติ
อย่าหยุดเดินก็แล้วกัน

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

นิทาน 3 เรื่อง บอกนิสัยคน

1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆ เข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่
ที่ สมหวัง ต้องทำ

จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้

สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้
แล้วก็เลิกคบกัน

2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆ หลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก
และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆ ช่วย
แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว
สมศรี ไม่สบอารมณ์

เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า เพื่อนๆ ทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่
ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ

สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า
“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรี จำคำพูดของสมปอง

ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆ เป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา

ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา

เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ

3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆ ช่วย

วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆ ไปทุกตัว

หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆ มาทุก “ตัว”

วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”

ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือ หมา
มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ

แหล่งที่มา    Facebook :   Take Profit

วัยรุ่น

ตอนเด็กๆ ไม่มีเพื่อนแถวๆ บ้านที่วัยเดียวกันเลย
พ่อแม่ก็ทำงานทั้งวัน น้องก็มีแต่น้องสาว
เลยอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก

โตมากับการ์ตูนในสตรีสาร หญิงไทย ขวัญเรือน
เพราะที่บ้านเป็นร้านตัดเสื้อก็เลยมีแต่หนังสือแนวนี้
ว่างๆ ก็ปั้นดินน้ำมันเป็นหุ่นเอามาสู้กันเอง แต่งเรื่องขึ้นมาเอง
ทีวีมีแต่ทีวีขาวดำ ใส่ในตู้ไม้ มีสี่ขา
เปลี่ยนช่องทีนึงก็ต้องลุกไปบิดๆ เอา
บิดไม่ดี ลูกบิดหลุดออกมาอีก

ลำบากหน่อยก็ตอนดูมนุษย์ไฟฟ้า
เพราะต้องเดาเอาว่าตัวไหนสีแดง ตัวไหนสีน้ำเงิน
จำได้เลยว่าปาเข้าไป ป.4 แล้ว บ้านถึงได้มีทีวีสี
แต่ก็ยังดูทีวีขาวดำเครื่องนั้นจนถึง ม.3
พอมันพังถึงจะเปลี่ยนไปดูทีวีสี

อยู่ข้างบนบ้านคนเดียวทั้งวัน
อ่านอะไรไปเรื่อยเท่าที่จะมีให้อ่าน
บางคืนหลงเข้าไปในนิยายสืบสวนของ อกาธา คริสตี้
ลุ้นไปกับการคลี่คลายคดีฆาตกรรมของ เฮอร์คูล ปัวโรต์

บางวัน อัศจรรย์ไปกับรามเกียรติ์ที่ยืมมาจากห้องสมุด
นึกแล้วยังขำว่าตอนนั้นไร้เดียงสาเหลือเกิน
อ่านชื่อพระอิศวร เป็น พระ-อิส-สะ-วอน

ไม่แน่ว่าการไม่มีเพื่อนเล่น
การที่มีทีวีขาวดำ รับได้แค่สองสามช่อง
มีหนังสืออ่านเท่าที่จะมีอ่าน
มันอาจจะเป็นตัวการที่สร้างเรามาจนทุกวันนี้

ยังคิดอยู่ว่าถ้าโตมาในยุคทีวีร้อยช่อง
หนังสือเวอร์ชั่นไอแพดนับล้านเล่ม เพลงออกใหม่ทุกวัน
บางทีอาจจะไม่ทันมีเวลาคิดอะไรเลยก็ได้
เพราะมันเร็วจนคิดไม่ทัน ไม่มีเวลาย่อย

เดี๋ยวนู่นนั่นนี่มาใหม่อีกแล้ว
เป็นวัยรุ่นยุคนี้มันยากจังนะครัช

ใครเป็นวัยรุ่นยุคก่อน
เล่าให้ฟังบ้างสิ ว่าตอนนั้นใช้ชีวิตยังไงบ้าง

ใครเป็นวัยรุ่นยุคนี้
เล่าให้ฟังบ้างสิ ว่าตอนนี้ใช้ชีวิตยังไงบ้าง

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

7 วิธีคิดที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม

อยากเป็น "คนที่ดีกว่าเดิม" มั้ย ?
มี 7 วิธีคิดที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
เอาไปลองคิด ลองทำกันดู
น่าสนุก และได้ผลจริง เพราะก็ทำอยู่
มา  มาเป็นคนที่ดีกว่าเดิมด้วยกัน
=====================
7 วิธีคิดที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
=====================
  1. คิดถึงพ่อแม่ กว่าท่านจะเลี้ยงดูเรามาจนโต
    อย่าทำให้ท่านผิดหวัง แค่ทำตัวเราให้ดีขึ้น ท่านก็สุขแล้ว
  2. คิดถึงคนรัก (ถ้ามี) การมีคนรักจะทำให้เราตั้งใจกับชีวิต
    การมีคนรักจะทำให้เราหวังดีกับชีวิตมากขึ้น
  3. คิดถึงลูก (ถ้ามี) สิ่งที่เขาซึมซับไม่ใช่คำสอนของเรา
    แต่คือการกระทำของเราที่เขาเฝ้ามองอยู่
  4. คิดถึงโลกนี้ว่าถ้าเราดีขึ้นอีกหนึ่งคน โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นแค่ไหน
    ถึงแม้เราอาจจะเป็นแค่จุดเล็กๆ ก็ตาม แต่ทุกอย่างเริ่มจากจุดเล็กๆ
  5. คิดว่าเรากำลังออกรายการทีวี กล้องกำลังถ่ายเราอยู่ทุกขณะ
    ถ้าเราทำตัวแย่ๆ คนจะเห็นกันทั้งประเทศ
  6. คิดว่าเราต้องเป็นตัวแทนการประชุมสิ่งมีชีวิตจากดาวทุกดวง
    และเราคือตัวแทนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
  7. คิดว่าพระเจ้า (ไม่จำเป็นต้องหมายถึงพระเจ้าในศาสนาคริสต์)
    กำลังสร้างมนุษย์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา โดยยึดเอาเราเป็นพิมพ์เขียว
    ทั้งความคิด พฤติกรรม นิสัยใจคอ ศีลธรรมจรรยา
แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ตัวเรา ตัวเขา...ตัวใหญ่ หรือ ตัวเล็ก

สำหรับคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง
คิดว่ามีความกลัวสองอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ

หนึ่ง ประหม่าเวลาต้องไปพบคนเก่ง คนดัง คนใหญ่คนโต
สอง ประหม่ากลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดพลาด เสียหน้า

ก็เคยเป็นแบบนี้ แต่พอพบวิธีแก้แล้ว หายขาดทันที
เลยเอามาแบ่งปัน เผื่อใครจะนำไปใช้

เพราะการพบปะผู้คนด้วยความมั่นใจ
จะทำให้เรามีแต่โอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต
เวลาที่ต้องพบปะคนเก่งๆ คนดังๆ คนใหญ่คนโต
เมื่อก่อนกลัวมาก ตัวเราดูเล็กลงไปถนัดตา

แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่ทำก็คือ
"คิดว่าคนเหล่านี้ก็คือคนเหมือนเรา"
ถ้าไม่ได้กินข้าว เขาย่อมหิว
ถ้าปวดท้องส้วม เขาก็ต้องเขาห้องน้ำ
ถ้าคนที่เขารักจากไป เขาย่อมเสียใจ

พอคิดได้แบบนี้
ตัวเขาที่เคยใหญ่ ตัวเราที่เคยเล็ก
ก็กลับมาตัวเท่ากันทันที
เพราะเราต่างก็คือคนเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะกลัวไปทำไม
หรืออย่างอาการประหม่าว่าตัวเองจะทำอะไรผิดพลาด
พูดแล้วเปิ่น กลัวจะอายคนอื่น
เหมือนทุกคนจับจ้องมาที่เรา

เมื่อก่อนก็เคยเป็น
แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่ทำก็คือ
"คิดว่าเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก"
ถ้าเราจะทำพลาด ทำเปิ่นจริง จนคนเขานินทา เอาไปแซว
เชื่อสิ ไม่นานเขาก็ลืมแล้ว
เพราะทุกคนมีเรื่องใหม่ๆ ที่ต้องนินทาอีกเยอะ
เราเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตของคนอื่นเท่านั้น
เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก
ไม่นานเราและคนอื่นๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว

พอคิดได้แบบนี้
ตัวเราที่เคยคิดว่าสำคัญ คิดว่ามีสปอตไลต์ส่องตาม
มีแต่คนสนใจจับจ้องนินทาเรา
ตัวเราก็ดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
ไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรที่เสียหน้าไม่ได้สักนิด
ถ้าเห็นด้วยกับวิธีก็ลองเอาไปปรับใช้ดูนะ

ตัวเรา ตัวเขานั้น ใหญ่ๆ เล็กๆ ไปตามจิตของเรา
แล้วแต่เราจะให้ค่าความสำคัญ
ทั้งที่ความจริงแล้ว เราต่างตัวเท่ากัน
ไม่ใช่ตัวใหญ่เท่ากัน
ไม่ใช่ตัวเล็กเท่ากัน
แต่เราต่างไม่มีตัวตนเท่ากันต่างหาก

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

10 "ถ้า" ที่น่าสนใจ

===========
10 "ถ้า" ที่น่าสนใจ
(เก็บตกบางมุมของชีวิตที่ได้เรียนรู้)
===========
  1. ถ้าคุยแล้วไม่มีประเด็น ถ้าคุยแล้วไม่มีข้อสรุป
    ถ้าคุยแล้วไม่มีเดดไลน์ ให้ถือว่าที่ผ่านมา...ไม่ได้คุยเลย
  2. ถ้ามัวแต่เอาเวลาไปดูจมูกคนอื่นว่ามีขี้มูกติดอยู่หรือเปล่า
    เราจะไม่เห็นขี้ก้อนใหญ่บนหัวเราเอง
  3. ถ้าต้องการอะไร ให้บอกไปเลย
    อย่าคาดหวังว่าคนอื่นจะมีพลังจิตรู้ใจเรา
  4. ถ้าเรามีเวลาทำงาน 10 วัน
    ผ่านไป 8 วัน เราจะทำงานได้เพียง 20% แต่อีก 2 วันที่เหลือ
    เราจะทำงานอีก 80% ที่เหลือเสร็จได้อย่างเหลือเชื่อ
  5. ถ้าเรากำลังไม่ชอบนิสัยของใครบางคนใกล้ๆ ตัว
    เป็นไปได้สูงว่าเราก็มีนิสัยเหมือนๆ กับเขานั่นแหละ
    เพราะคนเหมือนกันมักดึงดูดกัน
  6. ถ้าตกหลุมโคลนดูด เราต้องให้คนอื่นฉุดขึ้นมา
    แต่ถ้าตกหลุมชีวิตคิดลบ เราต้องดึงตัวขึ้นมาเอง
  7. ถ้าเป็นของคนอื่น เราเรียกเส้นสาย
    ถ้าเป็นของเรา เราเรียกคอนเน็คชั่น
  8. ถ้าอยากชมใคร ให้ชมออกสื่อ
    ถ้าอยากด่าใคร ให้ด่าในใจ
    ไม่ใช่ทำกลับกัน ชมในใจ แต่ด่าออกสื่อ
  9. ถ้าเรารู้จักพอ มันก็มาก
    ถ้าเราไม่รู้จักพอ มันก็น้อย
    ทั้งที่มันก็จำนวนหรือปริมาณเท่ากันแท้ๆ
  10. ถ้าแก่พอ วันนึงเราจะพบว่า
    โลกนี้ไม่เห็นมีอะไรที่น่าอยากได้อย่างแท้จริงสักนิด
แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

เราจะถูกจัดอยู่ เป็นคนประเภทไหน?

เคยสงสัยไหมว่า...
หากโลกนี้แบ่งประเภทคนตามความเหมาะสม
เราจะถูกจัดอยู่ไหน ประเภทไหน?
----
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือไตรภาค
อันประกอบด้วย Divergent / Insurgent / Allegiant
เรื่องราวว่าด้วยโลกแห่งอนาคต

ประชากรถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
● Abnegation (เผ่าแห่งความเสียสละ)
● Amity (เผ่าแห่งสันติ ความเป็นมิตร)
● Candor (เผ่าแห่งความยุติธรรม ไม่โกหก)
● Dauntless (เผ่าแห่งความกล้าหาญ เข้มแข็ง)
● Erudite (เผ่าแห่งความฉลาด กระหายความรู้)

สุดท้ายคือ Factionless (พวกไร้เผ่า)
หรือ คนที่สอบตกจากการสมัคร ต้องใช้ชีวิตข้างถนน
คอยรับความช่วยเหลือจาก Abnegation

ในตอนแรกเด็กทุกคนจะอยู่กลุ่มเดียวกับพ่อแม่
แต่เมื่ออายุครบ 16 ปีต้องเลือกกลุ่มใหม่
โดยมีแบบทดสอบว่าแต่ละคนเหมาะกับกลุ่มไหน
และต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกตามลักษณะนิสัย
หรือจะกัดฟันทนอยู่กับครอบครัวต่อไป

ว่าแต่...
ถ้าความเหมาะสมของเราไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวล่ะ!
คนกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า "Divergent"
หรือ คนที่รวมคุณสมบัติของหลายๆ กลุ่มไว้ด้วยกัน
อาจจะไม่ได้เหมาะสมที่จะอยู่กลุ่มไหนเป็นพิเศษ
การมีอยู่ของคนกลุ่มนี้ ทำให้คนบางกลุ่มเกิดความกลัว
ดังเช่นกลุ่ม Erudite ต้องการที่จะกำจัดให้พ้นทาง
เพราะคนเหล่านี้ถือเป็นพิษภัยของความสมบูรณ์แบบ
----
คนเราทุกคนเกิดมาล้วนมีนิสัยและความถนัดแตกต่างกัน
อาจจะเหมือน คล้าย หรือแตกต่างจากคนรอบตัว

บางครั้งเราอาจเชื่อว่า
ความเหมาะสมเป็นสิ่งกำหนดอนาคต
แต่บางครั้งสิ่งที่เราเลือกทำ
มันไม่ได้เกิดจากความเหมาะสมเพียงอย่างเดียว
มิหนำซ้ำ มันอาจจะมีบางอย่าง
ที่ "ไม่เหมาะสม" แต่ "เราชอบ" ที่จะทำ
เพราะถ้าสามารถเลือกชีวิตตามความเหมาะสมได้
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเลือกนั้น "เหมาะสม" จริงๆ
----
บางคนอาจจะยังไม่รู้เลยว่า
ตัวเองมีความสามารถอะไร ถนัดอะไร
หรือแม้กระทั่งตัวเอง "ชอบอะไร" เสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี การที่ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไร
ไม่ได้หมายความว่าตัวเราไม่มีความสามารถ
แต่อาจจะแปลว่าเราถนัดที่จะทำอะไรหลายๆ อย่าง

เชื่อว่าสิ่งนั้นคือความเหมาะสม
ในขณะคนทั่วไปอาจจะมองว่าไม่เหมาะสม
และนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ต้อง "เลือก"
----
ความพยายามที่จะกำจัด Divergent
ของผู้ทรงปัญญาอย่าง Erudite
เป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นว่า
ในบางครั้ง สิ่งที่ซ่อนอยู่ในปัญญา
อาจจะไม่ใช่ "ความดี" และ "ความถูกต้อง"
----
เช่นเดียวกัน
การเลือก "กลุ่ม" ตามความเหมาะสมนั้น
ไม่ได้บ่งบอกว่า "ความเหมาะสม" ที่ว่านั้น "เป็นของใคร"

ตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่้งความคาดหวัง
และชีวิตจริง
เราไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงแค่ครั้งเดียวมิใช่หรือ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว
... มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
และที่สำคัญที่สุด
... เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ประสบความสำเร็จในชีวิต

"ประสบความสำเร็จในชีวิต"
เราพูดคำนี้กันบ่อยเหลือเกินในยุคนี้

คำถามก็คือ
"อย่างไรล่ะที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต?"
ต้องมีหมื่นล้านมั้ย? ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกมั้ย?
ต้องขับรถสปอร์ตมั้ย? ต้องอยู่คฤหาสน์มั้ย?
หรือต้องอย่างไรถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ?

ในนิยามส่วนตัว
คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว
เขาควรจะต้องมีคุณสมบัติ 5 ข้อนี้

หนึ่ง มีเงินใช้
คนสำเร็จต้องมีเงินทองมากพอที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ
อาจไม่ทุกอย่างในโลก แต่ก็เพียงพอกับความต้องการ
เพราะฉะนั้นจำนวนเงินจึงไม่ต้องเป็นร้อยเป็นพันล้าน
แต่ต้องเหลือกิน เหลือใช้ เหลือเก็บ เหลือลงทุน
เขาผู้นั้นจึงจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ

สอง ได้ทำงานที่รัก
ชีวิตคนเราเกือบทั้งชีวิตหมดไปกับการทำงาน
การได้ทำงานที่รัก งานที่ทำแล้วตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า
ยิ่งงานนั้นเป็นประโยชน์กับผู้อื่น กับโลกใบนี้ด้วยแล้ว
เขาผู้นั้นยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต

สาม มีครอบครัวที่ดี
ครอบครัวคือรากฐานของทุกความสำเร็จ
ไม่มีความสำเร็จนอกบ้านที่ไหน
จะมาทดแทนความล้มเหลวในบ้าน
คนที่มีครอบครัวอบอุ่น จึงไม่ต้องไปวิ่งหาความสุขจากข้างนอก
เขาผู้นั้นถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต

สี่ มีสุขภาพกายที่ดี
สุขภาพคือรากฐานของทุกอย่าง
ถ้าสุขภาพแย่ เราก็แทบทำอะไรไม่ได้เลย
คนที่ดูแลสุขภาพกายเป็นอย่างดี ทั้งอาหาร ขับถ่าย การนอน
จนมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
เขาผู้นั้นถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว

ห้า มีสุขภาพใจที่ดี
สุดยอดของความสำเร็จคือ ความสงบในจิตใจ
คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี มีสติอยู่เสมอ
รู้ตัวว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่
และจะจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างมีสติได้อย่างไร
คนที่ไม่แกว่งใจไปตามโลกภายนอก ไม่ร้อนรนกระวนกระวาย
คนที่มีความสงบข้างในใจ (Peace of Mind)
เขาผู้นั้นถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว

ถ้าคุณเห็นด้วย
เมื่อมองจากมุมนี้
เราอาจพบว่า
คำว่า "ประสบความสำเร็จในชีวิต"
ไม่ได้เกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ไม่ได้เกี่ยวกับการต้องใช้ชีวิตหรูหราร้อยล้าน
ไม่ได้ต้องเรียนสูง จบนอก บ้านรวย
ไม่ต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง
แค่ทำงานที่รัก มีเงินใช้
ห้อมล้อมไปด้วยคนรัก มีสุขภาพกายใจแข็งแรง
เท่านี้เราก็ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว
วันนี้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง?

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทบทวนตัวเอง

ชีวิตคนส่วนใหญ่ไหลไปเรื่อย
ไม่ค่อยมีการทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
ทั้งที่เรื่องราวที่ผ่านมา
คือบทเรียนชั้นดีในการก้าวต่อไป

อยากจะบอกว่า
วันอาทิตย์เป็นเวลาที่เหมาะมากในการทบทวนตัวเอง
มาทบทวนตัวเองกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีเรื่องอะไรที่ต้องทำ แต่ยังไม่ได้ทำเลย?
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีเรื่องอะไรที่ต้องทำ แต่ยังทำไม่เสร็จ?
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีเรื่องอะไรที่น่าจดจำ ทำอะไรสำเร็จบ้าง?
ฉลองความสำเร็จ ปรับปรุง เพิ่ม ลด
เพื่อให้ทุกอย่างวิ่งไปสู่ "ภาพใหญ่ของชีวิต"

ใช่! ถ้างั้นแปลว่าเราต้องมีเป้าหมายหรือภาพใหญ่ของชีวิต
ว่าชีวิตนี้เราอยากเป็น อยากได้ อยากมี
อยากทิ้งอะไรไว้ให้กับโลกใบนี้
ถ้าไม่มีภาพใหญ่ ก็ยากที่จะเช็คว่าเราทำสำเร็จมั้ย
ก่อนจะวางแผนเวลา เราต้องวางแผนชีวิตก่อน

จากนั้นวางแผนของสัปดาห์หน้า
ว่าอะไรคือภารกิจที่เราต้องทำให้ลุล่วง
เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โอ๊ย! ฟังแล้วเครียด ชีวิตทำไมมันต้องขนาดนั้น
ปล่อยใจสบายๆ ดีกว่า ชิลล์ๆ เดี๋ยวก็ตายแล้ว

บางคนบอกแบบนั้น
ก็แล้วแต่ ชีวิตใครชีวิตมัน
เรามีเหตุผลในการมีชีวิตไม่เหมือนกัน
เดี๋ยวก็ตายแล้วนั่นล่ะ ที่ถึงต้องวางแผงชีวิต
และไม่ได้วางแบบเครียด สนุกจะตายที่มีจุด checkpoint
ถ้าทำได้ก็ร้อง Yes! ทำไม่ได้ก็แก้ไข ทำใหม่
ชีวิตนี้สั้นจะตายไป
ยังไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ
มาวางแผนกันนะ

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Though

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

โฟกัสชัดเจน...มีเป้าหมาย

90% ของปัญหา "ความเครียด" ยุคนี้
เกิดจากการที่เรา "เอาไม่อยู่"
และที่เรา "เอาไม่อยู่"

ก็เกิดจากเรามี "หลายเรื่อง" ต้องทำพร้อมๆ กันมากเกินไป
และที่เรามีหลายเรื่องที่ต้องทำมากเกินไป
ก็เกิดจากเรา "โฟกัสมั่วไปหมด"
และที่เราโฟกัสมั่วไปหมด
ก็เกิดจากเราไม่รู้ว่า
"ไอ้สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันๆ มันสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตมั้ย?"

เพราะฉะนั้นคงไม่ผิดถ้าจะพูดว่า
ยังไงๆ เราก็ต้องหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ
เพราะมันคือจุด checkpoint ให้เรารู้ตัวเสมอว่า
เรามาถูกทางมั้ย?

คนสำเร็จถึงยิ่งสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเขามีเป้าหมายภาพใหญ่ในชีวิตเอาไว้เช็คตลอดว่า
"สิ่งที่ฉันทำในแต่ละวันนั้น
มันกำลังค่อยๆ พาฉันไปสู่เป้าหมายนั้นหรือเปล่า?
ถ้าใช่ ฉันจะทำต่อแบบสุดๆ
ถ้าไม่ใช่ ฉันจะได้หยุด"

ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้เลยว่า
นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่?
เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดถามตัวเองสักนิดว่า
ไอ้ที่ทำอยู่ทุกวันๆ มันใช่รึเปล่าวะ?
เพราะฉะนั้นวิธีหยุดความเครียด

ทั้งเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพหรืออะไรก็แล้วแต่
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ
"หาเป้าหมายของเราให้เจอ"
แล้วเราจะได้เพ่งสมาธิ ทุ่มกำลังกายใจได้ถูกที่ถูกทาง
แว่นขยายจะรวมแสงแดดให้แผดเผาใบไม้ไหม้ได้
มันก็ต้องโฟกัสให้ตรงจุด รวมแสงจนแรงพอ
คนเราก็แบบนั้นเลย

ถ้าเป้าหมายชัด ถ้าโฟกัสใช่
ชีวิตจะพุ่งแรงสุดๆ แบบฉุดไม่อยู่
กระดาษมา ปากกาพร้อม
จรดเขียนสิ่งที่ชีวิตต้องการลงไป
"อะไรคือสิ่งที่เราอยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยากให้กับโลกนี้?"
แปะมันไว้ข้างฝา ปรับเปลี่ยนมันตามความเหมาะสม

นับทุกความสำเร็จ ไม่ว่ามันจะเล็กแค่ไหน
ให้อภัยตัวเองทุกความล้มเหลว ไม่ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน
เดินต่อไป ไปต่อไป
ก้าวไม่ต้องใหญ่ แต่ขอให้ไปให้ถูกทาง
ถามตัวเองทุกวันว่า
"สิ่งที่ฉันทำในแต่ละวันนั้น
มันกำลังค่อยๆ พาฉันไปสู่เป้าหมายนั้นหรือเปล่า?
ถ้าใช่ ฉันจะทำต่อแบบสุดๆ
ถ้าไม่ใช่ ฉันจะได้หยุด"
รับประกันว่า
ทำแบบนี้แล้วทุกอย่างที่คุณต้องการ
คุณจะได้มันมาครอบครองอย่างแน่นอน
เอ้า! เริ่มเลยครับ กระดาษ ปากกา มาเล้ย!

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

การมองเห็นค่าในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว

มันน่าประหลาดมั้ย
ถ้าบอกว่า
เราหลายคนเก่งในการ "มองเห็นสิ่งที่เราไม่มี"

ทุกข์หลายๆ อย่างในใจเรา
บ่อยครั้งที่เกิดจากเปรียบเทียบกับคนอื่น
แล้วรู้สึกว่าเรามีน้อยกว่า

เรานั้นชอบไปมองเห็นว่าเขามีอะไรบ้าง
แล้วเราไม่มีอะไรบ้าง
จากนั้นก็สร้าง "ความขาดแคลน" ให้ตัวเอง

ยังจำได้ดี เมื่อหลายปีก่อน
จิตเป็นทุกข์อย่างหนัก
ตอนนั้นเงินทองไม่พอใช้ ทั้งที่วิ่งทำงานแทบตาย
วิ่งขายของไปทั่วราชอาณาจักร
ไปตามบ้านเพื่อน ตามบ้านคนรู้จัก
ชีวิตมืดมนไปหมด

เหมือนจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่ก็ดันเป็นรถไฟอีกขบวนที่สวนมา
พอเห็นบ้านเพื่อน ก็ได้แต่เฝ้าอิจฉา ร้อนรุ่มในใจ
ทำไมบ้านมันใหญ่จังวะ? ทำไมรถมันหรูจังวะ?
ตอนเรียนเราก็เรียนเก่งกว่า ทำไมชีวิตวันนี้มันดีกว่าเราวะ?

ตะโกนใส่ตัวเองทุกวันว่า "แม่งเอ๊ยชีวิตกู!"
ตอนนั้นเอาแต่เฝ้าคิดว่า
"ทำไมกูไม่มีอะไรอย่างที่คนอื่นเขามีบ้างวะ?"

เอาแต่มองเห็นในสิ่งที่ไม่มี
ไม่เคยมองเห็นค่าในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีเงิน มันคงแก้ปัญหาทุกอย่างได้
ผิด!  เข้าใจผิดอย่างแรง

ในเวลาต่อมาเมื่อได้เจอะกับ "เคล็ดลับไหมฟ้า"
ที่เปลี่ยนความเข้าใจไปตลอดกาล

จะเล่าให้ฟัง
ที่จริงแล้ว
การแก้ปัญหานี้ไม่อาจแก้ได้ด้วยเงินอย่างที่ผมเข้าใจ
แต่มันแก้ได้ด้วย "การมองเห็นค่าในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว"
ใช่! มันง่ายขนาดนั้น แต่โคตรได้ผลจริง

เชื่อตั้งแต่ตอนแรกมั้ย? ไม่หรอก แต่ก็น่าลอง
ลองมองชีวิตตัวเองใหม่ว่าเรามีอะไรบ้าง
ปรากฏว่า เฮ้ย! เรามีเพียบเลยนี่หว่า
ถึงรถจะเก่าแต่เราก็มีขับ ถึงบ้านจะเล็กแต่เราก็ยังมีที่อยู่
ถึงงานจะเงินเดือนไม่เยอะ แต่ก็ยังมีงานทำ
ยังมีครอบครัวที่น่ารัก ยังมีเพื่อนฝูง
สุขภาพเราก็ยังดี

เฮ้ย!! นี่มีมากมายกว่าที่คิดเยอะเลยนี่หว่า
เฮ้ย!!! นี่มันเศรษฐีดีๆ นี่เอง!!!
คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามนะ
หลังจากที่เลิกร้อนรุ่ม เลิกมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่มี

แล้วเปลี่ยนไปขอบคุณในสื่งที่มี
สิ่งดีๆ ก็พากันจูงมือเข้ามาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
ชีวิตก้าวกระโดดแบบสิบเท่าร้อยเท่า
เพียงเพราะแค่มองเห็นในสิ่งที่มี
ลองดูสิ

เลิกเป็นคนเก่งในการมองเห็นแต่สิ่งที่เราไม่มี
แล้วเปลี่ยนมาขอบคุณและเห็นค่าในสิ่งที่เรามี
เมื่อนั้นเราจะเลิกเป็นทุกข์ จิตเราจะนิ่งขึ้น
แล้วสิ่งดีๆ จะเข้ามา
ชนิดที่ว่าเปิดประตูต้อนรับกันไม่ทันเลยทีเดียว

แหล่งที่มา      Facebook :  Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

เงิน

เงินกี่บาทที่เวลาจะใช้แต่ละทีคุณต้องคิดแล้วคิดอีก?
บาทนึง? ร้อยนึง?
พันนึง? หมื่นนึง?
แสนนึง? ล้านนึง?
หรือเท่าไหร่?

เคยยืนรอรถเมล์ครึ่งค่อนชั่วโมง
เพียงเพื่อรอรถครีมแดง มันถูกกว่า ปอ. หลายบาท

เคยกินอาหารตามสั่งแบบห้ามใส่ไข่
เพียงเพื่อประหยัดเงินห้าบาท

ชีวิตช่วงนั้นโคตรไม่สนุกเลย ลำบากมาก
โชคดีที่วันนี้ผ่านมันมาได้แล้ว
มองย้อนกลับไป จึงบอกได้เลย
เงินไม่สำคัญเลย ถ้าเรามีเงิน
แต่เงินสำคัญมาก ในวันที่เราไม่มีมัน

และยิ่งเราไม่ต้องคิดแล้วคิดอีกเรื่องเงินเท่าไหร่
ชีวิตก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น
เวลาสมองไม่ต้องคิดเรื่องเงินแล้ว
สมองเราจะสร้างสรรค์กว่าเยอะ

อย่าถูกใครเค้าหลอกว่าเงินไม่สำคัญ
อย่าถูกใครเค้าหลอกว่าเงินสำคัญสุดในชีวิต
เงินสำคัญ แต่ไม่ที่สุดในชีวิต
เราเลยต้องรีบจัดการกับเงินให้มันจบๆ  ไปไงล่ะ
จะได้ไปทำเรื่องที่สร้างสรรค์กว่าแค่การทำงานเพื่อหาเงิน

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

คิดถึงอะไร?

คุณเคยคิดถึงบ้านไหม?

คิดถึงไออุ่นของผ้าห่ม หมอนข้าง
หรือแม้แต่ตุ๊กตาเน่าๆ ที่เราชอบกอด

คิดถึงพ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้าน้าอา
ที่รอคอยเราด้วยความรัก

คิดถึงวันเวลาดีๆ ที่เคยอยู่กับคนรัก
หรือแม้กระทั่งคนที่แอบรัก
----
เรามักจะคิดถึงความสุขสบาย
ตอนที่เรากำลังลำบาก

เรามักจะคิดถึงสิ่งดีๆ
เมื่อได้เจอะเจอกับสิ่งร้ายๆ

และที่สุดท้าย
เรามักจะคิดถึงบ้าน
----
สำหรับคนที่ไม่มีบ้าน
ไม่มีเตียงนอนนุ่มๆ ผ้าห่ม
หมอนข้าง หรือตุ๊กตาเน่าๆ ตัวเดียว

ไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้องสักคน
ที่จะรอคอยให้กลับไป

ไม่มีคนรัก และ
ไม่มีแม้กระทั่งคนให้แอบรัก
----
บางครั้งอยากรู้ว่า...
พวกเขาเหล่านั้นคิดถึงอะไร?

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

คิดดี พูดดี ทำตัวให้ดี ชีวิตดีแน่นอน

เรื่องที่พูดสำคัญ
แต่ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการพูด
ใครพูดด้วยวิธีใหม่ๆ เข้าใจง่าย เร้าใจ
ผู้คนก็ให้ความสนใจ
แต่ถึงอย่างนั้น สุดท้ายแล้ว
วิธีการพูดก็ไม่สำคัญเท่ากับ
"ใครพูด?"

นี่คือความจริงของโลก
ที่ผู้คนยังให้น้ำหนักกับผู้พูดเสมอ
แล้วพูดเรื่องนี้ทำไม?
ก็แค่อยากจะบอกว่า
ไม่ว่าวันนี้คุณจะทำอาชีพอะไรอยู่

"การสื่อสาร" กับผู้คนเป็นเรื่องสำคัญมาก
คุณต้องหัดพูดเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย
ไม่ใช่พูดเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก
ทักษะนี้แค่อย่างเดียวก็ทำมาหากินได้ไม่รู้จบ
จากนั้นทำตัวให้ดี น่าเคารพ น่าเชื่อถือ
เป็นตัวอย่างที่ดีของคนอื่น
เป็นคนที่คนอื่นอยากเป็นอย่างคุณ
แล้ววันนั้นทุกประโยคที่หล่นออกจากปากของคุณ
จะเป็นที่สนใจของผู้คนเสมอ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกไว้ว่า
"ตอนผมอายุ 21 ต่อให้ผมพูดสิ่งที่ฉลาดที่สุดในโลก
ก็ยังไม่มีใครสนใจฟัง
แต่พอมาตอนนี้ ต่อให้ผมพูดสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลก
คนจำนวนมากก็ยังมานั่งวิเคราะห์ว่า
ผมซ่อนความหมายอะไรไว้หรือเปล่า"
ตัวอย่างนี้น่าจะแทนสิ่งที่ผมอยากจะบอกทั้งหมดได้ดี

เรื่องที่พูดสำคัญ
แต่ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการพูด
ใครพูดด้วยวิธีใหม่ๆ เข้าใจง่าย เร้าใจ
ผู้คนก็ให้ความสนใจ

แต่ถึงอย่างนั้น สุดท้ายแล้ว
วิธีการพูดก็ไม่สำคัญเท่ากับ
"ใครพูด?"
คิดดี พูดดี ทำตัวให้ดี ชีวิตดีแน่นอน

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความก้าวหน้า vs พัฒนาตัวเอง

อย่าเรียกร้องความก้าวหน้า
ถ้าคุณยังไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง

คุณว่าคนส่วนใหญ่วันนึงๆ ทำอะไรบ้าง?
ตื่นเช้า ไปทำงาน

ทำงานยังไง?
ก็ทำงานด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเดิมๆ
ใช้ความรู้ชุดเดิมที่มีตั้งแต่ปีแรกๆ ของการทำงาน
แล้วก็ใช้มันซ้ำๆ มาเป็นสิบปี
ไม่คิดจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
อาศัยแต่ความเก๋าเกมไปวันๆ

ทำงานเสร็จแล้วยังไงต่อ?
ก็เหนื่อยไง เหนื่อยก็เลยอยากพักผ่อน
ไม่ไปช้อปปิ้งตอนเย็น ก็รวมตัวกินข้าวกับเพื่อนๆ
กว่าจะกลับมาบ้านก็หมดแรงแล้ว
คืนนี้ดูละครแย่งสามีซะหน่อย
เล่น fb อีกนิดแล้วค่อยหลับ
ตื่นมาก็ไปทำงานต่อ
เสาร์อาทิตย์ตื่นเที่ยง ไปเดินห้าง กินข้าว ดูหนัง
เฝ้ารอวันหยุดยาวจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด
เก๋ๆ หน่อยก็ไปเกาหลี ไปญี่ปุ่น
จบ !

ประเด็นก็คือ
แล้วการพัฒนาตัวเองมันอยู่ที่ส่วนไหนของชีวิตเขาเหล่านี้?
ไม่เลย ไม่มีสักนิด
อ่านหนังสือที่ให้ความรู้บ้างมั้ย? ไม่
เข้าสัมมนาเสริมความรู้บ้างมั้ย? ไม่
ไปเรียนภาษาเพิ่มมั้ย? ไม่
เผลอๆ บริษัทส่งไปอบรมฟรีๆ ยังขี้เกียจไปเลย
จริงๆ ก็ไม่ผิดนะ ที่ใครอยากจะใช้ชีวิตแบบนี้
ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใครหรอก

แต่ประเด็นก็คือ
ถ้างั้นคนแบบนี้คุณต้องเลิกเรียกร้องความก้าวหน้า
เลิกขอขึ้นเงินเดือน
เลิกก่นด่าโลกนี้ว่าไม่ยุติธรรม
เลิกสงสัยได้แล้วว่าทำไมชีวิตฉันมันไม่ไปไหนมาไหนเสียที
ก็วันๆ ไม่เคยแบ่งเวลามาพัฒนาตัวเอง
แล้วชีวิตมันจะไปไหนมาไหนได้ยังไงล่ะ ?
ที่ยังอยู่ที่เดิมตรงนี้ได้ บุญโขแล้ว

ถ้าคนพัฒนาตัวเองกับคนไม่พัฒนาตัวเอง
แล้วสำเร็จเท่ากัน
โลกนี้มันไม่แฟร์แล้วล่ะ
คนหมั่นพัฒนาตัวเอง ย่อมสำเร็จ
คนไม่พัฒนาตัวเอง ย่อมอยู่กับที่และถอยหลังเข้าคลอง
ลองถามตัวเองแล้วตอบแบบไม่โกหกตัวเองสิ
ว่าปีนี้กับปีนี้ที่แล้ว เราฉลาดขึ้นในเรื่องอะไรบ้าง?
เรารู้เรื่องอะไรใหม่ๆ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยรู้มาก่อนบ้าง?
คำตอบนั้นล่ะ ที่จะบ่งบอกถึงความก้าวหน้าในชีวิตของเรา

ชีวิตนั้นเหมือนเกมที่ต้องฝ่าด่านไปเรื่อยๆ
แต่การจะก้าวข้ามไปแต่ละ level นั้น มันต้องสะสมพลัง
ต้องทำคะแนนให้มากพอ ถึงจะผ่านด่านได้
อย่าเรียกร้องความก้าวหน้าเลย
ถ้าคุณยังไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทางเลือกชีวิตที่ดีที่สุดคืออะไร

เราไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางเลือกชีวิตที่ดีที่สุดคืออะไร
-----
ทางที่เราเลือกวันนี้
อาจะไม่ใช่ทางเลือกที่คุณต้องการ
และอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่คนรอบตัวคุณต้องการ

แต่พอกลับไปคิดดูอีกที
จริงๆ แล้วชีวิตคนเรานั้น
ไม่มีทางเลือกมากนักหรอก

อีกเพียงไม่กี่ปี...
เราล้วนต้องตายเป็นเถ้าธุลีในอากาศ
ใช้ชีวิตให้มี "ความสุข"
แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
-----
แต่ว่าการใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด
มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดหรือเปล่า
คงไม่มีใครตอบคุณได้

ใช่! ตัวก็ไม่รู้เช่นกัน
เพราะมันคือชีวิตของคุณ
แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่า
ทุกวันนี้ตัวเองได้ใช้ขีวิต
อย่างมีความสุข "อยู่หรือเปล่า"
ถ้าเป็นเช่นนั้น อาจหมายความว่า
ตัวคุณนั้นไม่มีแม้แต่ทาง
... ให้เลือก

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ งั้นแสดงว่ามีบางคนที่ทำได้สินะ!

เวลาเราทำอะไรใหม่ๆ หรือชวนใครทำอะไรใหม่ๆ
เคยได้ยินคำพูดประเภทที่ว่า "ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้" บ้างมั้ย?

สิ่งที่สงสัยก็คือ
ประโยชน์ของคำพูดนี้คืออะไร?
ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้อย่างนั้นเหรอ?
แล้วมีอะไรที่ทุกคนทำได้บ้างล่ะ

ทุกคนเดินได้มั้ย?
ไม่ บางคนก็เดินไม่ได้

ทุกคนเขียนหนังสือได้มั้ย?
ไม่ คนมากมายเขียนหนังสือไม่เป็น
มีอย่างเดียวที่คนทำได้คือ "หายใจ"
เพราะไม่งั้นคงตายไปแล้ว

สรุปคือ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ทั้งนั้นล่ะ
จริงๆ แล้วเบื้องหลังของคำพูดนี้ก็คือ
"ข้าว่าข้าทำไม่ได้แหงๆ เลย เพราะฉะนั้นเอ็งก็น่าจะทำไม่ได้"
แต่ถ้าเราพลิกประโยค "ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้" อีกนิด
มันจะเป็นประโยคที่เข้าท่ามากๆ ก็คือ
"ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ งั้นแสดงว่ามีบางคนที่ทำได้สินะ!"
ใครจะรู้ล่ะ "บางคน" ที่ว่าอาจจะเป็นเราก็ได้

หรือประโยคคลาสสิคยอดฮิตตลอดกาลอย่าง
"เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต"
ฟังแล้วก็สงสัยทุกทีว่า
แล้วมันมีอะไรที่ใช่ทุกอย่างของชีวิตด้วยเหรอ?

ความสุขคือทุกอย่าง?
ไม่เลย ลองไม่มีเงินสิ สุขไม่ออกแน่

เวลาที่อยู่กับคนที่รักคือทุกอย่าง?
ไม่เลย ลองไม่มีเงินสิ จะอยู่กันยังไง

งั้นแปลว่าเงินคือทุกอย่าง?
ไม่เลย ลองมีเงินแต่ไม่มีสุข ไม่มีคนรักสิ

สรุปคือ ไม่ว่าจะเงิน จะสุข จะเวลา หรือจะอะไร
มันก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตทั้งนั้นแหละ

จริงๆ แล้วเบื้องหลังคำพูดนี้ก็คือ
"คือว่าเงินข้าไม่ค่อยพอใช้ว่ะ
แต่จะพูดแบบนั้นก็กระดาก
เอาเป็นว่าเงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตเฟร้ย"

ลองพลิกประโยค "เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต" อีกนิดสิ
แล้วมันจะเป็นประโยคที่เข้าท่ามากๆ ก็คือ
"เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
แต่เป็นบางอย่างของชีวิตที่เราต้องทำให้หมดห่วง
เราจะได้ไปทำอีกหลายๆ อย่างในชีวิต"

บางประโยคปิดกั้นความคิดเราไว้
แต่เมื่อเราตีความใหม่
ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป
ลองดูนะ ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
แสดงว่ามีบางคนที่ทำได้ และมันอาจเป็นเรา
เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
แต่เป็นบางอย่างของชีวิตที่เราต้องทำให้หมดห่วง
เราจะได้ไปทำอีกหลายๆ อย่างในชีวิตไงล่ะ

แหล่งที่มา    Facebook :  Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

เวลาที่วัดด้วยนาฬิกา...เป็นเรื่องสมมติ

แท้จริงแล้วเวลาที่วัดด้วยนาฬิกา
ล้วนเป็นเรื่องสมมติ
เพียงเพื่อให้คนเรานัดหมายได้ตรงกันเท่านั้นเอง

แต่เอาเข้าจริงแล้ว "เวลา"
คือเรื่องของ "อารมณ์และความรู้สึก" ล้วนๆ
รู้สึกดี เวลาก็ผ่านไปเร็ว
รู้สึกแย่ เวลาก็ผ่านไปช้า
เวลาหนึ่งชั่วโมงจึงไม่เคยเท่ากันในความรู้สึก

อัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์นั้นรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
เขาถึงอธิบายเรื่องเวลาอย่างแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันว่า

"การวางมือไว้บนเตาร้อนเพียง 1 นาที
ให้ความรู้สึกเหมือนเวลายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง

แต่การนั่งกับสาวสวย นาน 1 ชั่วโมง
ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียง 1 นาที"

พูดเรื่องนี้เพื่ออยากจะให้เราลองถามตัวเองว่า
"เวลาส่วนใหญ่ของเราในแต่ละวัน ผ่านไปเร็วหรือช้า?"
"วันนึงๆ เราจ้องดูนาฬิกา นับถอยหลังเวลาเลิกงานวันละกี่รอบ?"
"รู้สึกว่าวันเสาร์อาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็วมั้ย?"
บางทีคำตอบของคำถามเรานี้
มันอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่า
เรากำลังทำสิ่งที่ "ใช่" กับหัวใจอยู่หรือเปล่า?

มีความเชื่อว่า
สำหรับคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
เวลาของเขาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
หลายครั้งเขา "ฆ่าเวลา" แก้เบื่อ
! เขาจะเป็นนักเบื่อมืออาชีพ เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี
และอารมณ์เบื่อนั้นทำให้เวลายาวนานขึ้นเสมอ
นั่นก็แย่ไปแบบนึง

แต่ที่แย่ไปอีกแบบก็คือ
สำหรับบางคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
แต่เวลาของเขาในแต่ละวันก็กลับหมดไปอย่างรวดเร็วอยู่ดี
ทำไม? ทำไม? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหนอ?
นั่นก็เพราะแต่ละวันเขามัวแต่ทำตามเสียงเรียกร้องจากภายนอก
ทำนู่นให้หน่อยสิ ทำนั่นให้หน่อยสิ
ไปเที่ยวกันมั้ย? เย็นนี้ไปช้อปปิ้งกันป่ะ? ฯลฯ
เขาไม่เคยฟัง "เสียงเรียกร้องภายในหัวใจ" ของเขาเลย
ว่าชีวิตเขาต้องการอะไรกันแน่
แต่ละวันจึงเหมือนถูกลากไปทางโน้นที ทางนี้ที
สุดท้ายเวลาแต่ละวันก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
...แต่ไร้จุดหมาย

เงยหน้ามาอีกที ก็อยู่ที่ปลายชีวิตแล้ว
นั่งคุยกับตัวเองบ่อยๆ สิ
ค้นใจตัวเองว่าจะเอายังไงกับชีวิตในชาตินี้
เรื่อยๆ? งั้น? ทั่วไป? ยังไงก็ได้?
หรือเกิดมาแล้วชีวิตนี้ต้องเอาดีให้ได้เว้ย!
เอาแบบไหนดี?

หาเป้าหมายให้เจอ เขียนมันออกมาว่าชอบทำอะไร
เพราะเมื่อวันที่เราหาเป้าหมายในชีวิตเจอ
ชีวิตแต่ละวันจะ "มันส์" มาก
ถึงมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มากไปด้วยความหมาย
ไม่มีใครอยากมีชีวิตที่วางไว้บนเตาร้อนไปตลอด
หา "สาวสวย" ของเราให้เจอ
แล้วใช้ชีวิตทุกชั่วโมงไปกับเธอสิ

แท้จริงแล้วเวลาที่วัดด้วยนาฬิกา
ล้วนเป็นเรื่องสมมติ
แท้จริงแล้วชีวิตก็เป็นเรื่องสมมติ
เราอาจลืมสิ่งที่เกิดในชาตินี้ทั้งหมด ถ้าชาติหน้ามีจริง
แต่อย่างน้อย ในขณะนี้ที่เรายังจำชีวิตเราได้อยู่

การใช้ชีวิตทุกชั่วโมงทุกนาทีอย่างมีความหมาย
มันก็เป็นอะไรที่ดีไม่ใช่เหรอ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการทำงาน
รู้ตัวอีกทีก็วันศุกร์แล้ว
สวัสดีเช้าวันจันทร์

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

อุดรูรั่ว

ถ้าเปรียบชีวิตคนเราเป็นเรือหนึ่งลำ
เรือของเราทุกคนก็มีรูรั่วอยู่หลายรู
และเพื่อให้เรือลำนี้ล่องนาวาไปด้วยดี
ทุกคนจึงพยายามอุดรูรั่วนั้นอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

ตัวอย่างของรูรั่วเหล่านั้นก็อย่างเช่น
รูรั่วเรื่องความรัก
รูรั่วเรื่องการงาน
รูรั่วเรื่องการเงิน
รูรั่วเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ
และอีกหลายๆ รูรั่ว

ต่อเมื่อรูรั่วเหล่านี้ถูกอุดจนปิดสนิท
เรือชีวิตก็จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างคล่องตัวขึ้น
คนที่รู้สึกว่าชีวิตขาดแคลนซึ่งความรัก
จึงวิ่งวุ่นวายวกวนค้นหาความรักอยู่ร่ำไป

จนหลายครั้งไม่มีเวลาไปสนใจรูรั่วอื่นๆ
หรือแม้แต่ไม่สนใจที่บังคับเรือลำนี้ให้ตรงต่อไป
คนที่ยังไม่เติมเต็มเรื่องอาชีพการงานที่ทำให้เขามีคุณค่า
จึงยังวิ่งวุ่นวายกับการเปลี่ยนงานไปมา
หรือไม่ในทางกลับกัน บางคนก็บ้างานมาก

เพราะงานคือคุณค่าทั้งหมดของชีวิตเขา
เขาจึงไม่สนใจที่จะอุดรูรั่วอื่นๆ
และหวังว่าเรือจะล่องต่อไปอย่างไร้ปัญหา
ซึ่งมันไม่จริง

คนที่ขาดแคลนเรื่องเงิน
วันๆ จึงต้องครุ่นคิดถึงแต่เรื่องว่าจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่าย
จนหลายครั้งไม่มีเวลาไปสนใจรูรั่วอื่นๆ ที่สำคัญ
เช่น สุขภาพกายและใจ
กว่าจะพบรูรั่วนี้ รูรั่วก็ใหญ่โตเสียแล้ว

ที่สุดแล้ว ภารกิจของเราทั้งชีวิต
จึงไม่มีอะไรมากไปกว่า
"การอุดรูรั่วของเรือชีวิตลำนี้"

โทนี่ รอบบินส์ สุดยอดกูรูด้านพัฒนาตัวเอง
บอกไว้ได้อย่างคมคายว่า

"เราไม่อาจจัดการกับสิ่งที่เราวัดผลมันไม่ได้"

แปลอีกทีว่า ถ้าสิ่งไหนที่นามธรรมมากๆ จนจับต้องลำบาก
ก็ยากที่จะจัดการมันได้ว่าจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร?
"ความสุข" คือตัวอย่างนามธรรมที่ชัดเจน

ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แม้แต่ความสุขของเราเอง ก็ไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงชีวิต
ความสุขมันนามธรรมมากๆ จนเราวัดค่ามันลำบาก
สุดท้ายเราเลยไม่แน่ใจว่า
ตกลงเรามีความสุขจริงๆ หรือแค่หลอกตัวเอง

ลองวัดขนาดของการเติมเต็มรูรั่วเหล่านี้ออกมาเป็นตัวเลขดูสิ
มันจะทำให้เรื่องนามธรรมเหล่านี้จับต้องได้มากขึ้น
ถ้ารูใหญ่สุดที่ยังไม่ได้รับการอุด มันมีขนาดเท่ากับ 10
ถ้ารูรั่วที่เราอุดมันจนรู้สึกว่าเติมเต็มแล้ว มีขนาดเท่ากับ 0
ตอนนี้แต่ละรูรั่วของเรา
เราอุดมันจนเหลือขนาดเท่าไหร่? ยังต้องอุดอีกเยอะมั้ย?

รูรั่วเรื่องความรัก เรายังต้องอุดอีกเยอะมั้ย?
รูรั่วเรื่องการงาน การเงิน เรายังต้องอุดอีกเยอะมั้ย?
รูรั่วเรื่องสุขภาพกายใจ เรายังต้องอุดอีกเยอะมั้ย?
ลองให้คะแนนแบบไม่โกงตัวเองดู

แล้วค่อยๆ อุดรูรั่วไปเรื่อยๆ
ทำแบบนี้อยู่ สนุกมากกับการซ่อมแซมเรือลำนี้
ไม่มีเรือของใครสมบูรณ์แบบหรอก
เราต้องซ่อมแซมมันทุกวัน
บางรูเรานึกว่าอุดแน่นแล้ว ปรากฏว่าพอเช็คอีกทีก็ยังมีรั่วอยู่
นี่มันเรือชีวิตของเรานะครับ
เราต้องอุดรูรั่วเอง
อย่ารอให้ใครที่ไหนมาอุดให้ล่ะ

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตที่มั่นคงและร่ำรวย

ถ้าอยากมีชีวิตที่มั่นคงและร่ำรวย
เราควรหางานประจำทำใช่ไหม?
----
เพราะเค้าลังเลว่าจะทำงานประจำต่อไป
หรือตัดสินใจลาออกเพื่อทำตามความฝัน
ไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่ทุกคนอยากจะร่ำรวยและมั่นคง
แต่แปลกที่ไม่เคยถามตัวเองตรงๆ ว่า
"อะไร" ที่ทำให้ชีวิตของเรานั้น
... มั่นคงอย่างแท้จริง

การทำงานประจำอาจจะไม่ตอบโจทย์ชีวิต
แต่ใช่ว่าการออกมามีชีวิตตามฝันนั้น
มันคือสื่งที่ถูกเสมอ...
----
ชีวิตที่ "มั่นคง" และ "ร่ำรวย"
ควรเริ่มต้นจากการหานิยาม
ของคำว่า "มั่นคง" และ "ร่ำรวย" ก่อน
เพราะแต่ละคนนั้นมี "เป้าหมาย"ที่ต่างกัน

บางคนอยากรวยพันล้าน
บางคนอยากมีหลักแสน
บางคนขอแค่ไม่มีหนี้
ฯลฯ
และ "เป้าหมายที่ชัดเจน"
ทำให้เราหาหนทางได้ง่ายขึ้น
----
เราควรทำอย่างไรดี?

ถ้าหากนายคิดว่าการลาออกคือ "โอกาส"
ในการสร้างความ "ร่ำรวย" ของชีวิต
นายควรลาออกจากงานเพื่อสร้างโอกาส
แต่ถ้านายกลัวว่าออกแล้วจะไม่ "มั่นคง"
นายจงอดทนทำงานประจำไปสักพักก่อน

แต่อย่างไรก็ดี
ชีวิตจริงของคนเรานั้น
ไม่ได้มีทางเลือกเพียงแค่ 2 ทาง
คำตอบของชีวิต
จึงไม่ได้มีแค่ "ถูก" หรือ "ผิด"
----
ขงเบ้งเคยกล่าวไว้ว่า
ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง
จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3
----
สุดท้าย
หากหนทางแรก คือ การลาออก
หนทางที่สอง คือ การทำงานต่อ
แล้วนายคิดว่า...
อะไรคือหนทางที่ 3

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ดี-เลว-รวย-จน ...มันไม่เกี่ยวกันเลย

อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า
ความยากจนนั้นเป็นเรื่องดี
ส่วนความร่ำรวยนั้นคือความชั่วร้าย
เพราะดี-เลว-รวย-จน นั้นมันไม่เกี่ยวกันเลย

คนรวยที่เป็นคนโกงก็มี คนจนที่เป็นคนโกงก็มี
คนรวยที่เป็นคนดีก็มี คนจนที่เป็นคนดีก็มี

คนที่ยกย่องความยากจนนั้น
แท้จริงเขาอาจจะร่ำรวยไม่ได้
พยายามจะรวยแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
เลยอยากได้พรรคพวกมายากจนด้วยกัน
"เฮ้! พวกคนรวยมันขี้โกง งั้นเรามายากจนกันป๊ะล่ะ?!"

ถ้าไม่หลอกตัวเอง
ใครๆ ก็อยากร่ำรวยกันทั้งนั้นแหละ
พอเถอะ กับคำพูดที่ว่า
"ไม่ต้องร่ำรวยหรอก ขอแค่เป็นคนดีก็พอแล้ว"
เราฟังประโยคแนวนี้มามากพอแล้ว

อย่างแรก มันเป็นสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลย
อารมณ์ประมาณว่า
"ไม่ต้องกินผัดไทหรอก ใส่รองเท้าแตะก็พอแล้ว"
เอิ่ม...มันเกี่ยวกันตรงไหน
เป็นคนดีก็รวยได้นะครับ

ข้อสอง ไม่! อย่าฝันเล็กแบบนั้นสิ
ชวนให้คุณฝันใหญ่
จงตั้งเป้าหมายว่า
ฉันจะเป็นคนดีที่ร่ำรวย
ฉันจะเป็นคนรวยที่เป็นคนดี

เพราะคนดีที่ร่ำรวยนั้น
ช่วยสังคมได้มากกว่าคนดีที่ยากจน
"แหม วันๆ คิดแต่เรื่องเงิน เรื่องรวย
เคยคิดเรื่องสังคม เรื่องทำบุญบ้างมั้ย?"
บางคนอาจบอกแบบนี้เมื่อไปพูดเรื่องเงินมากๆ เข้า
อันนี้ตอบไม่ยากนะ

คุณว่า "คนหิว" กับ "คนอิ่ม" ใครคิดถึงอาหารมากกว่ากัน?
คนหิวใช่มั้ย
นั่นล่ะ  คนยากจนต่างหากที่วันๆ คิดเรื่องเงินมากกว่าคนรวย

ส่วนเรื่องทำบุญทำงาน
เศรษฐีหลายท่าน
ท่านคือนักทำบุญระดับไม่ธรรมดา
"หลายสิบล้าน" คือจำนวนที่ท่านบริจาควัดป่าวัดเมืองเป็นร้อยวัด
นั่งสมาธิ ถือศีลจนเป็นงานประจำ
ในขณะที่คนยากจน ยังต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำมาหากินต่อไป

ทั้งหมดที่พูดมา ไม่ได้จะยกยอคนรวย
และดูถูกคนจน
ชื่นชมคนรวยที่เป็นคนดี
และเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า
ความยากจนนั้นเป็นเรื่องดี
เพราะคนดีที่ร่ำรวยนั้น
ช่วยโลกนี้ได้มากมายกว่าจริงๆ

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

การเพิ่มช่องทางของรายได้

ถ้าคุณมีรายได้ทางเดียว..
คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณไม่รวยเสียที!!
----
ฮั่นแน่!!! ชะแว้บ ชุวับ ชะวิ้ว..
ม่ได้จะมาเสนอขายอะไรนะ
เพียงแค่อยากทบทวนให้ฟังว่า

เมื่อคุณมี "รายได้"
อย่าลืมหัก "เงินออม" ก่อน
แล้วส่วนที่เหลือค่อย "ค่าใช้จ่าย"
หรือเขียนเป็นสมการว่า
รายได้ - เงินออม = ค่าใชจ่าย
----
จากสมการที่่ว่านี้
หากเราอยากจะเพิ่มเงินออม
เราควรจะ "ลดค่าใช้จ่าย"
หรือ "เพิ่มรายได้"

ขั้นแรก...
คิดว่า "การลดค่าใช้จ่าย"

เป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด
ลดปุ๊บ เห็นผลปั๊บ!!!
เงินออมเพิ่มขึ้นฉับพลัน ชะละล่า

แต่...
การลดค่าใช้จ่ายก็มีข้อเสียตรงที่
เมื่อถึงจุดๆ หนึง
เราจะไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้อีกแล้ว
เพราะทุกอย่างคือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
---
วิธีต่อมา คือ 
"การเพิ่มรายได้"

ถ้าลองคิดดูดีๆ
เราจะพบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า
เราทุกคนมีเวลาทำงานจำกัด
---
สมมุติว่าตอนนี้
คุณทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน
หากคุณเพิ่มเวลาทำงาน
เป็น 16 ชั่วโมงต่อวัน
คุณควรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
และถ้าคุณเพิ่มเวลาทำงาน
เป็น 24 ชั่วโมงต่อวัน
คุณควรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า

นั่นหมายความว่า..
ไม่ว่าคุณจะพยายามเท่าไร
คุณจะมีรายได้เพิ่มเพียงแค่ 3 เท่า
----
"การเพิ่มรายได้"
ไม่ใช่ทำงานให้หนักขึ้น
โดยใช้ความสามารถเท่าเดิม
แต่คุณต้องหาวิธีที่จะ
"สร้าง" รายได้ให้มากขึ้น
จาก "ความสามารถ" ที่มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น...
ความสามารถที่เกิดขึ้นจาก "ความชำนาญ"
เพื่อ "รายได้ต่อชั่วโมง" ที่เพิ่มขึ้น
หรือความสามารถในการหา "หนทาง"
เพื่อสร้าง "รายได้หลายทาง"

ซึ่งข้อได้เปรียบของการมีรายได้หลายทาง
นั่นคือ เมื่อรายได้จากทางใดขาด
คุณยังสามารถที่จะเดินในทางอื่นต่อ
----
เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น
แต่คุณยังมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
ย่อมแปลว่า
เงินออมจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
----
ถ้าหากคุณอยากรวยไวๆ ...
"การเพิ่มช่องทางของรายได้" คือคำตอบ
เพียงแต่ติดอยู่คำถามหนึ่งว่า
ตัวคุณนั้นมีคุณค่าพอที่จะมีรายได้เพิ่ม
... หรือยัง

แหล่งที่มา    Facebook : TaxBugnoms

ความสำเร็จ..."ความสามารถ" และ "ความกล้า"

โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ขึ้นอยู่กับ "ความสามารถ" และ "ความกล้า"
-----
ถ้าหากคุณอยู่ในวัยทำงาน
มีคำถามมาถามคุณ 2 ข้อ

ข้อแรก...
คุณมีความสามารถในการทำงานแบบไหน
ระหว่าง "ความสามารถทั่วไป อะไรก็ทำได้"
กับ "ความสามารถเฉพาะทาง ห้ามลอกเลียนแบบ"

ข้อสอง...
คุณกล้าที่จะ "เสี่ยง" หรือไม่
-----
ถ้าหากคุณไม่กล้าเสี่ยง..

และคุณมีความสามารถทั่วไป
คุุณอาจจะเป็น "พนักงาน" หรือ "ผู้บริหาร"

แต่ถ้าหากคุณมีความสามารถเฉพาะทาง
คุุณอาจจะเป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสายงานนั้น
-----
ถ้าหากคุณกล้าเสี่ยง..

และคุณมีความสามารถทั่วไป
คุุณอาจจะเป็น "เจ้าของกิจการ" หรือ "เจ้าของธุรกิจ"

แต่ถ้าหากคุณมีความสามารถเฉพาะทาง
คุุณอาจจะเป็น "เจ้าของกิจการ" ที่ "ประสบความสำเร็จ"
-----
อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า..
ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้
ข้าพเจ้าจะใช้ 4 ชั่วโมงเพื่อลับขวาน
วันนี้...
คุณลับขวานตัวเองแล้วหรือยัง?

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

"ไม่มีเวลา" vs "มันสำคัญไม่มากพอ"

การจัดสำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำก่อนหลังก่อนที่จะลงมือทำ
คือเคล็ดลับความสำเร็จข้อแรกๆ

แต่ปัญหาก็คือ
คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะจัดลำดับให้ "การจัดลำดับความสำคัญ"
มาเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ (งงมั้ย? 555)
เขาก็เลยลงมือทำไปเลย โดยไม่จัดลำดับก่อน
คนสำเร็จกับคนทั่วไป เลยห่างชั้นกันไปเรื่อยๆ
หรืออย่างเรื่อง "การบริหารเวลา"
ก็เป็นอะไรที่น่า "ขำขื่น" (ขำ+ขมขื่น)
เพราะมีหนังสือและคอร์สสัมมนามากมายที่สอนเรื่องนี้

แต่ปัญหาก็คือ
คนส่วนใหญ่ "ไม่มีเวลา" ที่จะไปอ่านหนังสือหรือเข้าสัมมนานั้นๆ
ก็เขาไม่มีเวลาไง  เขาจะไปอ่านหนังสือเรื่องบริหารเวลาได้ยังไง
คนมีเวลากับคนไม่มีเวลาก็เลยห่างชั้นกันไปเรื่อยๆ

ไม่มีวิธีแก้ไขให้นะ ต้องไปแก้กันเอง
แค่จะบอกว่า การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งทื่ต้องทำก่อน-หลัง
กับเรื่องของการบริหารเวลามันเป็นเรื่องเดียวกัน

และเวลากับชีวิตก็เป็นเรื่องเดียวกัน
และการบริหารเวลาได้
ก็คือการบริหารชีวิตได้นั่นเอง
และสุดท้ายของท้ายสุด
คำว่า "ไม่มีเวลา" นั้นไม่มีอยู่จริง
มีแต่ "มันสำคัญไม่มากพอ" ต่างหาก
เราถึงบอกว่า "ไม่มีเวลา"

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

ปมในวัยเด็ก

สิ่งหลักๆ ที่ "สับไก"
ให้เรา "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" อะไร
หลายครั้งมาจากพ่อแม่
ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน การทำงาน การเลี้ยงลูก และอีกมาก
เราล้วนได้รับทัศนคติมาจากท่าน
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ท่านสอน
หรือทำให้เห็นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อโตมา
บางครั้งเราอาจจะทำซ้ำรอยในสิ่งที่พ่อแม่ทำอย่างไม่รู้ตัว
หรือไม่ก็ต่อต้าน ด้วยการทำตรงข้ามไปเลย
เช่น ถ้าพ่อแม่ทำงานหนัก ไม่สนใจครอบครัว

ก็อาจเป็นไปได้ว่า
เราจะกลายมาเป็นคนทำงานหนัก ไม่สนใจครอบครัวเหมือนกัน
หรืออาจทำตรงกันข้าม
กลายเป็นคนที่ให้ค่าเรื่องครอบครัวมากกว่างาน
เพราะอยากจะกลับไปแก้ปมในวัยเด็ก

เราอาจจะเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดเหมือนท่าน
หรือตามใจลูกแบบสุดๆ ไปเลย
เราอาจเป็นคนบ้าคลั่งการช้อป
ถ้าตอนเด็กเราอยากได้อะไรแล้วไม่เคยได้
หรือเราอาจจะเป็นคนกลัวการใช้เงินสุดๆ

มองเห็นว่าโลกนี้มีแต่ความขาดแคลน จึงต้องเขียมไว้
ตัวละครที่แสดงโดย Nicole Kidman
ในภาพยนตร์เรื่อง Stoker พูดเรื่องนี้ได้อย่างเจ็บแสบว่า
บางทีการมีลูกก็คือการที่เราอยากกลับไปเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง
ไปทำชีวิตลูกให้ดีกว่าชีวิตของเรา

และนั่นเอง
ในหลายครั้งพ่อแม่จึงเผลอเอาฝันของเราไปใส่ในตัวลูก
เรื่องนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก ไม่ได้โทษพ่อแม่
แต่ในวัยเด็กที่เป็นผ้าขาว เป็นดินน้ำมันที่อ่อนนุ่ม
เขาพร้อมรับทุกอย่างด้วยความอ่อนต่อโลก

พ่อแม่จึงเป็นงานที่หนักหน่วงและต้องรับผิดชอบสูง
ที่ห้ามทำที่สุดคือการ "รักแบบมีเงื่อนไข"
เช่น ถ้าลูกไม่ทำการบ้าน พ่อแม่จะไม่รัก
ความรักชนิดนั้นบอบบางและง่อนแง่นเกินไป

ที่ถูกต้องคือเราต้องรัก "อย่างไม่มีเงื่อนไข"
ลูกต้องรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรพ่อแม่ก็รักลูก
แล้วเขาจะเป็นคนที่หัวใจถูกเติมเต็ม
เขาจะมีหลักให้ยึด
ไม่ต้องวิ่งหาความรักจากคนอื่นไปทั่ว

การเลี้ยงลูก ไม่ใช่แค่การเลี้ยงให้เขาเติบโต
แต่ต้องเลี้ยงให้ดี
อย่าเผลอไปสร้างปมให้เขา
บางปมก็ดี ที่ผลักดันเขาก้าวไปข้างหน้า
แต่บางปมก็ฉุดรั้งไว้ไม่ให้เขาไปไหน

ซึ่งคนเป็นพ่อแม่ไม่อาจรู้ได้เลยว่า
ปมที่เราสร้างมันคือปมแบบไหน?
ลองค้นดูดีๆ สิ แล้วคุณจะพบว่า
หลายๆ สิ่งที่เราในวันนี้
มันเกี่ยวข้องกับปมในวัยเด็กของเรานั่นเอง

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

10 ข้อคิด...บริษัทยากที่จะเจริญก้าวหน้า

ตอนเราไปสัมภาษณ์งาน
บริษัทนั้นเข้มข้นในการคัดเลือกพนักงานเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
แต่ตัวเราเองนั่นล่ะ
ที่อาจจะลืมถามตัวเองว่า
"แล้วเราเข้มข้นในการหาบริษัทที่จะพาเราไปสู่ชีวิตที่ดีกว่ามั้ย?"

หลายคนไม่รู้ว่าที่ชีวิตเขายังไม่ไปไหนมาไหน
ทั้งที่ตั้งใจทำงานเต็มที่แล้ว
บางทีคำตอบมันอาจจะเพราะ "เขาแค่อยู่ไม่ถูกที่"

แน่นอน ถ้าชีวิตมันยังดูแย่ๆ
อย่าเพิ่งโทษเพื่อน โทษที่ทำงานเป็นอันดับแรก
ให้สำรวจตัวเองก่อนว่า
เรายังต้องแก้ตรงไหน เพิ่มอะไร ลดอะไร

ต่อเมื่อแก้แล้ว ทำทุกอย่างแล้ว อะไรๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น
นั่นจึงค่อยมองดูว่า
เพื่อนร่วมงานของเรานั้น จะช่วยพากันไปถึงฝั่งฝันมั้ย?
บริษัทที่เราทำงานด้วยนั้น จะพาเราไปถึงฝั่งฝันมั้ย?

และต่อไป คือ 10 ข้อที่ คิดว่าบริษัทไหนมีอาการแบบนี้ยากที่จะเจริญก้าวหน้า

======================

10 สัญญาณหายนะของบริษัทที่ "ทราบแล้วต้องเปลี่ยน!"

1. พนักงานชอบแบ่งแยกเป็นก๊ก จับกลุ่มนินทา
ถ้าเพื่อนร่วมงานคุณเป็นแบบนี้
เค้าจะเอาหัวสมองที่ไหนมาคิดเรื่องงานล่ะ ?
บริษัทเป็นเรื่องของการทำงานเป็นทีม
ถ้าทีมที่คุณอยู่เป็นแบบนี้ คุณเหนื่อยแน่

2. พนักงานใช้ทรัพยากรบริษัทสิ้นเปลือง 
ไม่ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของบริษัท
ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าไม่มีใครมีจิตวิญญาณเถ้าแก่เลย
บริษัทแบบนี้รอวันเจ๊ง เพราะมีแต่พนักงานทำงานรอรับเงินเดือน

3. กฏไม่เป็นกฏ กฏมีไว้อย่างนั้น ไม่มีใครสน
จำไว้ว่าเมื่อคนหลายคนมาอยู่รวมกัน กฏเป็นเรื่องสำคัญ
บริษัทไหนกฏไม่เข้มงวด พนักงานรู้ว่าฝ่าฝืนได้ ไม่เป็นไร
ถ้ามาสาย พักเที่ยงนาน กลับบ้านก่อน ก็ไม่มีใครว่า
แบบนี้บริษัทจะคุมคนไม่อยู่ และจะไม่มีใครฟังคำสั่งใครอีกต่อไป

4. คนทำผิด แต่ไม่ได้รับการลงโทษ
ผิดก็คือผิด คนเป็นนายต้องกล้าใจร้ายในเวลาที่ควรใจร้าย
บางตำราถึงกับบอกว่า
เจ้านายที่ยังไม่เคยไล่ใครออก ยังไม่ใช่เจ้านาย
บริษัทก็เหมือนประเทศที่ต้องมีขื่อมีแป
ถ้าคนทำผิดแล้วยังลอยนวลได้ แบบนั้นบริษัทจะเสียคุณธรรม

5. คนทำดี แต่ไม่ได้รับการชื่นชม
สำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่มากกว่าเรื่องเงินทอง คือ "เกียรติยศ"
คำชื่นชมจึงเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจชั้นดี
บางคนบอกว่า สังคมแย่เพราะคนดีท้อแท้
บริษัทก็ไม่ต่างกับสังคม

6. เจ้านายให้หน้าที่ แต่ไม่มอบอำนาจให้
เป็นปัญหาคลาสสิกตลอดกาลของคนขยันทำงาน
เมื่อได้รับมอบหมายงานมา แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง
เพราะอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เจ้านาย
บริษัทที่เป็นแบบนี้จึงมักสูญเสียคนขยันทำงานไปในที่สุด

7. เจ้านายตัดสินใจไม่เด็ดขาด
ผู้นำจำเป็นต้องตัดสินใจในภาวะคับขัน
และต้องยอมรับถึงผลที่จะตามมา หากตัดสินใจผิดพลาด
การตัดสินใจที่แย่ที่สุดก็คือการไม่ตัดสินใจอะไรเลย
บริษัทแบบนี้ คนสนองนโยบายจะปวดหัวและทำงานไม่ถูก

8. เจ้านายรู้ไม่ทันลูกน้อง
แบบนี้เข้าตำราถูกลูกน้องตลบหลัง หลอกใช้ เอาเปรียบบริษัท
มากกว่าอำนาจการปกครอง จึงต้องมีไหวพริบรู้ให้ทันด้วย
เพราะถ้าลูกน้องรู้ว่าเจ้านายตามไม่ทัน
บริษัทจะยิ่งโดนเอาเปรียบไปเรื่อยๆ

9.เจ้านายไม่มีวิสัยทัศน์
ผู้นำต้องมองการณ์ไกล เห็นไปในอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น
บริษัทที่คิดเล็ก เอาตัวรอดไปเดือนนึงๆ
จึงไม่อาจพาใครให้เจริญก้าวหน้าได้

10.บริษัทไม่มีภารกิจที่ชัดเจน
เมื่อคนหลายคนมาอยู่รวมกัน นอกจากเรื่องกฏระเบียบแล้ว
เรื่องของเป้าหมายก็มีความจำเป็นไม่น้อย
ถ้าพนักงานไม่รู้ว่าบริษัทนี้เขายกย่องในคุณค่าเรื่องอะไร
เขาอยากช่วยให้ประเทศนี้ โลกนี้ดีขึ้นอย่างไร
บริษัทนั้นก็จะมีแต่พนักงานทำตาลอยๆ ไปวันๆ

=====================

เราไม่ใช่กบเลือกนาย
แต่เป็นคนที่รู้จักเลือกบริษัทและเพื่อนร่วมงาน

ถ้าบริษัทยังไม่เปลี่ยน
ถ้าเพื่อนร่วมงานเรายังไม่เปลี่ยน
เรานั่นล่ะ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนบริษัทและเพื่อนร่วมงาน

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

ความหวังดี....เป็นคำว่า ... "เห็น แก่ ตัว"

คุณรู้ไหมว่า ...
"ความหวังดี" แบบไหนน่ากลัวที่สุด
----
ความหวังดี แปลว่า
การคิดอย่างเป็นมิตร
หรือเป็นการคิดที่หวังให้อีกฝ่าย "ได้ดี"

แต่.. เคยถามตัวเองบ้างไหม
ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่า "หวังดี" นั้น
มันมี "ประโยชน์" จริงๆ หรือไม่

การที่ตั้งใจทำอะไรเพื่อใครสักคน
ด้วย "จุดประสงค์ที่ดี"
นั้นถือเป็นเรื่องที่แสนวิเศษ
เพียงแต่ต้องถามให้ชัดเจนก่อนว่า
เรื่องที่ทำนี้มัน "วิเศษ" สำหรับใคร?
----
"เพราะหวังดี ถึงได้ทำแบบนี้ไง"
เป็นคำที่หลายคนมักจะได้ยินอยู่เสมอๆ
โดยเฉพาะเมื่อความหวังดีของผู้ที่มอบให้
แปรเปลี่ยนเป็นความประสงค์ร้ายในสายตาของผู้รับ

ย่อมทำให้เกิดความสงสัยตามมาว่า
"ความหวัง" ที่ว่านั้น "ดี" สำหรับใครกันแน่
"ดี" สำหรับ "ผู้ที่หวัง"
หรือ "ดี" สำหรับ "ผู้ที่เราหวัง"

หากตัวเลือกแรกคือคำตอบ
บางทีแล้วความหวังดีนั้น..
ควรจะถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า
... "เห็น แก่ ตัว"

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

งานที่เรารัก

ไม่อยากจะฟันธงว่าผิด
แต่ผมก็อยากจะบอกว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
ถ้าใครคิดจะเอา "จำนวนเงิน" เป็นเป้าหมายหลักของชีวิต

เช่นเดียวกัน
ไม่อยากจะฟันธงว่าผิด
แต่ก็อยากจะบอกว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

ถ้าใครคิดว่าความฝันในชีวิตคือ
"ไม่ต้องทำงาน นั่งๆ นอนๆ ได้ทั้งวัน อยากเที่ยวไหนก็ไป"
"รวยโคตร" กับ "นั่งๆ นอนๆ ไม่ต้องทำงาน"
คือความฝันในชีวิตที่ได้ยินบ่อยมากถึงมากที่สุด
เวลาคุยกับคนหนุ่มสาวยุคนี้

แต่คุณจะรู้มั้ยว่าคนส่วนน้อยไม่ได้คิดแบบนั้น
และคนส่วนน้อยที่ว่านั้นก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
เขามีเงินเท่าที่ต้องการ มีเวลาเท่าที่ต้องการ
และยังคงทำงานต่อไป โดยไม่มีทีท่าจะอยากรีบเกษียณ

ทำไม? ทำไม? และทำไม?
ทำไมเราไม่ควรตั้งเป้าหมายแบบนั้น?

ข้อแรก 
ทำไมเราไม่ควรเอาเรื่อง "จำนวนเงิน" มาเป็นเป้าหมายหลัก
เพราะมันจะทำให้เราเขวออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ
ด้วยการทำอะไรก็ได้ ขอให้ถึงเป้าหมายเงินจำนวนนั้น
ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะไปไม่ถึง
เพราะความเครียดที่ยึดติดกับเงินจำนวนนั้น

เมื่ออยากได้เงินมาก กูต้องรวยๆๆๆ
สรุปแล้วเครียดมาก บ้าเลือด วิ่งหาเงินจนลืมครอบครัว
สุดท้ายกลับมาพร้อมกับการขาดทุน ทั้งเงินและเวลาที่หายไป

เงินจะตามมาหลังจากที่เราทำสิ่งที่เรารัก เราถนัด
และสิ่งที่เรารัก ต้อง "มีประโยชน์กับผู้คนจำนวนมาก"
ย้ำอีกทีว่า "ต้องมีประโยชน์กับผู้คนจำนวนมาก"

คนเหล่านี้ไม่เคยตั้งธงในใจเรื่องจำนวนเงินก่อนเลย
ต่อเมื่อสำเร็จแล้ว จึงอาจมาตั้งเรื่องจำนวนเงินทีหลังต่างหาก
สรุปคือ แทนที่จะตั้งเป้าเรื่องตัวเงินว่าฉันจะต้องมีร้อยล้าน

ตั้งโจทย์แบบนี้ก่อนดีกว่าว่า
"ทำอย่างไร งานที่ฉันรัก ฉันถนัด
จะเป็นประโยชน์กับผู้คนได้มากที่สุด"
รับใช้ผู้คนให้มากที่สุดเถอะ
แล้วผู้คนเหล่านั้นจะยอมจ่ายเงินให้คุณเอง

ข้อสอง
ทำไมเราไม่ควรเอา "การนั่งๆ นอนๆ ไม่ต้องทำงาน"
มาเป็นเป้าหมายในชีวิต

คำตอบก็เพราะมันไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจอะไรเล้ยยย
ฉันเกิดมาเพื่อ "นั่งๆ นอนๆ ไม่ต้องทำงาน เที่ยวไปทั่ว"
แบบนี้เหรอ ที่เป็นเป้าหมายในชีวิตเรา?

นั่นคือฝันกลางวันของคนไม่มีเป้าหมายในชีวิตต่างหาก
เป้าหมายที่จะได้นั่งๆ นอนๆ แล้วมีเงินใช้ทั้งวัน
มันคือฝันของคนขี้เกียจและไม่มีความสุขกับงานที่กำลังทำอยู่

สุดท้ายคนเรามันต้องมีเป้าหมายที่มีคุณค่ากว่านั้น
สุดท้ายสิ่งที่ตอบใจมันไม่ได้อยู่ที่การได้เที่ยวรอบโลก
แต่มันอยู่ "ที่นี่ ตรงนี้ และเดี๋ยวนี้"

ถ้าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
เป้าหมายต้องไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงินและการได้นั่งๆ นอนๆ ทั้งวัน
แต่มันตรงกันข้ามเลย นั่นคือ
"การหางานที่เรารักให้เจอ
เมื่อเจอแล้ว ให้ทุ่มเททำงานนั้นอย่างหนักหน่วง
เพื่อรับใช้ฝันของตัวเองและรับใช้ผู้คน
โดยไม่เอาเรื่องเงินมาเป็นตัวนำทาง"

สวัสดีเช้าวันจันทร์อันสดใส
ขอให้ทุกท่านได้ทำงานที่รัก
และทุ่มเทกับมัน
แล้วเงินทองหรืออะไรก็ตามที่เราต้องการ
จะตามมาเอง

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

คุณค่า...ในงานทำ

ชีวิตคืออะไรที่มากกว่า
การทำงานเพื่อหาเงิน

ได้เงินมาเพื่อซื้อข้าวกิน
กินข้าวเพื่อที่จะได้มีแรง
มีแรงเพื่อที่จะได้ไปทำงาน
ทำงานเพื่อที่จะได้เงิน
ได้เงินเพื่อที่จะเอามาซื้อข้าวกิน
วนเวียนเป็นวงจรอยู่อย่างนั้น

สิ่งเดียวที่จะทำลายวงจรซ้ำซากนี้
ก็คือการที่เราเห็น "คุณค่า" ของงานที่เราทำ
ไม่จำเป็นว่างานนั้นต้องยิ่งใหญ่ระดับเปลี่ยนโลก
ไม่ต้องถึงกับออกไปสำรวจอวกาศ
ไม่ต้องเป็นผู้นำระดับชาติ
ไม่ต้องเป็นผู้ทรงภูมิเฉลียวฉลาด
และอาจไม่ต้องประกาศให้โลกรู้
แต่ขอแค่ให้เรารู้ว่าเราทำงานนี้ไปทำไม?
เพื่ออะไร? เพื่อใคร?

งานของเรามีความหมายกับโลกนี้อย่างไร?
แค่คนกวาดถนน หรือคือคนทำให้เมืองสะอาด?
แค่คนขายลูกโป่ง หรือคนถือความฝันของเด็กๆ?
แค่คนขายกาแฟ หรือคือผู้ทำให้โลกตื่นจากหลับใหล?
แค่คนขายประกัน หรือคือผู้คุ้มครองอนาคตของผู้คน?
แค่คนทำขายตรง หรือคือนักธุรกิจที่สร้างฝันจากมือเปล่า?
แค่พนักงานประจำ หรือคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัท?
แค่อาสาสมัคร หรือคือนักเปลี่ยนโลก?

ไม่มีใครกำหนดคุณค่างานที่เราทำได้
นอกจากตัวเราเองที่จะเห็นค่าในสิ่งที่เราทำว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน

งานไม่ใช่แค่การหาเงินใช้ไปวันๆ
มีชีวิตไปเดือนๆ ผ่านไปอีกปีนึง
เพื่อที่จะมองย้อนกลับมาแล้วพบว่า
"ที่ผ่านมา ฉันทำอะไรอยู่?"

งานที่มีคุณค่าจึงมากกว่าเรื่องเงินทอง
แต่ต้องตอบเรื่องใจด้วย
งานที่มีคุณค่าไม่ต้องเปลี่ยนโลกทั้งใบหรอก
เปลี่ยนแค่โลกของใครบางคนก็พอ

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

พลังชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ

อยากจะเล่าให้ฟังสัก 2 เรื่อง
ขอให้ตั้งใจอ่านและคิดตาม
ถ้าเห็นด้วย จงทำตาม
เพราะสิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

เรื่องแรก 
ชีวิตของคนสำเร็จนั้นเป็นนิยายสูตรสำเร็จที่พล็อตซ้ำซาก
ทุกคนเดินย่ำบนรอยทางเดียวกัน
นั่นคือ ก่อนหน้าที่จะประสบความสำเร็จ

พวกเขาทุกคนล้วนต้องเจออุปสรรคที่เกือบจะทำให้ถอดใจ
ถ้าเป็นพล็อตหนังก็น่าเบื่อมาก เหมือนกันทุกคน
แต่ขอโทษ! นี่มันชีวิตจริง

ตัวอย่างก็ไล่มาตั้งแต่

"ตูน บอดี้สแลม" เป็นสจ็วตมาก่อน
และกว่าจะเป็นร็อคสตาร์ที่ดังที่สุดอย่างทุกวันนี้
เพลงของเขาและเพื่อนก็ถูกปฏิเสธจากค่ายเพลงมาจนชิน

"ต้อม เป็นเอก" หนังเรื่องแรกของเขา ฝันบ้าคาราโอเกะ
ถูกปฏิเสธมาเป็นร้อยที่

"ท่าน ว. วชิรเมธี" เกือบจะลาสิกขาบทไปเปิดร้ายขายอาหาร
ทั้งๆ ที่ท่านเพิ่งจบเปรียญเก้าประโยค
เพราะสับสนกับเส้นทางชีวิตที่ไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อ

เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตของคุณมันช่างราบเรียบ
Smooth as Silk เหมือนสโลแกนของการบินไทย
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยมีความทุกข์อะไรเลย

มั่นใจได้เลยว่าคุณยังห่างไกลจากเส้นทางของคนสำเร็จ
หรือไม่คุณก็ไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิตเลย

เรื่องที่สอง 
การอยู่ใกล้กับคนที่มีพลัง มีแรงบันดาลใจ
จะช่วยให้เรามีพลัง มีแรงบันดาลใจตามไปด้วย
เปรียบเหมือนฟืนที่อยู่ใกล้กองไฟ ถึงจะไม่ติดไฟ
อย่างน้อยๆ มันก็อุ่นกว่าฟืนเปียกๆ ที่อยู่ตามพุ่มไม้

ชอบดูรายการแบบนี้ เพราะมันสร้างพลังใจสุดๆ ช่วงนึงของชีวิต เคยจิตตก
ชีวิตช่างไร้พลังเสียเหลือเกิน
เมื่อตรวจสอบดู จึงพบว่ารอบตัวรายล้อมไปด้วยคนไร้พลัง
เราต่างพากันดึงตัวเองให้ไหลลงต่ำไปเรื่อยๆ
หลังจากนั้น เมื่อรู้ตัว

สัญญากับตัวเองว่า
จะคิด ฟัง พูด อ่าน เขียนแต่เรื่องที่มีพลังเท่านั้น
จะดั้นด้นไปคบหา พูดคุยกับคนที่มีพลังชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ
แม้จะไม่ได้เจอตัวจริง

ขอเป็นแค่ภาพ เสียง หรือตัวหนังสือก็ยังดี
และจะหลีกให้ห่างจากคนไร้พลัง คนคิดลบ
คุณจะเชื่อมั้ยว่าชีวิตเปลี่ยนไปเพราะสิ่งนี้

เมื่อเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ชีวิตก็คล้ายกลายเป็นอีกคน
จากนั้นก็เริ่มมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาหา มีงานดีๆ มีคนดีๆ เข้ามา
จนไม่อยากจะเชื่อว่า

แค่คิด ฟัง พูด อ่าน คบแต่คนที่ให้แรงบันดาลใจกับเรา
มันจะเปลี่ยนชีวิตเราได้ขนาดนี้
ในเวลาไม่กี่ปี รายได้เพิ่มเป็นสิบเท่า

ชีวิตออกแบบได้ มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาดูแลสุขภาพ
ทั้งหมดนี้เพราะไม่ยอมให้คนไร้พลังเข้ามาในโลก

เมื่อเลือกแต่ input ดีๆ ที่จะเข้ามา
output ก็มีคุณภาพตาม
คุณเองก็ทำได้

เลือกคบแต่คนดีๆ สิ่งดีๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจ
จากนั้นก้าวไปบนเส้นทางที่มั่นใจได้เลยว่าเจออุปสรรคแน่นอน
แต่อย่ายอมแพ้ เพราะมันก็แค่หนังพล็อตซ้ำซาก
ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะก่อน ตอนจบแฮปปี้เอนดิ้งทุกคน

แหล่งที่มา      Facebook : Boy's Thought

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

จง "รัก" ในงานที่คุณทำ...ไม่ต้องเปลี่ยนงาน ... ตลอดชีวิต

ทำงานที่คุณรัก...
แล้วคุณจะไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต (หรอ?)
----
เคยถามตัวเองไหมว่า
"อะไร" คืองานที่เรา "รัก" จริงๆ

เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
เคยฝันอยากจะเรียนศิลปะ
อยากจะเป็นนักวาดภาพผู้ยิ่งใหญ่

แต่วันหนึ่ง
มีเหตุการณ์ให้สำนึกตัวว่า คงไปไม่รอด
จึงตัดใจ "จอด" เพื่อเข้าสู่สายธุรกิจ
ถ้าหากวันนั้นไม่เลิกเรียนศิลปะ
คุณคิดว่าวันนี้จะมีความสุขอยู่หรือเปล่า?
----
ถ้าคำตอบคือ "ไม่"
อยากบอกว่าวันนี้มีความสุขดี
และไม่เคยรู้สึกว่าเสียสิ่งที่ตัวเอง "รัก"
แต่ถ้าคำตอบคือ "ใช่"

อยากบอกว่า
ก็ไม่แน่ใจว่า "อนาคต"
ยังจะมีความสุขแบบนี้อยู่หรือเปล่า
----
เพราะ "งานที่รัก" ของใครสักคน
อาจจะไม่ได้มีเพียงแค่งานเดียว "ตลอดชีวิต
บางงานที่คุณคิดว่ารัก
เมื่อใช้มันนำหากินดูสักพัก
คำว่า "รัก" อาจจะกลายเป็น "เกลียด"
----
ดังนั้น..
ลองถามตัวเองจริงๆ ดูว่า
การได้ทำงานที่เรารักนั้น
มันคือความสุขที่แท้จริง จริงๆ หรือ?
----
การทำงานที่ตัวเองรัก
มีองค์ประกอบอยู่สามอย่าง

อย่างแรก คือ "งาน"
หรือสิ่งที่้ต้องทำเพื่อสร้างรายได้

ต่อมา คือ "เรา"
หรือจิตใจที่ต้องควบคุมมันให้ได้

สุดท้าย คือ "ความสุข"
ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเพียงชั่วขณะหนึ่ง
----
ในโลกแห่งความเป็นจริง
เราไม่สามารถที่จะมีความสุขตลอดเวลา
แต่เราสามารถควบคุมกายและใจ
ไม่ให้รู้สึกทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น

ถ้า "งาน" ทุกวันนี้ ไม่ใช่ "สิ่งที่คุณรัก"
บางครั้ง... ปัญหาอาจจะไม่ใช่ที่งาน
แต่มันอาจจะเป็นที่ "คุณ"
เพราะ "คุณ" ไม่สามารถ
ควบคุม "จิตใจ" ตัวเอง
----
เชื่อว่า .. ท้ายที่สุดแล้ว
ไม่มีงานอะไรที่เราจะรักได้ตลอด
แต่เราสามารถ "รัก" ตัวเอง
... ได้จวบจนสิ้นชีวิต
----
ดังนั้น..
จง "รัก" ในงานที่คุณทำ
แล้วคุณจะไม่ต้องเปลี่ยนงาน
... ตลอดชีวิต

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

โฟกัส!... "เป้าหมาย"

โฟกัส! โฟกัส! โฟกัส!

คำนี้มีความสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตมากๆ

คนนึงประสบความสำเร็จ อีกคนนึงไม่ประสบความสำเร็จ
ความแตกต่างของสองคนนี้อาจไม่ได้อยู่ที่แค่ฝีมือ
แต่อยู่ที่ใคร "โฟกัส" แล้วได้ประโยชน์กับตัวเองมากกว่ากัน

คนสำเร็จนั้นมองเห็นแต่โอกาสในทุกปัญหา
เขาคือนักสร้างข่าวดี
เขาคือนักให้กำลังใจตัวเอง

แต่คนทั่วไปกลับมองเห็นปัญหาในทุกโอกาส
เขาคือเจ้ากรมนักสะสมข่าวร้าย
เขาคือหมอดูที่เห็นแต่ปีชงและดวงตกอับของตัวเอง

ยกตัวอย่างง่ายๆ
ถ้ามีงานนึงที่มีคนทำแล้วประสบความสำเร็จจำนวนไม่เยอะ
พูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
เช่น เล่นหุ้น เปิดร้าน ทำธุรกิจ SME

คนทั่วไปจะคิดทันทีว่า
"ยากว่ะ สงสัยเราจะทำไม่ได้ เพราะคนสำเร็จน้อยเหลือเกิน"
ในขณะที่คนมีนิสัยของคนสำเร็จจะคิดว่า
"คนที่ทำแล้วสำเร็จมีจำนวนไม่เยอะ
แต่คนจำนวนน้อยนั้น มันอาจจะเป็นเราก็ได้นี่หว่า"
ในเรื่องเดียวกัน

คนทั่วไปชอบคาดการณ์ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับเขา
สุดท้ายก็เลยเกิดขึ้นจริง
ส่วนคนสำเร็จชอบคาดการณ์ว่าจะน่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขา
สุดท้ายก็เลยเกิดขึ้นจริง

ที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคนสำเร็จประมาทหรือมั่นใจเกินไป
จึงไม่เตรียมอะไรไว้ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ
แต่เขาเตรียมรับมือสิ่งไม่คาดฝันไว้เสร็จแล้วต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นเตรียมเงินสำรอง เตรียมงานสำรอง
เตรียมการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนด้วยตัวเอง
และสุดท้าย ไม่สร้างหนี้จนเกินตัว
พอเตรียมตัวจบแล้ว
เขาจึง "โฟกัส" ไปที่ "เป้าหมาย" เท่านั้น

ส่วนคนทั่วไปประมาทโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาไม่เตรียมอะไรที่ว่านี้เลยสักอย่าง
เขาไม่มีเงินสำรอง ไม่มีงานสำรอง
ไม่มีการลงทุน สิ่งเดียวที่มีคือหนี้
พวกเขาจึงมองเห็นอนาคตเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน
และมีแต่เรื่องร้ายๆ รออยู่
พวกเขาจึง "โฟกัส" ไปที่ "ปัญหา" เท่านั้น

ข่าวดีก็คือ เรามักจะเป็นหมอดูที่แม่นเสมอ
คำทำนายของเรานั้นแม่นสุดๆ
คิดว่าเรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้นจริง
เอ๊ะ ว่าแต่สรุปว่านี่มันข่าวดีหรือเนี่ย?!

ในเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่คนสองคนกลับมองเห็นต่างกัน
เปรียบเหมือนกล้องที่มี "ชัดตื้น" "ชัดลึก"
อยู่ที่เราจะโฟกัสไปที่จุดไหน
เปลี่ยนโฟกัส ชีวิตก็เปลี่ยน
เลือกมองเห็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์และเสริมชีวิตเราให้ดีขึ้น
เตรียมปัจจุบันให้พร้อม
เพื่อจะได้ไม่ต้องละสายตาจากเป้าหมาย
ลาออกจากเจ้ากรมข่าวร้าย
เพื่อกลายมาเป็นนักให้กำลังใจตัวเอง
แล้วพบกันที่ความสำเร็จ

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

"มนุษย์เงินเดือน" VS "เจ้าของธุรกิจ"

จำใส่กะโหลกเอาไว้เลยนะ
"มนุษย์เงินเดือน" ไม่มีทางรวย!!!
-----
หลายคนเชือว่า..
การทำธุรกิจส่วนตัว คือ
การเปิดโอกาสเพื่อก้าวสู่โลกกว้าง
โผล่จาก "กะลา" ใบเล็กๆ
เพื่อแล่นเรือใบไปสู่ "ความสำเร็จ"
ในฐานะ "เจ้าของธุรกิจ"
แต่.. คุณรู้หรือไม่ว่า?
ธุรกิจที่เปิดใหม่มีโอกาสอยู่รอดกี่เปอร์เซ็นต์
โดยทั่วไป 50%
ปิดกิจการภายในปีแรกที่เปิดดำเนินการ
ที่เหลือรอดหลังจากนั้นภายใน 5 ปี
เหลืออยู่แค่เพียง 10%
และไม่ได้บอกว่า 10% ที่เหลือนั้น
เรียกได้ว่า "ประสบความสำเร็จ" หรือไม่
-----
คณคิดว่า...
โอกาสที่คุณจะเป็น 1 ใน 10 นั้น
เป็นไปได้หรือไม่?

ถ้าไม่แน่ใจ
กรุณากลับไปทำหน้าที่ "ลูกจ้าง" ให้ดีที่สุด
เผื่อจะมีสักวันหนึ่งที่มองเห็น "โอกาส"

ถ้าคิดว่าทำได้
มันก็อยู่ที่คุณจะ "กล้า" ออกมาหรือไม่
-----
เมื่ออ่านถึงตรงนี้
คงต้องสารภาพความจริง 3 ข้อ

ข้อแรก
สถิติของธุรกิจใหม่ที่อยู่รอด
เป็นคนแต่งขึ้นมาเองแบบมั่วๆ

ข้อสอง
คนที่พูดประโยคว่า
มนุษย์เงินเดือนไม่มีทางรวย
ปัจจุบัน เค้ายังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่

และข้อสุดท้าย
ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้แล้วเชื่อง่ายๆ
คุณไม่เหมาะที่จะทำธุรกิจ

แหล่งที่มา   Facebook : TaxBugnoms

"เสียดายเงิน" vs "เสียดายเวลา"

ถ้าคุณยังไม่เคยมีความรู้สึกว่า "เสียดายเวลา"
มันก็อาจจะแปลได้ว่า
คุณยังห่างไกลมากๆ จากความร่ำรวยและความสำเร็จในชีวิต

เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้
จนกระทั่งชีวิตช่วงหลังๆ ได้พบปะคนร่ำรวย คนสำเร็จมากมาย
จึงพบว่าเขาเหล่านั้นใส่ใจกับเรื่อง "เวลา" มากๆ
ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่า "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" เขาจึงหวงแหน
คนเหล่านี้มีเงินเยอะมากพอแล้ว
แต่ที่เขาหวงแหนก็เพราะพวกเขารู้แล้วว่า
"เวลาก็คือชีวิต"

เขาจึงใช้เวลาอย่างมีคุณภาพสุดๆ
ในขณะที่คนทั่วไปใช้เวลาราวกับมีเวลาทั้งโลกเป็นของตัวเอง
แต่คนสำเร็จกลับเข้าใจดีว่า
เวลาของเราบนโลกใบนี้มีไม่เยอะ
เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ให้คุ้ม
ในขณะที่คนทั่วไป "เสียดายเงิน"
แต่คนสำเร็จนั้น "เสียดายเวลา"

คนทั่วไปฆ่าเวลาด้วยการคุยเล่นๆ กับเพื่อน
คนทั่วไปซ้อมนอนเล่น ก่อนนอนจริง
คนทั่วไปยอมขับรถไปสิบกิโล
เพื่อซื้อผงซักฟอกที่ประหยัดกว่าซื้อร้านหน้าหมู่บ้านแค่สองบาท
คำถามก็คือทำไมเขาทำแบบนั้น?
คำตอบก็คือ
"เพราะเขาคิดว่าเวลาของเขามันราคาถูก"

เพราะคนทั่วไปมีรายได้ไม่เยอะ
เขาจึงคิดว่าเวลาของเขามีค่าไม่เท่าไหร่หรอก
เพราะฉะนั้นจะนั่งเล่นนอนเล่น มันก็คงไม่เสียอะไรเท่าไหร่หรอก
หรือถ้าจะทำอะไรแล้วประหยัดได้
ถึงจะไม่กี่บาท มันก็คุ้มแล้ว

แต่บอกได้เลยว่าใครที่คิดแบบนั้นพลาดอย่างแรง
เวลาของเรามีค่ามากกว่าค่าจ้างที่เราได้รับ
บางคนอาจจะค้านในใจ
ก็ไอ้พวกคนรวยมันมีเงินแล้วไง มันก็เลยหวงเวลา
ก็คงต้องบอกอีกนั่นล่ะว่าไม่จริงเลย
เขาหวงแหนเวลาก่อนที่เขาจะร่ำรวยต่างหากล่ะ
เขาก็เลยใช้เวลาทุกนาทีไปอย่างมีคุณภาพ
และทำให้เขาร่ำรวยและประสบความสำเร็จในที่สุด

เวลาของเรามีค่ามากกว่าค่าจ้างที่เราได้รับ
เพราะเวลานั้นเอาไปเปลี่ยนเป็นอะไรได้มากมาย
ว่ากันตั้งแต่ มีเวลาไปเรียนเพิ่มเติม พัฒนาตัวเอง

มีเวลาคิดไอเดียดีๆ ที่อาจสร้างเงินล้าน
มีเวลาดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ
ไปจนถึงมีเวลาอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา
ในหนึ่งวันคนสำเร็จทำภารกิจลุล่วงได้หลายงาน
เพราะเขาเห็นค่าของเวลา

เวลาของเขาจึงถูกแบ่งละเอียดเป็นรายนาที
เช่น 15 นาทีนี้ทำสิ่งนี้ 15 นาทีถัดไปทำอีกสิ่งนึง
ในหนึ่งชั่วโมง เขาจึงทำอะไรได้มากมาย

ในขณะที่เวลาของคนทั่วไปถูกแบ่งเป็นรายชั่วโมง
หรือหนักกว่านั้นคือ แบ่งเป็นแค่เช้า กลางวัน เย็น
วันนึงๆ คนทั่วไปจึงอาจบรรลุภารกิจได้แค่อย่างเดียว

อย่ามัวเสียดายแค่เงินทอง
เงินทองหายไป ไม่นานก็หาใหม่ได้
แต่เวลาที่หายไป
เราจะไปเอาคืนมาจากไหน?

ถามตัวเองว่าในทุกๆ วันเราใช้เวลาคุ้มค่าหรือยัง
อย่าปล่อยเวลาไปเรื่อยเปื่อย
อย่าเอาเวลาไปแลกกับกิจกรรมราคาถูก
เพราะมันเป็นการดูถูกมูลค่าของตัวเองเกินไป

ไม่มีใครมีเวลาที่ราคาถูกหรอก
เพราะเวลาคือชีวิต และชีวิตนั้นราคาแพงมาก
เพราะเรามีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น
ใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ
แล้วเราจะได้ชีวิตที่มีคุณภาพตามมา

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

มะขามแห่งชีวิต

มีเพื่อนอยู่ 2 คน ซื่งสนิทสนมกันมาก ชื่อนายเฮง กับนายอู่จี๊ ทั้งคู่จะไปเก็บขยะ ขายกันทุกวันเพื่อ ที่จะเอาขยะที่ได้นั้น มาแลกเงิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง ทั้งคู่ ทำงานและหาเงิน พอได้เงินก็จะนำมารวมกันเป็น กองกลาง เพื่อไช้จ่ายต่อไป

อยู่มาวันหนื่ง นายเฮงเกิดอยากกินเป็ดกับไก่ ขึ้นมาจึงแอบเอาตังค์ที่อยู่ในกองกลางไปซื้อมา โดยไม่ให้นายอู่จี๊รู้ นานวันเข้านายอู่จี๊ ชักเริ่มสงสัย ว่าเงินก็ใช้ไม่มาก แต่ทำไมเงินลดลงไปมากทุกทีเพราะ ในแต่ละวันจะใช้เงินกิน กันแค่วันละมื้อเท่านั้น นายอู่จี๊จืงเริ่มสงสัยนายเฮง และตนได้แกล้งออกไปเก็บขยะตามเดิม จากนั้นจึงแอบซุ่มดูนายเฮง และเห็นนายเฮงเดินไปซื้อ เป็ดไก่ที่ตลาดมาแทะกิน เย็นวันนั้น นายอู่จี๊กลับมากจากการเก็บขยะ แต่ด้วยความสงสาร เพื่อนที่ร่วมทุกร่วมสุขกันมานาน จืงไม่ได้ตำหนินายเฮงเลย ได้แต่เตือน นายเฮงว่า ให้ไช้เงินให้ประหยัดหน่อย อย่าฟุ่มเฟือยให้มากนัก ผ่านไป 2-3 วัน นายเฮงก็ยังคง กินเป็ด กับไก่เหมือนเคย นายอู่จี๊จึงทนไม่ไหว ออกมาต่อว่านายเฮงว่า "ถ้ารื้อยังซื้อเป็ดกับไก่ มากิน แบบนี้อีก
อั๊วว่าเราคงต้องต่างคนต่างไปแล้วละ"

นายเฮงจึงตอบตกลง รับปากว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก

พอดีวันนี้ตรงกับ วันเกิดนาย อู่จี๊พอดี นายเอ.จึงไป ซื้อเป็ดกับไก่ มาให้นายอู่จี๊กิน พอนายอู่จี๊ กลับมาจากการเก็บขยะ ก็เห็นนายเฮงถือเป็ดกับไก่ เดินตรงเข้ามาหา แล้วพูดว่า" อั้วอยากเลี้ยงรื้อเนื่องในวันเกิดของรื้อ เลยแวะซื้อเป็ดกับ ไก่มาฝาก"
นายอู่จี๊ เห็นดังนั้น จึงตอกกลับไปว่า"วันเกิดอั๊วไม่สำคัญหรอก
ธรรมดา พวกเราก็รายได้น้อย ไม่มีอะไรจะกิน อยู่แล้ว
และที่สำคัญ รื้อก็ไม่รักษาสัญญาที่รื้อให้ไว้"

เงินในส่วนกองกลางนี้รื้อเอาไปเถิด อั๊วจะเป็นฝ่ายไปเอง
จากนั้นนายอู่จี๊ ก็เดินจากนายเฮงไป
นายเฮงยังคงปฏิบัติ ตัวเช่นเคย ซื้อเป็ดไก่ มากินตลอด นานวันเข้าเงินกองกลางก็หมด รายได้ในแต่ละวันแทบจะ ไม่พอกิน ด้วยซ้ำ

5 ปีต่อมา มีข่าวว่า มีเศรษฐีผู้หนึ่ง เป็นคนใจบุญมาก ชอบมาแจกข้าวสารหน้าบ้านตน ให้แก่ผู้ยากไร้ ทุกคน นายเฮงได้ยินดังนั้น เขาดีใจมาก
และรีบตรงรี่เข้าไปขอ ข้าวสารจากเศรษฐีผู้นั้น
แต่หารู้ไม่ว่า เศรษฐีคนนั้น ก็คือ นายอู่จี๊ เพื่อนเก่าของ นายเฮง นั่นเอง
นายเฮงลงไปกราบเท้าเศรษฐี เพื่อขอข้าวสาร
เศรษฐีเห็นดังนั้น จึงพูดว่า "รื้ออยากมีกินแบบนี้ ทุกวันมั้ย"
นายเฮงตอบกลับไปในทันทีว่า "อยากครับท่าน"

เศรษฐีจึงพูดต่อไปว่า "ดีงั้นรื้อ ก็เข้ามาในบ้านอั๊วได้"
นายเฮงได้ยินดังนั้นเขารู้สึก ดีใจมากและได้กล่าวขอบคุณเศรษฐีผู้นั้น
จากนั้นเศรษฐีจึงพานายเฮงไปที่สวนหลังบ้าน ซื่งมีกระต๊อบหลังเล็กๆ ตั้งอยู่

และได้ กล่าวกับ นายเฮงว่า " มะขามต้นนี้คือ อาหารของรื้อ รื้อสามารถเด็ดไปกินได้ตามใจชอบ
ส่วนข้าวสาร พอหมด ก็ไปขออั๊วที่ เรือนใหญ่ได้"
นายเฮงรู้สึกซาบซึ้ง ก้มลงกราบเท้าเศรษฐีผู้นั้น
เศรษฐีนั้นยิ้ม และเดินจากไป

หลังจากนั้น นายเฮง ก็เด็ดมะขาม มาต้มกินทุกวัน
เขาเด็ดคราวละมากๆ หลายๆ ผล ไม่นานนัก
มะขามที่ เคยเต็มต้น ก็หมดภายในพริบตาเดียว
นายอู่จี๊ ได้แอบมาสังเกตพฤติกรรมของนายเฮงอย่างลับๆ ทุกวัน
ช่วงนี้นายเฮงไปขอ ข้าวสาร เรือนใหญ่ บ่อยขึ้น
เพราะ มะขาม นั้นได้หมดต้นไปแล้ว

2 เดือนต่อมา มะขามกลับมาเต็มต้นอีกครั้ง
นายเฮงเห็นดังนั้น จึงเด็ดมากิน แต่คราวนี้ เด็ดมาน้อยกว่า เดิมมาก วันต่อๆ มา ก็สามารถ เด็ดกิน ได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักหมดจักสิ้น อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐีก็มาหานายเฮง พร้อมกับถามไปว่า "เป็นไง สบายดีมั้ย" นายเฮง จึงตอบกลับไปว่า "สบายดีครับท่าน"

เศรษฐีกล่าวไปว่า "รื้อทำถูกแล้วละ ที่เด็ดมะขามวันละนิด เพราะถ้าเด็ดมากๆ มันก็จะหมดไป แต่รื้อเด็ดวันละนิด มะขามก็จะออกผล ออกมาเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็เหมือนกับในชีวิตคนเรา ถ้าเรามีทรัพย์สินเงินทอง เราเก็บเงินที่เพียรหามาได้ และใช้จ่ายเพียงน้อยนิด เงินที่เราได้รับมานั้น ก็จะถูกเก็บสะสม ไว้มากมาย เพราะเราใช้จ่ายเพียงวันละ น้อยนิดเท่านั้น เมื่อเราอยากได้ ของสิ่งใด ก็ควรจะ เก็บเงินให้มากกว่า ของสิ่งนั้น ไว้หลายหลายเท่า ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อและเมื่อเราเก็บเงินได้มากพอ ใช้จ่ายเท่าไรก็ไม่รู้จักหมด ก็เหมือนกับต้นมะขามถ้าเรา รู้จักกินมันวันละนิด มันก็จะไม่รู้จักหมด  จะออกดอกออกผลไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด"

เศรษฐีพูดต่อไปอีกว่า
"ถึงเวลาที่ รื้อ ต้องลุกขึ้นสู้ และปฏิบัติตน ให้เหมือนกับมะขามที่รื้อ เด็ดไปกินวันละ นิด นายเฮง" นายเฮง ได้ยินดังนั้น เขารู้สึกตกใจมาก ว่าเศรษฐีผู้นี้ รู้ชื่อตนได้ยังไง เศรษฐีจึง ยิ้มนิดนิด แล้วพูดว่า "อั้วเอง อู่จี๊ไง ที่เคย เป็นเพื่อนกับ รื้อ เมื่อหลายปีก่อน"

นายเฮงได้ยินดังนั้น จึงร้องไห้ไม่หยุด เพราะคนที่ช่วยเหลือเขา
ก็คือเพื่อนที่เขาเคยแอบเอาเงินไป ซื้อเป็ด กับไก่มากิน
นายเฮงกำลัง จะเดินจากไป แต่นายอู่จี๊พูดไปว่า
"เดี๋ยวก่อน ก่อนรื้อจะไป อั๊วมีอะไรจะให้ รื้อดู "

นายอู่จี๊พานายเฮง มาที่ห้องพระ
นายเฮงต้องตกใจ เมื่อเห็น ของบางอย่าง ที่อยู่บนหิ้ง
นายอู่จี๊หันไปหานายเฮงแล้วพูดว่า
"ของชิ้นนี้ ร่วมทุกขร่วมสุข กับอั๊วมานาน และถ้าไม่มีมัน ก็ไม่มี อั๊วจนถึงทุกวันนี้"
นายอู่จี๊ชี้ไปที่ถุงมือเก่าคร่ำครึ่คู่หนื่ง นั่นก็คือถุงมือที่นายอู่จี๊ เคยใช้ เก็บขยะนั่นเอง
แล้วหยิบถุงมือคู่นั้นส่งให้ นายเฮง พร้อมทั้งมอบเงิน
และอาหารจำนวนหนึ่งให้ก่อนที่นายเฮงจะจากไป

2 ปีต่อมา นายเฮงก็กลับมา หานายอู่จี๊อีกครั้ง แต่คราวนี้ นายเฮงแต่งงาน
และได้กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว จากนั้น เขาทั้งสองก็เป็นเพื่อนรักกันตลอดไป

ถึงเรื่องนี้จะดูแต่งมากไปหน่อย แต่ก็จะได้รู้เรื่องคุณค่าของเงินทอง
เมื่อเราเก็บออมมาได้และใช้ไปอย่างถูกวิธี
ก็จะทำให้เรามีกินมีใช้ได้ตลอดไป

ขอบคุณครับ
Mr.Farmer

Cr : www26.brinkster.com

แหล่งที่มา     Facebook : Road to Billion (ถนนสู่ความมั่งคั่ง)

งานในฝัน

จริงอยู่ที่ว่า "งาน" ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
แต่ก็ต้องยอมรับว่า
คนเราใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับการทำงาน

เพราะฉะนั้นโจทย์ใหญ่ของชีวิตที่คิดว่าสำคัญมากๆ ก็คือ
"ทำอย่างไรเราจะมีความสุขในการทำงาน?"

มีคนมาปรึกษาปัญหาเรื่องการทำงานเยอะมาก
เยอะจนพบว่าคนจำนวนมากไม่มีความสุขในการทำงาน
ปัญหาของคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่หางานแบบที่ชอบไม่เจอ
แต่คิดว่าปัญหามันอยู่ที่
"เขาไม่รู้ว่าชอบงานอะไร?"

ซึ่งเอาเข้าจริง  ไม่ค่อยเชื่อว่าเราไม่รู้ว่าเราชอบงานอะไร
แต่เราไม่เคยนั่งลงถามตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ มากกว่า
เอาล่ะ วันนี้จะชวนทุกท่านมาหา "งานในฝัน" กัน

หยิบยืมมาจากหนังสือที่มีชื่อว่า
What Color is Your Parachute?
มันเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 40 ปี
โดยเป็นคู่มือการหางานและการเปลี่ยนงานที่ดีที่สุดในโลก

แนะนำสุดๆ ให้ไปหามาอ่าน
หนังสือเล่มนี้พูดถึงคำถาม 7 ข้อที่จะทำให้ค้นพบ "งานในฝัน"
คิดว่าน่าสนใจมาก และคุณต้องตอบมันให้ได้
ดังนี้
  1. เราสนใจเรื่องอะไรบ้าง? อะไรคือความรู้ที่เราชื่นชอบ?
  2. เราอยากทำงานกับคนแบบไหน? และใครคือคนที่เราอยากให้บริการหรือช่วยเหลือ?
  3. เรามีทักษะหรือความสามารถแบบไหน?
  4. เราชอบทำงานในสภาพแบบไหน? (เช่น งานนั่งโต๊ะ งานออกข้างนอก งานตอกบัตร งานอิสระ)
  5. เราอยากได้รายได้เท่าไหร่? อยากมีความรับผิดชอบในระดับไหน? ชอบฉายเดี่ยวหรือทำงานเป็นทีม?
  6. เราอยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบไหน? นอกเมืองหรือในเมือง? สภาพอากาศเป็นอย่างไร?
  7. เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร? 
องค์กรไหนที่มีเป้าหมายสอดคล้องกับเป้าหมายของเรา
ทั้ง 7 คำถามนี้ตรงเป้าและครอบคลุมทั้งหมดจริงๆ

ลองตอบคำถามนี้
บางคนอ่านแล้วอาจจะบอกว่า
แต่ทุกคนไม่ได้โชคดีอย่างคุณนี่
ไม่จริง! สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่เจองานในฝัน
ไม่ใช่เพราะเขาโชคร้าย หางานนั้นไม่ได้
แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยนิยามมันลงไปด้วย "การเขียน"
พวกเขาไม่เคยกำหนดสเป็คงานแบบที่ต้องการลงไป
พวกเขากำหนดสเป็คมือถือที่จะซื้อ ละเอียดกว่างานในฝันซะอีก

ตอบคำถาม 7 ข้อนั้นซะ แล้วเขียนมันลงไป
นั่นคือสเป็คงานในฝันของคุณ
อย่าเลือกทำงานเพียงเพราะมันตอบโจทย์แค่ข้อใดข้อหนึ่ง
เช่น ก็เพราะฉันถนัดงานนี้ ฉันจบมาทางสายนี้
ฉันชอบเงินเดือนเท่านี้ ฉันชอบทำงานใกล้บ้าน ฯลฯ

แต่งานที่คุณจะทำในชีวิตนี้จะต้องตอบโจทย์ "ทั้ง 7 ข้อนี้"
ตอบให้ชัดเจน นิยามสเป็คให้เคลียร์
ที่เหลือจักรวาลจะช่วยคุณเอง
ตั้งใจทำงานเดิมต่อไป อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง
มองหาทุกโอกาสที่เข้ามา ขอบคุณทุกสิ่งที่มีอยู่
แล้ว "งานในฝัน" กับ "คุณ" จะพบกันในที่สุด
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังค้นหางานในฝันนะ

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

เมื่อปลายทาง คือ "ความสำเร็จ"

การที่คุณได้นั่งแท็กซี่ดีๆเพียงแค่หนึ่งคัน
อาจทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต!
----
เคยถามพี่คนขับแท็กซี่ว่า
ทำไมแท็กซี่ส่วนใหญ่ถึงไม่ชอบรับผู้โดยสาร
พี่เค้าหัวเราะและตอบกลับมาว่า
คนอื่นไม่รู้ แต่ผมรับตลอดนะ!!

หลังจากนั้นพี่เค้าก็ถามกลับมาบ้าง
แล้วทำไมผู้โดยสารชอบลงกลางทาง
รู้ไหมว่า เวลารถติด ขอหนีลงกลางทาง
เงินก็ไม่ได้เพิ่ม แถมเสียเวลาอีกต่างหาก
เลยตอบไปว่า
คนอื่นไม่รู้ แต่ไม่เคยหนีลงนะ!!
แล้วเราก็หัวเราะพร้อมๆกัน
----
ว่าแต่...
ระหว่างผู้โดยสารที่โดนปฎิเสธ
กับแท็กซี่ที่โดนทิ้งกลางทาง
แบบไหนมันน่าหงุดหงิดกว่ากัน
เราอยู่ฝ่ายไหน
ฝ่ายนั้นแหละ ที่น่าหงุดหงิดกว่า
----
หากสมมุติว่า ชีวิตคือการเดินทาง
คงเป็นการเดินทางที่แสนสับสนอลหม่าน
ฝ่ารถติด ปัญหาชีวิต พิษคาร์บอนไดออกไซด์
แต่สุดท้ายต้องไปให้ถึง "ความสำเร็จ"

เมื่อมีการเดินทาง...
ย่อมต้องมีทั้ง "ผู้โดยสาร" และ "คนขับรถ"
"คนขับรถ" ที่ดี
ย่อมทำให้เราไปถึงปลายทางได้รวดเร็ว
แต่คนขับรถแบบกากๆ
อาจจะทำให้เราล้มลงกลางทาง
หรือไม่ก็เคว้งคว้างเพราะยางแตก
----
ในทางกลับกัน
เราอาจย้อนถามตัวเองสั้นๆว่า
เรานั้นเป็น "ผู้โดยสารที่ดี"
ที่พร้อมจะเดินทางจริงหรือเปล่า
----
คนขับแท็กซี่มีหน้าที่ส่งผู้โดยสาร
การละทิ้งหน้าที่ย่อมถือเป้นความผิด
แต่การที่ผู้โดยสารละทิ้งแท็กซี่นั้น
อาจเรียกไม่ได้ว่า "ความผิด" ได้เต็มปาก
เพราะ "อำนาจ" ที่แตกต่างกัน
----
เมื่อปลายทาง คือ "ความสำเร็จ"
สิ่งที่ควรทำ คือถามตัวเองว่า
วันนี้... เรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่

หากเป็น "คนขับแท็กซี่"
เรามีหน้าที่ส่งผู้โดยสารอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ถ้าหากเป็น "ผู้โดยสาร"
ลองสังเกตดูว่า "แท็กซี่" ที่คุณนั่ง
สามารถส่งคุณไปยังฝั่งฝันได้หรือเปล่า

หากตอนนี้คุณเจอ "คนขับ" ที่ไม่ได้เรื่อง
ขอแนะนำให้ลองมองหา "แท็กซี่" คันใหม่
หรือไม่ก็ตัดสินใจลุกไปขับเองแม่มเลย !!!

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

แข่งกันพัฒนาตัวเอง

ยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนแข่งกันพัฒนาตัวเอง เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง
ใครจะไปคิดว่าธุรกิจ "เรียนพิเศษ" ของเด็กๆ ที่ว่าเฟื่องฟู
ตอนนี้กำลังถูกธุรกิจ "เรียนพิเศษ" ของผู้ใหญ่ตีตื้นมาติดๆ
ว่าแต่อะไรคือ "ธุรกิจเรียนพิเศษของผู้ใหญ่"?
"สัมมนา" ไงล่ะ
"เรียนภาษา" ไงล่ะ
"อบรมธุรกิจ" ไงล่ะ

ทั้งอยู่ในธุรกิจนี้และมีเพื่อนๆ อยู่ในธุรกิจนี้
เห็นเลยว่ามีคนที่ "หวังดีกับตัวเอง" มากมาย
พวกเขายอมที่จะเอาเวลาหลังเลิกงานที่ควรจะพักผ่อน
เอาเวลาเสาร์อาทิตย์ที่ควรจะนอนเล่นอยู่บ้าน
เอามาเสริมความรู้ให้กับตัวเอง
เพราะพวกเขารู้แล้วว่าโลกนี้ตัดสินกันด้วยความรู้ความสามารถ
ไม่ใข่พละกำลังเหมือนกับยุคอุตสาหกรรมแล้ว

ยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนแข่งกันพัฒนาตัวเอง
แข่งกันเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง
พ่อค้าเร่ที่ปราณบุรี
ลุงยามที่หมู่บ้านผม
พนักงานแคชเชียร์ที่หัวหิน
เค้ารู้แล้วว่ายุคนี้ต้องพัฒนาตัวเอง
แล้วเราล่ะ รู้หรือยัง?

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่บริษัท แต่อยู่ที่ตัวเรา

โลกนี้มันเป็นเรื่องของ Demand กับ Supply
ใครต้องการมากกว่า "คนนั้นแพ้"

ถ้าคุณขายของที่มีความต้องการเยอะ แต่มีอยู่น้อย
ของสิ่งนั้นก็มีค่ามาก มีแแต่คนแย่งกันอยากได้

ถ้าคุณขายของที่มีความต้องการไม่เยอะ แถมยังมีขายไปทั่ว
ของสิ่งนั้นก็ด้อยราคา มีแต่คนเฉยๆ

และถ้ายอมรับความจริงว่า
เราทุกคนก็ล้วนกำลัง "ขายตัวเอง"
ขายความรู้ ขายความสามารถ ฯลฯ

มันก็น่าคิดว่า "เราคือของแบบไหน?"
"หาได้ยาก มีแต่คนต้องการ"
หรือ
"หาได้ง่าย มีขายไปทั่ว"
แบบไหนที่เราเป็น?

ทุกครั้งที่มีการสัมภาษณ์ไม่ว่าจะทีวีหรือนิตยสาร
ได้รับคำถามบ่อยมากกับเรื่องที่ว่า
"งานไม่ประจำ ทำแล้วมันจะมั่นคงเหรอ?"
และผมก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่า
"ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่บริษัท แต่อยู่ที่ตัวเรา"
ยุคนี้คำว่า "ความมั่นคง" มันออกจะเป็นคำตกยุคไปแล้ว

บริษัทเอกชนที่ไหนก็ไม่อาจรับรองความมั่นคงในชีวิตไปจนตาย
ทำงานบริษัทยักษ์ใหญ่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทที่พูดชื่อแล้วรู้จักทั้งประเทศ
ก็ยังถูกเลย์ออฟพร้อมพนักงานอีกมากมายหลายชีวิต
พนักงานก็ไม่ได้ผิด บริษัทก็ไม่ได้ผิด
แต่สถานการณ์มันบังคับให้ต้องทำแบบนั้นจริงๆ

หรือมองไปในระดับโลก
ใครจะคิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโนเกียหรือโกดัก
จะมีวันนี้?

ความมั่นคงของชีวิตจึงไม่ควรฝากไว้ที่บริษัท
แต่ต้องฝากไว้ที่ "ตัวเราเอง"
ถ้าความสามารถของเรามัน "แจ่ม" จริงๆ
ใครๆ ก็ต้องการตัว
ดีไม่ดีจะแย่งกันด้วยซ้ำ

คนแบบนี้ชีวิตไม่ต้องกลัวตกงาน
เผลอๆ จะกลายมาเป็นคนสร้างงานเองด้วยซ้ำ
ตรงกันข้าม ถ้าความสามารถเรามันประเภท "งั้นๆ"
หาที่ไหน เอาใครมาแทนก็ได้
คนแบบนี้ต้องถึงระวัง
ดีไม่ดีบริษัทไม่ต้องเจ๊ง เค้าก็จ้างเราออกไปก่อนแล้ว

คนที่มีความสามารถทั่วๆ ไป
จึงต้องวิ่งหางาน สมัครงานให้คนอื่นเลือกไปทั่ว
แต่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เลือกงานเท่าไหร่
มีอะไรให้ทำก็ต้องทำ

แต่คนที่มีความสามารถพิเศษ เก่งและเป็นคนดี
งานจะวิ่งมาหาเขา เพราะคนแบบนี้หาไม่ง่าย
แถมเขายังมีสิทธิ์เลือกอีกด้วยว่าจะร่วมงานกับใครดี

ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ
โลกนี้มันเป็นเรื่องของ Demand กับ Supply
ใครต้องการมากกว่า "คนนั้นแพ้"
ความสามารถของเรา "แจ่ม" หรือ "งั้นๆ"
นั่นล่ะ  ตัววัดความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิต

แหล่งที่มา     Facebook : Boy's Thought

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

ติดตั้ง "ทักษะแห่งความสำเร็จ"

เข้าใจว่ามนุษย์เราสามารถทำอะไรก็ได้
ขอแค่ "ติดตั้ง" ทักษะที่จำเป็นเท่านั้น
ก็ยิ่งสนุกกับการพัฒนาตัวเอง

เราทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
ชีวิตจึงไม่ต่างกับการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B
ทุกๆ วัน เราต่างพยายามไปสู่จุดๆ นึงเสมอ

ปัญหาก็คือ
คนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ทำให้คนคนนึงไปถึงจุดหมายได้
หรือไม่ก็คิดว่าเป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่ต้องเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนส่วนใหญ่ก็เลยหยุดอยู่กับที่ ยืนอยู่ตรงจุด A
เพราะสิ้นหวังตั้งแต่ยังไม่เริ่ม คนอย่างเราคงไม่มีวันถึงจุด B
แต่บอกได้เลยว่า "ไม่จริง"

ถ้าคอมพิวเตอร์ต้องลงโปรแกรม
เพื่อให้ใช้งานฟังก์ชันบางอย่างได้
คนเราก็ต้อง "ติดตั้งทักษะ" บางอย่าง
เพื่อให้กลายเป็นคนคนนั้นที่เราต้องการ

อยากเป็นนักพูด ก็ต้องฝึกทักษะการพูดบนเวที
อยากเป็นนักเขียน ก็ต้องฝึกทักษะเขียน
อยากเป็นนักขาย ก็ต้องฝึกทักษะการขาย
อยากร่ำรวย ต้องฝึกทักษะของคนรวย
นั่นคือ ทำงานหนัก อดออม และเรียนรู้ที่จะลงทุน

ถ้าเรา "ติดตั้งทักษะ" แบบเดียวกับคนที่สำเร็จที่เราอยากเป็น
เราก็จะสำเร็จแบบเดียวกับที่เขาสำเร็จมาก่อนเรา
ขออย่างเดียว
ต้อง "คิดและทำ" ให้เหมือนคนที่เราอยากเป็นจริงๆ

ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อลองกลับไปเช็คดีๆ จะพบว่ามีบางอย่างที่เราทำไม่เหมือนเขา
โดยเฉพาะเรื่องวิธีคิด
ทักษะนั้นเป็นเรื่องที่สอนและเรียนรู้กันได้
ถึงบอกว่าตอนนี้สนุกมากกับการพัฒนาตัวเอง
อยากเก่งด้านไหน อยากมีทักษะด้านไหน
ก็แค่ไปเรียนรู้เท่านั้นเอง

เรามีชีวิตที่ดีขึ้น
เราเคลื่อนจากจุด A ไปจุด B ได้
ไม่ใช่เพราะโชคช่วย
แต่เพราะเราติดตั้ง "ทักษะแห่งความสำเร็จ" ต่างหาก
ตกลงวันนี้คุณจะติดตั้งทักษะอะไรให้ตัวเองดี?

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

คุณกำจัด "นกพิราบตัวแรก" ... หรือยัง

วิธีประสบความสำเร็จเร็วที่สุด
จงกำจัดนกพิราบตัวแรกในชีวิตซะ!!
----
เมื่อวันก่อน ผมได้พูดคุยกับพี่คนหนึ่ง
พี่เค้าทำอาชีพรับกำจัด "นกพิราบ"
ได้ฟังตอนแรกก็ประหลาดใจโคตรๆ
มันมีอาชีพแบบนี้ในโลกด้วยหรอเนี่ย
และยิ่งประหลาดใจมากกว่านั้น...
เมื่อรู้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น
มีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านบาทต่อปี!!
----
ว่าแต่อยู่ดีๆ
นกพิราบจะมาทำรังเป็นฝูงได้ยังไง
ผมถามพี่เค้าด้วยความสงสัย
พี่เค้าบอกว่า
มันเกิดขึ้นจาก "นกพิราบตัวแรก"
ถ้าเรายอมปล่อยให้ตัวแรกบินมาอยู่
โดยที่ไม่ไล่มันออกไปแต่เนิ่นๆ
สักพักมันจะเข้าใจว่าที่นี่เป็นบ้าน
และชักชวนพวกพ้องมาอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดแล้ว
ความเสียหายจะทวีคูณนับไม่ถ้วน
----
หาก "นกพิราบ" คือ "ความขี้เกียจ"
และเรายอมให้ "ตัวแรก" เข้ามาเกาะ
โดยที่ไม่กำจัดมันทิ้งเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
แล้วเมื่อไรถึงจะประสบความสำเร็จ
ว่าแต่...
คุณกำจัด "นกพิราบตัวแรก"
... หรือยัง

แหล่งที่มา     Facebook : TaxBugnoms

เงินพอใช้ แต่มีเวลาว่างเยอะๆ

ในขณะที่คนส่วนใหญ่
มุ่งประเด็นไปที่ "การหาเงินเยอะๆ" เป็นอย่างแรก
กลับคิดว่าสิ่งที่เราต้องมีเป็นอันดับแรก
ไม่ใช่ "เงินเยอะๆ"
แต่คือ "เงินพอใช้ แต่มีเวลาว่างเยอะๆ" ต่างหาก

คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
มันไม่ใช่บ้านหลังงามที่เรามีเหมือนกัน
มันไม่ใช่รถคันหรูที่เรามีเหมือนกัน
มันไม่ใช่ตัวเลขในบัญชีที่เรามีเท่ากัน

สิ่งที่เรามีเหมือนกันก็คือ
เรามี "เวลา" เป็นของตัวเอง
เราออกแบบเวลาของเราไม่ให้ตรงกับคนอื่นได้

สุดท้ายแล้ว คนเราไม่ได้ต้องการ "สตางค์" ขนาดนั้น
เราต้องการ "สไตล์" มากกว่า
เราต้องการ "ไลฟ์สไตล์" ในแบบที่เราชอบต่างหาก

เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนก็แค่อยากจะทำในสิ่งที่รัก อยู่กับคนที่รัก
ในสถานที่ที่ถูกใจ ในเวลาที่เหมาะสม
นั่นล่ะ ทั้งหมดที่มนุษย์คนนึงพึงต้องการ

ซึ่งในหลายๆ ครั้ง "สไตล์" ที่ว่านี้
ไม่ต้องใช้ "สตางค์" มากมายเลย
แต่คนส่วนใหญ่ไปติดกับดักความคิดที่ว่า
"ฉันต้องรวยก่อน ถึงจะมีชีวิตแบบที่ต้องการได้"
ซึ่งมันไม่จริงเลย

เราสามารถมีไลฟ์สไตล์แบบเศรษฐีได้
โดยที่เราไม่ต้องมีเงินร้อยล้านพันล้าน
เพียงแต่เราต้องไม่ไปติดกับเปลือกหรูหราเท่านั้นเอง

อยากเที่ยวเมืองนอก อยากขับรถปอร์ต อยากใช้ของแพง
ถ้าเราชอบวิถีเศรษฐีแบบนั้น ไม่ผิด แต่ก็เหนื่อยหน่อย
แต่ถ้าเราอยากได้วิถีเศรษฐีเวอร์ชั่นที่ถอดเปลือกออก
เอาแต่แก่นล้วนๆ เช่น
อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัว อยากมีเวลาส่วนตัว
อยากมีเวลาออกกำลังกาย อยากปฏิบัติธรรม ฯลฯ
ยืนยันว่าเรามีได้ โดยไม่ต้องมีตังค์เยอะแยะ

โจทย์ชีวิตจึงอยู่ที่
ทำอย่างไร เราถึงจะหาเงินที่พอเพียงกับเราโดยใช้เวลาน้อยที่สุด
เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้มากที่สุด
เพราะท้ายที่สุด
"เวลา" จะถูกเปลี่ยนเป็น "ไลฟ์สไตล์" ที่เราต้องการ

ตังค์มีไม่เยอะ แต่มีสไตล์ในแบบที่ต้องการ
และก็คิดว่าไม่ใช่ทำได้คนเดียว
เราทุกคนก็ทำได้ ขอเพียงตั้งธงเป้าหมายในใจใหม่ว่า

สิ่งที่เราต้องมีเป็นอันดับแรก
ไม่ใช่ "เงินเยอะๆ"
แต่คือ "เงินพอใช้ แต่มีเวลาว่างเยอะๆ" ต่างหาก
มันไม่ใช่แค่ "สตางค์" ที่เราต้องการ
แต่เราต้องการ "สไตล์" ในการใช้ชีวิตด้วย

แหล่งที่มา    Facebook : Boy's Thought

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...