วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Tip ดีๆมาฝาก เงินเดือน 15,000 บาท ใช้เงินยังไงถึงจะพอ


แหล่งที่มา   Facebook : settrade

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จากสาวโรงงาน...สู่อาชีพผู้พิพากษา

ยาวหน่อยแต่มีประโยชน์มาก อยากให้ลองอ่านกันเรื่องราวของ เด็กดอยที่เข้ามาเป็นสาวโรงงานในเมืองใหญ่ และกลายมาเป็นผู้พิพากษา ความพยายามและความขยัน ทำให้เธอสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเอง และครอบครัว ใครที่กำลังมองหากำลังใจ หรือแบบอย่างการต่อสู้ แนะนำให้ลองอ่านบทความนี้

ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล

บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบนตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆรอบ

………....เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง

ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น

ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน

ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน

จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที

หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้

ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้งพอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการสมัครเรียนต่อไว้ก่อนต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้

ปีแรก ฉันก็ลงทะเบียนเรียน ตามวันเวลาว่าง เพื่อจะได้ลางานให้น้อยที่สุด บางครั้งฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกัน ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ผลสอบในปีหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ ฉันสอบผ่านเป็นส่วนใหญ่ พอเริ่มปีสอง วิชาเรียนเริ่มยากขึ้น ฉันคิดการการทำงานโรงงานหนักเกินไป และไม่เหมาะแก่การเรียน ฉันตัดสินใจ ลาออกจากงานโรงงาน มา ทำงานร้านเซเว่น ใกล้กับมหาวิทยาลัย ช่วงไหนที่เข้ากะดึกและกะบ่าย ฉันก็จะหาโอกาสไปนั่งฟังคำบรรยาย ขณะนั้นฉันยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ฉันจึงตัดสินใจ เข้าไปฝึกอบรมการพูดที่ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน

ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี

จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เนติฯ อีกหนึ่งปี ก็จบเนติฯ ช่วงที่เรียนรามและเรียนเนติฯ ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน ฉันจึงใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม ในช่วงสองปีที่ราม และหนึ่งปีที่เนติฯ เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวันหลังจากจบปริญญาตรีฉันเคว้งคว้างอยู้สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน

ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะในการเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งดพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจนจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันพลาดไปก็คือ ฉันประมาทไปหน่อย ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบผู้พิพากษา ฉันก็ไม่ค่อยได้เตรียมตัว มัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว และนั่นทำให้ฉันสอบผู้พิพากษาครั้งแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังดีที่ฉันยังสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองได้เร็ว และสามารถแก้ไขได้ จนทำให้สอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิวในการสอบครั้งที่สอง

นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้

ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากิน และมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ตอนนั้นฉันชวนเพื่อนไปเรียนต่อด้วยกัน แต่พ่อแม่ของเพื่อนไม่อนุญาต และซื้อเครื่องเสียงให้เป็นการปลอบใจโดยให้เหตุผลว่า เครื่องเสียงฟังได้ทั้งครอบครัว แต่การเรียนต่อ คนในครอบครัวไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย

ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ

เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน.. สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม

คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง

เรื่อง จากสาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
นางสาวลัดดาวรรณ หลวงอาจ ผู้พิพากษาศาลแพ่ง เป็นวิทยากร
ดำเนินรายการโดย นางสาวศณิฏา จารุภุมมิก นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ

โดย ธรรมมะกับกฎหมาย เมื่อ 17 ธันวาคม 2012 เวลา 10:50 น

แหล่งที่มา   http://pantip.com/topic/30765657

คำคม 30 ก.ค. 2556



แหล่งที่มา   Facebook : Bualuang B Live
------------------------------------------------------------------------------------------------



แหล่งที่มา   Facebook : TSI Thailand Securities Institute
------------------------------------------------------------------------------------------------
ความดีจะอยู่ตลอดไป ถ้าไฝ่ทำดี...
-พระมหาสมปอง-

แหล่งที่มา   Facebook : A Thing Books 
------------------------------------------------------------------------------------------------
เติมความสุข กำลังใจ สู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
--www.facebook.com/ThanavuddhoStory--


แหล่งที่มา   Facebook : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

ตลาด 100 ปี หนองจอก

สมัยนี้จะหาตลาด 100 ปี บรรยากาศดีๆ เดินเที่ยวสักที่ก็ต้องลงทุนขับรถ  ต่อรถตู้ไปถึงตลาดสามชุก ตลาดบ้านใหม่ ตลาดคลองสวน ทั้งยังมีตลาดน้ำแห่งใหม่ๆ เติบโตขึ้นทีละรายสองราย เล่นเอาขาเที่ยวเลือกไม่ถูกว่าจะลองไปที่ไหนก่อนดี

ในกรุงเทพฯ เขตหนองจอก ก็มีตลาดเก่า 100 ปีอยู่ แต่ก่อนเคยคึกคักเพราะทำเลนี้เป็นจุดตัดกับคลองแสนแสบ คลองสิบสอง คลองสิบสาม และคลองลำปลาทิว และเป็นตำนานท่าเรือเมล์ขาวนายเลิศด้วย

ตลาดเก่าแห่งนี้เกิดหลังการสั่งขุดคลองแสนแสบในสมัยรัชกาลที่ 3 เดิม เคยเป็นที่ดินของนายเลิศ เศรษฐบุตร เจ้าของกิจการรถเมล์ขาวและเรือเมล์ขาวในอดีต หากมองจากศาลาท่าน้ำเรือเมล์ขาว (ปัจจุบันปิดบริการไปแล้ว) จะเห็นตรงโรงค้าไม้เก่าและสะพานข้ามคลองแสนแสบ

ข้อมูลจากวารสารคนรักตลาด ระบุว่า ในสมัยนั้น หมากพลูเป็นสินค้าที่วางขายกันมาก ถ้าใครจะนำของมาขายต้องอาศัยเรือไอ เรือเมล์ขาวนายเลิศ เรือเบียงนายห้างจิ๊บ และเรือหางยาวเพื่อไปรับสินค้าจากปากคลองตลาดและสี่แยกมหานาค ภาพตลาดสมัยนั้นมีเรือสินค้าลอยเค็มคลองแสนแสบ

ณ วันนี้ อาจไม่มีภาพนั้นเหลืออยู่แล้ว แต่ยังมีกลิ่นอายวิถีชีวิตชุมชนตลาดหนองจอก อาคารเรือนไม้เก่าๆ ร้านรวงเปิดขายของโบราณที่ยังไม่ถูกต่อเติมขึ้นใหม่

ถ้ามองหาตลาด 100 ปีเชิงอนุรักษ์ ผู้คนไม่พลุกพล่านริมชานกรุง...ก็แนะนำที่นี่

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วันอังคารที่ 30 ก.ค. 56 (440)

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรารู้จักเมืองไทยดีแค่ไหน?

มีสิ่งดีๆ ที่น่าภาคภูมิใจอยู่มากมาย นับแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ร้อยเรียงประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตแบบไทยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม จนกลายเป็นเอกลักษณ์อันดีงามแบบอย่างไทย เราจึงควรศึกษาและอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ไว้ เพื่อทำความรู้จักเมืองไทยให้มากขึ้น และร่วมกันภาคภูมิใจตัวตนความเป็นชาติของไทยเรา
  1. อาหารไทย
  2. ธนบัตรไทย
  3. บัตรประจำตัวประชาชนไทย
  4. ธงไตรรงค์
  5. กองทัพไทย
  6. เพลงชาติไทย
  7. ว่าวไทย
  8. สวัสดี
  9. เมืองหลวงของไทย
  10. รถไฟไทย
  11. มวยไทย
  12. เหรียญทองโอลิมปิกของไทย
  13. สมุนไพรไทย
  14. เปิบ
  15. เครื่องดนตรีไทย
  16. ช้างไทย
  17. โขน
  18. เรือนไทย

อาหารไทย รสชาติความเป็นไทย ดังไกลสู่สากล
รู้หรือไม่? จากการสำรวจ 50 อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ประจำปีพ.ศ. 2554 โดยเว็บไซต์ Cable News Networks (CNN) ยกให้ แกงมัสมั่นไทย เป็นอันดับ 1 ของอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก



ธนบัตรไทย เงินตรากระดาษ บันทึกประวัติศาสตร์ทรงคุณค่า
รู้หรือไม่? ประเทศไทยมีการประกาศใช้เงินกระดาษ หรือ ธนบัตรมาแล้วถึง 16 แบบ โดยมีมูลค่าต่ำสุดคือ 1 อัฐ หรือ 1/64  และมีมูลค่าสูงสุดคือ 500,000 บาท



บัตรประจำตัวประชาชนไทย สิทธิและตัวตนที่คนไทยทุกคนพึงมี
บัตรประจำตัวประชาชนไทย เป็นเอกสารทางราชการที่จะออกให้ผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันตนเพื่อรับสิทธิ์ที่คนไทยทุกคนได้รับ เช่น การติดต่อราชการ การเลือกตั้ง เป็นต้น ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้มีการตราพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2486 เพื่อใช้ในการปกครองและควบคุมราษฏร โดยกำหนดให้บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์จนถึง 70 ปี ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ด้วยบัตรดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นพับขนาดใหญ่จึงไม่สะดวกต่อการพกพา ในปี พ.ศ. 2505 จึงเปลี่ยนมาเป็นบัตรที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปัจจุบัน ก่อนจะปรับปรุงพระราชบัญญัติใหม่ให้อายุของผู้ที่ต้องมีบัตรสอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน คือ 7 ปีบริบูรณ์

* ตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2554


ธงไตรรงค์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ศูนย์รวมใจไทยทั้งผอง
ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการใช้ธงพื้นแดงเพื่อแสดงความเป็นชาติจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปจักรสีขาวบนพื้นธงสีแดง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปช้างเผือกซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง
ธงไตรรงค์ รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ธงไตรรงค์ รัชกาลที่ 1
ธงไตรรงค์ รัชกาลที่ 2

     ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนใช้ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีแถบสีแดงและสีขาว เรียกว่า ธงแดงขาว 5 ริ้ว
ธงแดงขาว 5 ริ้ว

     เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2460 ธงชาติไทยจึงเปลี่ยนมาใช้แถบสามสี สีแดงหมายถึงเลือดรักชาติ สีขาวคือธรรมะศาสนา และสีน้ำเงินคือสีประจำของพระมหากษัตริย์ ธงสามสี หรือ ธงไตรรงค์ จึงกลายเป็นอนุสรณ์การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกบัญญัติให้เป็นธงประจำชาติไทยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460 เป็นต้นมา
ธงสามสี หรือ ธงไตรรงค์
สรุปภาพการเปลี่ยนแปลงธงชาติไทยยุคต่างๆ 

ภาพจาก    เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย (ธงไตรรงค์)(Thai national flag museum)


กองทัพไทย รั้วของชาติ ผู้ปกป้องเอกราชของแผ่นดิน
รู้หรือไม่? วันกองทัพไทย ตรงกับวันที่ 18 มกราคมของทุกปี เป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จอมทัพไทยแห่งกรุงศรีอยุธยากระทำยุทธหัตถี หรือการรบด้วยช้างจนมีชัยชนะเหนือสมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งเมืองพม่า (เทียบเท่ากับกษัตริย์) ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ยาวนานกว่า 150 ปี


เพลงชาติไทย บทเพลงแห่งความภาคภูมิใจ จากสยามสู่ประเทศไทย
รู้หรือไม่? การบรรเลงเพลงชาติและเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาในเวลา 8 โมงเช้า และเชิญธงชาติลงจากยอดเสาในเวลา 6 โมงเย็น เป็นหนึ่งในการปลูกฝังให้คนไทยรักชาติ โดยกำหนดให้เป็นเวลาเดียวกันกับการบรรเลงเพลงชาติ จากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยตามกำหนดเวลาทำงานของราชการ


ว่าวไทย สมรภูมิน่านฟ้า จากสงครามสู่กีฬา
รู้หรือไม่? การละเล่นว่ายนี้มีปรากฎมาตั้งแต่สมัยเมืองสุโขทัย ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าวยังถูกใช้เป็นกลศึกในรัชสมัยของพระเพทราชา ได้มีการใช้หม้อดินปีนผูกติดกับว่าวจุฬา ซึ่งมีขนาดใหญ่และเป็นรูปทรงของว่าวที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ชักลอยข้ามกำแพงเมืองนครราชสีมาซึ่งเป็นกบฎ ก่อนจุดไฟให้ระเบิดเผาไหม้บ้านเมือง สร้างความโกลาหลจนกระทั่งสามารถปราบกบฎได้สำเร็จ
     การละเล่นว่าวไทยเป็นที่นิยมสูงสุดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยจัดให้มีการชักว่าวต่อสู้แข่งขันกัน ซึ่งมีประเทศไทยเพียงชาติเดียวเท่านั้นที่จัดให้มีการแข่งขันประเภทนี้

สวัสดี  คำทักทายแบบไทย เอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย
รู้หรือไม่? การทักทายหรืออำลาด้วยคำว่าสวัสดี มักกระทำคู่กับการยกมือไหว้ฝ่ายตรงข้าม หากเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่าจะต้องยกมือไหว้ให้นิ้ว หัวแม่มือทั้งสองข้างอยู่บนดั้งจมูกพร้อมก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม แต่หากเป็นผู้ที่ม่อายุเท่ากันจะต้องยกมือไหว้ให้นิ้วชี้ทั้งสองข้างอยู่บนดั้งจมูกโดยไม่ต้องก้มศีรษะ


เมืองหลวงของไท จากบางกอกสู่กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงประเทศไทยได้ถูกบันทึกลงในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์บุ๊คให้เป็นเมืองหลวงที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก  สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 231 ปี
     สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร  หรือ บางกอกให้เป็นราชธานีแห่งใหม่แทนกรุงศรีอยุธยา  จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จจพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพื้นที่ด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่เรียกว่า กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธา ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ก่อนจะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็น กรุงเทพมหานคร เช่นในปัจจุบัน และได้รับคำขวัญว่า "กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย" เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รถไฟไทย เส้นทางสายประวัติศาสตร์ เชื่อมไทยทั้งชาติเข้าด้วยกัน
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงสถาปนากิจการรถไฟไทย และทรงเปิดการเดินรถไฟสายแรก กรุงเทพ-อยุธยา ระยะทางกว่า 71 กิโลเมตรขึ้นมาเมื่อ 117 ปีที่แล้ว นับแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมรถไฟหลวง และทรงแต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัคโยธินเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงเป็นพระองค์แรก
     ขบวนรถไฟที่ใช้ในสมัยนั้น คือ รถจักรไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ทำให้เกิดประกายไฟเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน จึงทรงสั่งซื้อรถจักรดีเซลซึ่งใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเข้ามาดำเนินกิจการแทนรถจักรไอน้ำเติม จอมพล ป.พิบูลสงครามตัดสินใจปรับปรุงการบริหารกิจการรถไฟเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถหารายได้จากการประกอบธุรกิจการเดินรถไฟมาบำรุงและซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และเปลี่ยนฐานะจากกรมรถไฟหลวงเป็นการรถไฟแห่งประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน

มวยไทย ศิลปะการต่อสู้จากภูมิปัญญาไทย
รู้หรือไม่? มวยไทยในอดีตนิยมชกด้วยมือเปล่าหรือพันด้วยด้ายดิบ เรียกว่า คาดเชือก ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) การแข่งขันมวยไทยทำให้ผู้เข้าชกถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้การแข่งขันมวยไทยต้องสวมหมัดนวมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เหรียญทองโอลิมปิกของไทย ชัยชนะและความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติ
โอลิมปิก คือ การแข่งขันกีฬาของมวลมนุษยชาติ นักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลกต่างมุ่งมาเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นทุก 4 ปี ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ เหรียญทองแห่งชัยชนะ
     ธงโอลิมปิกมี เครื่องหมาย 5 ห่วง แทน 5 ทวีปทั่วโลก คือ ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีอเมริกา ทวีปแอฟริกา และทวีปออสเตรเลีย กับ 6 สี อันได้แก่ สีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง และสีขาว แทนความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะไม่มีธงชาติใดที่มีสีอื่นนอกเหนือไปจากนี้

สมุนไพรไทย หมอยาประจำบ้าน จากพืชพรรณธรรมชาติรอบครัว
รู้หรือไม่? ในปัจจุบันมีการประกาศให้ตำรับยาแผนโบราณไทยเป็นตำราแพทย์แผนโบราณของชาติ เพื่อคุ้มครองภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่และเป็นที่ยอมรับจำนวน 3 เล่ม คือ คัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ (ฉบับใบลาน) ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงรัชกาลที่ 5 เล่มที่ 1 และตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงรัชกาลที่ 5 เล่มที่ 2


เปิบ วิธีการกินแบบดั้งเดิมของไทยลิ้มรสชาติแบบไทยๆ ด้วยสองมือ
รู้หรือไม่? เปิบ หมายถึง การใช้ปลายนิ้วขยุ้มข้าวใส่ปากตนเอง  ในอดีตเราสามารถพบวัฒนธรรมการเปิบได้ในหัวทุกภาคของประเทศไทย วัฒนธรรมการเปิบข้าวปฏิบัติกันมายาวนานจวบจนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ประเทศไทยมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวต่างชาติอย่างมากมาย ส่งผลให้วัฒนธรรมการกินข้าวด้วยช้อนส้อมเข้ามาแทนที่การเปิบและนิยมกินข้าวบนโต๊ะมากกว่านั่งล้อมวงที่พื้นเหมือนเช่นในอดีต  ปัจจุบันเรายังสามารถพบการกินข้าวด้วยมือได้จากการเปิบข้าวเหนียว ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เครื่องดนตรีไทย ดีด สี ตี เป่า ขับกล่อมโลกนี้ด้วยเสียงเพลง
รู้หรือไม่? ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี (เมืองหลวง) มีการเข้ามาของชาวต่างชาติมากมาย เกิดการแลกเปลี่ยนเครื่องดนตรีและการผสมผสานของเครื่องดนตรีจากหลากหลายชาติจนกลายมาเป็นวงดนตรี 3 ประเภท ที่สืบทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาคือวงปี่พาทย์ ประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย โทน (ทับ) และฉิ่ง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เหล่าขุนนางและข้าราชการต่างต้องมีวงดนตรีไทยประจำบ้านเพื่อบ่งบอกฐานะ ก่อนจะมีการจัดตั้งกรมมหรสพขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ปัจจุบันการละเล่นดนตรีไทยถูกบรรจุเข้าไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และจะพบการละเล่นดนตรีไทยได้ในงานพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น

ช้างไทย สัตว์ประจำชาติไทย เพื่อนรักตัวใหญ่ของเด็กๆ
รู้หรือไม่? ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไทยมาแต่อดีต นับแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ช้างไทยอยู่ในฐานะของขุนพลรบ และเป็นสัตว์พาหนะของพระมหากษัตริย์ยามออกรบกับศัตรู เราเรียกการรบบนหลังช้างว่า ยุทธหัตถี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำช้างที่มีลักษณะเป็นมงคลคือมีสีผิว นัยน์ตา และเล็บเป็นสีขาวมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนราชวงศ์จักรี ด้วยเหตุนี้ ช้างเผือกจึงถูกเลือกให้เป็นสัตว์ประจำชาติไทย และประกาศให้วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันช้างไทย

โขน  ศิลปะการแสดงประจำชาติ เอกลักษณ์งดงามแบบอย่างไทย
รู้หรือไม่? โขนจัดเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งคล้ายละครรำ โดยผู้เล่นจะสวมหัวโขน หรือ เครื่องสวมหัวเพื่อรับบทบาทของตัวละครนั้นๆ ประกอบการแสดงดนตรีตามแบบละคร การแสดงโขนปรากฎอย่างชัดเจนครั้งแรกในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และปรับปรุงการแสดงตามสำนวนการประพันธ์บทละครเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) และเพิ่มความอลังการของการแสดงโขนด้วยฉากประกอบการแสดง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมอย่างมีมนต์ขลังจวบจนปัจจุบัน

เรือนไทย ความงดงามแห่งสถาปัตยกรรมไทย
รู้หรือไม่? การสร้างเรือนไทยในอดีตไม่ใช้ "ตะปู" เลยสักตัวเดียว เพราะคนไทยในสมัยนั้นโยกย้ายถิ่นฐานกันเป็นปกติ เมื่อใดที่ต้องการย้ายเรือนก็เพียงถอด "เดือย" หรือแท่งไม้ทรงกระบอกขนาดเล็กที่สอดไว้ตามรูที่ยึดแต่ละชิ้นส่วนของเรือนไว้ก็สามารถรื้อเรือนเป็นชิ้นๆ เรียงซ้อนกันบนแพ ล่องไปตามแม่น้ำเพื่อหาที่อยู่ใหม่ได้ทันที

แหล่งที่มา   แผ่นพับจากมูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย ก.ค. 2556

อาคารเจดีย์พุทธคยาจำลอง

ภายในวัดภาษี บริเวณ ซ.สุขุมวิท 63 หรือ ซ.เอกมัย 23 นอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่พร้อมมีศาลบุญเพ็ง  หีบเหล็ก ไว้ให้กราบไหว้ขอพรกันแล้ว

ยังมีอาคาร "เจดีย์พุทธคยาจำลอง" ตั้งตระหง่านโดดเด่น ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนองค์เจดีย์เป็นทรงกรวยระฆังคว่ำ สถาปัตยกรรมแบบอินเดียที่หาดูชมได้ไม่ง่ายในกรุงเทพฯ

ภายในอาคารเจดีย์พุทธคยาจำลองใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่เรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์

ส่วนด้านบนสุดเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ หากต้องการขึ้นไปสักการะด้านบนนี้ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เปิดให้  หรือจะสักการะพระบรมสารีริกธาตุด้านนอกหน้าอาคารก็ได้  ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา

นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปและรูปเคารพอื่นๆ อาทิ พระพิฆเนต พระแม่ธรณีบีบมวยผม ให้ได้กราบไหว้ขอพรกันอีกด้วย

บริเวณใกล้ๆ กัน ภายในศาลาศูนย์สัพพมงคลที่อยู่ใกล้กับรูปเคารพพระพิฆเนศ ยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ราชินีลูกทุ่งนักร้องชื่อดังที่ล่วงลับไปแล้ว

โครงสร้างของหุ่นทำจากไฟเบอร์กลาส หล่อขี้ผึ้งเป็นโครงไว้ด้านในอยู่ในอิริยาบถท่ายืนสวมชุดเดรสกระโปรงบานยาวสีม่วง

สวมเครื่องประดับเพชร มือขวาถือไมโครโฟนราวกับมีชีวิต ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

แหล่งที่มา    นสพ. M2F วัจันทร์ที่ 29 ก.ค. 56 (440)

Google Logo : 29 ก.ค. 2556 วันภาษาไทยแห่งชาติ

วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติเพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธาน และทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ทรงเปิดอภิปรายในหัวข้อ "ปัญหาการใช้คำไทย" โดยพระองค์ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปราย ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยรวมถึงความห่วงใยในภาษาไทย ซึ่งเป็นที่ประทับใจกับผู้ร่วมเข้าประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำคม 28 ก.ค. 2556




โลกใบนี้
คือบ้านของทุกชีวิต
เป็นชีวิตที่แตกต่างและหลากหลาย
แต่อย่าปล่อยให้ความแตกต่างใดๆ
มาขวางกั้นมิตรภาพที่ดีต่อกันเลย

แหล่งที่มา   Facebook : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ 
------------------------------------------------------------------------------



ท้อเป็นถ่าน l ผ่านเป็นเพชร
"อุปสรรค" ที่ผ่านเข้ามา ให้ถือเป็น "บททดสอบ"
ถ้า "ความสุข" คือ "คำตอบ" ยิ่งทดสอบ คำตอบยิ่ง "ชัดเจน"







ทุกข์สุขไม่ได้อยู่ที่ปากใคร
แต่อยู่ที่ใจเรานั่นเอง..







ให้เอานิสัยชอบติผู้อื่น มาติตัวเอง
ให้เอานิสัยชอบอภัยตัวเอง มาอภัยผู้อื่น




คนเราแม้จะมีแรงกายมาก แต่ขาดเสียซึ่งแรงใจทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ ในทางกลับกัน แม้แรงกายมีไม่เท่าไรหรืออาจจะพิกลพิการด้วยซ้ำ แต่มีแรงใจอยู่ย่อมสามารถฝ่าฟันอุปสรรคใดๆ ได้ทั้งสิ้น

บางครั้งสำหรับบางคนเขาจำต้องอาศัยมิตรที่มีน้ำใจช่วยหนุนใจให้มีกำลังที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้ามิตรผู้นั้นรู้จักแนะนำด้วยแล้ว กำลังใจย่อมจะช่วยหนุนส่งให้เกิดพลังที่จะสรรสร้างสิ่งต่างๆ ผู้ใดมีมิตรที่เป็นคนดี เขาย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคหรือมีบุญมาก



จะ " สุข " หรือจะ " ทุกข์ "
จะ " ยึดมั่น " หรือจะ " ปล่อยวาง "
ก็ตัวเราเท่านั้น ที่จะเป็นคน "เลือก"



แหล่งที่มา   Facebook : A Thing Books
------------------------------------------------------------------------------


แหล่งที่มา   Facebook : TSI Thailand Securities Institute
------------------------------------------------------------------------------
การหยุดอยู่กับที่ไม่สร้างประโยชน์ เท่ากับการได้เรียนรู้ และลงมือทำ


แหล่งที่มา   Facebook : Bualuang B Live

สัญญานมือ,,,ปั่นจักรยาน

หลายคนเริ่มหันมาปั่นจักรยานเพื่อไปทำงาน ลองมาศึกษาสัญญานมือเพื่อความปลอดภัย


แหล่งที่มา   Facebook : ME by TMB

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อย่ายึดติดที่ตัวบุคคล แต่จงยึดถือในหลักการ

ในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่แสวงหาต้นแบบ หรือแบบอย่างให้เดินตาม กันมากมายขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จาก หนังสือ บทความ และตามรายการโทรทัศน์ต่างๆ ที่มักจะเอาผู้ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพของตนมาออกรายการ หรือมานำเสนอ เพื่อให้เราเห็นว่า เขาเหล่านั้นเดินมา ณ จุดที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ซึ่งเมื่อเราได้ฟัง ได้อ่านแล้ว ก็เกิดแรงบันดาลใจ อยากเดินตาม อยากประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราพบว่า บุคคลที่เราศรัทธา หรือยกย่องว่าเป็นต้นแบบ หลายๆ คนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เราวาดภาพหรือจินตนาการไว้ในหัว ยิ่งกว่านั้น เราอาจเห็นเขาทำเรื่องที่ผิดพลาดจนอาจเรียกได้ว่า ไม่น่าให้อภัย ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะทำให้ศรัทธา แรงบันดาลใจ ที่อยู่ในตัวเรา มันสั่นคลอน

ในด้านการลงทุนก็เช่นกัน ทุกวันนี้ เราเห็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนมากหน้าหลายตา ออกมาให้แนวคิด เปิดตัวหนังสือ ออกสื่อ เป็นวิทยากรบรรยายตามสถานที่ต่างๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า หลักคิดใดถูกต้อง บุคคลคนใดที่น่าสนใจ น่าติดตาม? แน่นอนว่า จะบอกว่าคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จด้านการลงทุนได้ ต้องมองในรูปของผลตอบแทนที่เขาทำได้จากการลงทุนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่ปัญหาก็คือ น้อยคนเหลือเกิน ที่จะเปิดพอร์ตโฟลิโอด้านการลงทุน หรือกางสมุดบัญชีออมทรัพย์บอกตัวเลขในบัญชีให้เราเห็น เพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนบุคคล อีกอย่าง บุญเก่าของนักลงทุนแต่ละคนก็ยิ่งไม่เท่ากัน ทั้งเรื่องระยะเวลา และเรื่องต้นทุน

เรื่องระยะเวลา นักลงทุนบางคนใช้เวลาลงทุนมายาวนานมากกว่า ๑๐ ปี ถ้าหลักการลงทุนของเขาถูกต้อง ผลตอบแทนก็ย่อมสูงกว่านักลงทุนคนอื่นเป็นธรรมดา เรื่องต้นทุน หากเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนที่มากกว่านักลงทุนคนอื่น ก็ได้เปรียบกว่าเห็นๆ ดังนั้น หากกลับไปมองที่ตัวเลขจำนวนเงินที่เขาทำได้ ณ วันนี้ ก็คงตอบเราไม่ได้หมดว่าใครเก่งกว่าใคร และที่สำคัญ กิเลส ของมนุษย์ นั้นไม่มีที่สิ้นสุด มันจึงขึ้นอยู่กับคำว่า “พอ” ว่าแต่ละคนอยู่ในระดับใดมากกว่า

แต่อย่าลืมว่า มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองสังเกตที่ใจตัวเองว่า วันๆเราคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้กี่เรื่อง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้กี่ครั้ง ดังนั้น คนคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ อาจจะมีโอกาสเปลี่ยนไปเมื่อวันข้างหน้ามาถึง นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับนะ  ในทุกวงการ ทุกวิชาชีพ มีทั้งคนดี คนไม่ดี มีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลว ดังนั้น การไปยึดติด หรือวางศรัทธาไว้ที่ตัวบุคคล ก็ย่อมมีโอกาสหวั่นไหว เมื่อคนๆ นั้นเปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิม

แล้วเราควรวางศรัทธาไว้ที่ใด?
เมื่อเราได้ศึกษาแนวคิด และสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ อาจมีความแตกต่างกันโดยบริบท แต่คุณจะเห็นว่า มันมีวิธี หรือแนวคิดที่คล้ายคลึงกันอยู่ และไม่น่าเชื่อว่า ไม่ว่าจะอยู่สาขาวิชาชีพใด หลักคิดในภาพใหญ่เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จกลับคล้ายคลึงกันในหลายๆ ส่วนทีเดียว ซึ่งว่าโดยย่อ ก็คือ อิทธิบาท ๔ อันได้แก่
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ดังนั้น ถ้าถามวันนี้ ว่ายึดอะไรในการทำงาน ยึดอะไรในดำเนินชีวิต ไม่ได้ยึดติดกับบุคคลที่ประความสำเร็จเหล่านั้น แต่ยึดหลักการที่ทำให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักการใหญ่ๆ นั้นก็คือ อิทธิบาท ๔ แต่ตามมาด้วยข้อคิด และหลักการในรายละเอียดอีกมากมายที่แต่คนต้องไปเรียนรู้ในสาขาวิชาที่คุณสนใจ

ในทางการเงิน การลงทุน นักลงทุนที่สนใจการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน ก็ต้องไปดูวิธีวิเคราะห์งบการเงิน หมั่นตรวจสอบผลการดำเนินงาน ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทโดยละเอียด ไม่ใช่ เดินตามเซียน โดยเห็นว่า เขาเลือกหุ้นตัวใด ก็ไปเลือกหุ้นตัวนั้น โดยเชื่อว่า หรือโดยศรัทธาว่า เขาเก่ง เขามีความเชี่ยวชาญ เขาน่าจะเลือกและวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว อย่างที่บอก เซียนที่คุณเห็น ก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กับเรา ที่ผ่านมาเขาอาจไม่เคยผิดให้เราเห็น แต่ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะถูกตลอดไป

ดังนั้น เราจะอ่านหนังสือ อ่านบทความ ไปงานสัมมนา หาทางสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุน ไม่ว่าแบบใด แต่อย่าลืมสิ่งที่ควรเอากลับมา คือ หลักคิด และแนวทางของการเดินที่ถูกต้อง เพราะหลักการที่ถูกต้องนั้นไม่เคยสั่นคลอน และอยู่ได้ไปอีกยาวนาน ตราบเท่าที่มีผู้เดินบนทาง และหลักการเส้นทางนั้น

แหล่งที่มา   เว็บไซต์นิตยสารธรรมะออนไลน์ รายปักษ์

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...