วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ความสุขเริ่มที่ใจ

หลายคนทำอะไรต่ออะไรมากมายเพราะอยากได้ความสุข
แต่ก็ไม่พบความสุขเสียที ทั้งนี้ก็เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เขามองข้ามไป
นั่นคือ การดูแลรักษาใจของตน ซึ่งต้องอาศัยการหมั่นมอง
หมั่นสังเกตจิตใจของตนอยู่เสมอ

เป็นเพราะละเลยจิตใจของตน ผู้คนจึงนอกจากหาความสุข
ไม่พบแล้ว ยังรู้สึกเหินห่างหมางเมินกับใจตน การอยู่คนเดียว
จึงเป็นความทุกข์ทรมาน เกิดความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยว
ทั้ง ๆ ที่มิตรที่ดีที่สุดนั้นพบได้ที่ใจตนเช่นกัน

เมื่อใดก็ตามที่พบว่าความสุขหาได้ที่ใจ และมิตรที่ประเสริฐที่สุด
ก็คือใจของตน เมื่อนั้นเราก็มีความสุขได้ในทุกหนแห่ง เจออะไร
ก็ไม่ทุกข์ มีเท่าไรก็ไม่รู้สึกยากไร้ อยู่คนเดียวก็ไม่รู้สึกอ้างว้าง
ใครจะมองเราอย่างไรใจก็ไม่หวั่นไหว สูญเสียเท่าใดใจก็ไม่เสียศูนย์

ภาวะเช่นนี้ย่อมประเสริฐกว่าชีวิตที่ร่ำรวยมั่งคั่ง มียศศักดิ์อัครฐาน
ชื่อเสียงขจรไกล แต่ข้างในกลับไร้สุข ไม่รู้สึกพอในสิ่งที่ได้มา
หวั่นไหวเพราะกลัวสูญเสีย และหงอยเหงาอ้างว้างเพราะไร้เพื่อนแท้

น้อยคนตระหนักว่า มีความสุขอีกชนิดหนึ่งที่ประเสริฐกว่า
ขณะที่ความสุขประเภทแรกต้องอาศัยการเสพ
ความสุขประเภทหลังเกิดจากการกระทำ เช่น
การทำความดี เอื้อเฟื้อผู้อื่น หรือเกื้อกูลส่วนรวม
รวมทั้งการทำสิ่งยากให้สำเร็จด้วยความเพียรของตน
ความสุขประเภทนี้เป็นความสุขทางใจ ทำให้จิตใจเกิดปีติ
แช่มชื่นเบิกบานหรือเกิดความภาคภูมิใจ ระลึกนึกถึงเมื่อใด
ก็มีความสุขเมื่อนั้น แม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีก็ตาม

ความปีติ แช่มชื่นเบิกบาน หรือความภาคภูมิใจ
แม้ไม่หวือหวาเท่ากับความสนุกตื่นเต้นจากการเสพ
แต่ประณีต ลุ่มลึกและช่วยเติมเต็มจิตใจ ทำให้สัมผัสได้
ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต อีกทั้งยังเป็นสะพาน
ไปสู่ความสงบเย็นในจิตใจ อันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
ที่ผู้คนโหยหาในส่วนลึกของจิตใจ

การได้ครอบครองโภคทรัพย์แม้ให้ความสุขใจแก่เราอย่างรวดเร็ว
แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน อีกทั้งยังตามมาด้วยความทุกข์
เพราะมันกลายเป็นภาระที่ต้องแบก สิ่งที่ยั่งยืนคงทนกว่าคือ
ความสุขจากการทำความดี รวมทั้งความสงบที่เกิดจากการฝึกจิต
ความสุขดังกล่าวไม่เพียงหล่อเลี้ยงใจให้เบิกบาน
มีพลังในการทำงาน ยังช่วยให้เราเผชิญกับ
ความผันผวนปรวนแปรในชีวิตโดยไม่จมดิ่งในทุกข์

นอกจากเติมอาหารให้กาย หาทรัพย์มาใส่บ้านแล้ว
การเติมสุขให้ใจด้วยการทำความดี ช่วยให้ผู้อื่น
มีความสุขและฝึกจิตอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่มิอาจละเลยได้

หากหวังความสุขจากทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ
ความสำเร็จ ก็ไม่มีวันพบสุขอย่างแท้จริง แม้แวดล้อม
ด้วยบริษัทบริวารที่สนองและปรนเปรอทุกสิ่งสรรพ
อยู่ในคฤหาสน์อันโอฬาร หรือสถานที่อันงามวิจิตร
ก็ยากที่จะพึงพอใจในชีวิตได้ เพราะสุขที่แท้จริงนั้น
ไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในใจเราต่างหาก

ใจที่มองเป็น เห็นถูก มีเมตตา เข้าใจความจริงของชีวิต
และรู้จักปล่อยวาง คือใจที่เปี่ยมสุข สุขจึงมิใช่สิ่งที่ต้อง
ดิ้นรนแสวงหาจากที่ใด หากวางใจให้เป็น ก็พบสุขได้ทันที
ดังนั้นแทนที่จะมองออกไปนอกตัว ควรหันกลับมาที่ใจของตน
ปรับจิตรักษาใจให้ดี ก็จะพบความสุข ดังพระพุทธองค์
ได้ตรัสว่า “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้วนำสุขมาให้”

พระไพศาล วิสาโล

ขอเชิญแวะชม website ความสุขประเทศไทย
www.happinessisthailand.com
แพลทฟอร์มความสุขของทุกคน ความสุขเริ่มได้ที่ตัวเอง

แหล่งที่มา  ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล 27 ธันวาคม เวลา 21:44 น. ·

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

MRI ตรวจอะไรได้บ้าง

ศีรษะ
หาความผิดปกติของสมองและเส้นประสาทในสมอง

หน้าอก
หาความผิดปกติบริเวณเต้านมและหัวใจ

หน้าท้องและกระดูกเชิงกราน
หาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในช่องท้อง
มดลูกและรังไข้ในเพศหญิง ต่อมลูกหมากในเพศชาย

กระดูกและข้อต่อ
หาความผิดปกติของกระดูก และข้อต่อต่างๆ
เช่น ข้ออักเสบ เส้นเอ็นฉีดขาด เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ

ไขสันหลัง
เช็คหมอนรองกระดูก เส้นปราะสาทไขสันหลัง และกระดูกสันหลัง

เส้นเลือด 
ตรวจดูเส้นเลือด และการไหวเวียนของเลือด

ที่มา  :  รศ.นพ.ชวลิต  เลิศบุษยานุกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูก (antihistamine)

ยาแก้แพ้ หรือยาลดน้ำมูก 
ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท 
ตามลักษณะการพัฒนาของยา

ยาแก้แพ้รุ่นที่หนึ่ง
ใช้ลดน้ำมูกได้ดี แต่มีอาการข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น
  • เกิดอาการง่วงซึม
  • คอแห้ง
  • เสมหะเหนียวข้น
  • ปากแห้ง
  • ไอเอาเสมหะออกได้ยาก
  • ท้องผูก
  • ปัสสาวะไม่ออก (ถ้าใช้ยาขนาสูงในเด็กเล็ก)
ควรพิจารณาใช้ด้วยความระมัดระวัง
เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
จากการง่วงนอนขณะขับรถ
หรือผลัดตก หกล้มได้

ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง
มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงเหมาะกับผู้ที่มีอาการอักเสบ
จากภูมิแพ้จมูก ภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา และลมพิษ เป็นต้น
มีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาแก้แพ้รุ่นที่หนึ่ง
เช่น มีอาการง่วงน้อยกว่า

ที่มา  :  ผศ.นพ.เทอดพงศ์  เต็มภาคย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ทำอย่างไรเมื่อลูกชัก

  • เมื่อเด็กเกิดอาการชัก ผู้ช่วยเหลือต้องรวบรวมสติ
    อย่าให้ตกใจจนเกินไป เรียกขอความช่วยเหลือ
    เพิ่มเติมจากคนอื่นและเริ่มปฐมพยาบาล
  • ระวังเด็กกัดลิ้นตนเอง ควรใช้ผ้าหนาๆ
    (เช่น ผ้าขนหนู) ใส่เข้าไปในช่องปากของเด็ก
    เพื่อป้องกันการกัดลิ้น ไม่ควรใช้วัตถุแข็ง
    หรือนิ้วมือของผู้ช่วยเหลือใส่เข้าไป
  • ระวังเด็กตกจากที่สูง (เช่น เตียง)
    ให้นำเด็กนอนราบลงกับพื้น
    เพื่อเริ่มให้ความช่วยเหลือ
  • เด็กมักหยุดชักได้เองภายในไม่เกิน 2-3 นาที
    ส่วนใหญ่จะสามารถหายใจได้ และหัวใจเต้นเป็นปกติ
  • เมื่อเด็กหยุดชัก และรู้สึกตัวดี อาจให้ยาลดไข้ได้
  • ทำให้ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยการเช็ดตัว
  • ส่วนใหญ่เด็กจะหยุดชักได้เอง
หากไม่หยุดชักหลังการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ต้องรีบไปโรงพยาบาล

ที่มา  :  รศ.นพ.ชิษณุ  พันธุ์เจริญ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยเบาหวาน

  • สัปปะรด
  • องุ่น
  • แตงโม
  • ทุเรียน
  • กล้วย
  • ลำไย
  • มะม่วง 
  • ขนุน
  • ส้ม
  • ละมุด 
  • น้อยหน่า
  • ลิ้นจี่
  • รวมถึงผลไม้รสหวานอื่นๆ
ที่มา  :  อ.นพ.วิทวัส  แนววงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ปัจจัยเสี่ยงโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

  • น้ำหนักตัวมาก อ้วนลงพุง เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
  • ใช้งานผิดท่า เช่น ก้มยกของโดยไม่ระวัง
  • ยกของหนัก
  • สูบบุหรี่จัด
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • เสื่อมตามวัยหรือพันธุกรรม
หากมีอาการปวดหลังรุนแรง และปวดขาร่วมด้วย
อาจเป็นอาการทับเส้นประสาท ควรพบแพทย์
เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกวิธี

ที่มา  :  อ.นพ.วีรศักดิ์  สิงหถนัดกิจ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

นั่งเล่นมือถือระหว่างขับถ่ายเสี่ยงโรค

ท้องผูก
ทำให้เสียสมาธิในการขับถ่าย
เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการขับถ่าย
นานกว่าปกติ หรือหายปวดถ่ายไปเลย

ริดสีดวงทวาร
การนั่งนาน และการเบ่งถ่ายทำให้เลือด
คั่งบริเวณรูทวารหนัก เป็นต้นเหตุ
ก่อโรคริดสีดวงทวารได้

ท้องร่วง
มือถือที่นำเข้าไปเป็นพาหะนำเชื้อโรคสู่ร่างกาย

หน้ามือ เหน็บชา
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

การนั่งในห้องน้ำไม่ควรนั่งเกิน 10-15 นาที
และควรตั้งใจขับถ่ายให้เสร็จเพียงอย่างเดียว

ที่มา  :  อ.นพ.ปิยะพันธ์  พฤกษพานิช

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ใช้ไม้แคะหูทำให้ขี้หูอุดตันมากขึ้นจริงหรือ?

ขี้หู มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ มีสารต่อต้านเชื้อโรค
และไม่ละลายน้ำ ช่วยปกป้องผิวหนังของรูหู และ
ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในรูหู โดยปกติ
ขี้หูจะมีการเคลื่อนที่จากเยื่อแก้วหูออกไปภายนอกได้เอง
โดยไม่จำเป็นต้องแคะออก การใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดรูหู 
จึงเป็นสาเหตุของขี้หูอุดตันที่พบได้บ่อย
  • ขี้หูถูกดันเข้าไปด้านนลึกขึ้น
  • หากปั่นหูแรงอาจทำให้หูชั้นนอกถลอก
    อักเสบ และติดเชื้อได้
  • ทำให้เยื่อแก้วหูบาดเจ็บ หรือทะลุได้
หากสงสัยว่ามีขี้หูอุดตัน ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โดยแพทย์จะใช้เครื่องส่องหูตรวจหูชั้นนอกตรวจเช็ค


ที่มา  :  อ.พญ.ภาณินี  จารุศรีพันธุ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งปอดรู้ไว้รักษาได้

สูบบุหรี่
คนสูบบุหรี่ เสี่ยงกว่าคนไม่สูบ 10-30 เท่า

อายุ
อายุมากขึ้นความเสี่ยงสูงขึ้น

พันธุกรรม
หากคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด
จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น แม้ไม่ได้สูบบุหรี

สารพิษในสิ่งแวดล้อม
ควันบุหรี่ กัมมันตภาพรังสี ฝุ่น ไอระเหย
และโลหะสารปนเปื้อนจากการกิน หรือ
ไอระเหยจากโลหะต่างๆ

การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด
  • การตรวจคัดกรองที่ใช้อยู่คือ การตรวจเอกซเรย์
    คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ
    (low-dose helical computerized tomography)
    สามารถลดอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดได้
  • ผู้ที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอด คือ
    ผู้ทีมีอายุ 55-74 ปีที่มีประวัติสูบบุหรี่
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอดทุกปี 
เพื่อลดอัตราการเสียชีวิ

ที่มา  :  พญ.ปิยะดา  สิทธิเดชไพบูลย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

นั่งท่าไหนห่างไกลโรคกระดูก

  • นั่งพิงพนัก โดยเฉพาะเก้าอี้
    ที่มีรูปทรงตามกระดูกสันหลัง
  • นิ่งให้ชิด หลังสัมผัสพนัก
  • คอตั้งตรง ทิ้งไหล่ให้สบาย
  • งอศอกประมาณ 75-90 องศา
    ไม่เหยียดตรงเกินไป
  • เข่างอ 90-110 องศา
  • เท้าสัมผัสพื้นทั้งฝ่าเท้า
    ถ้าเท้าลอยควรหาที่รองเท้าขณะนั่งให้พกอดี
  • ควรลุกขึ้นยืดหรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระดูก
    และร่างหาย ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง หรืออย่างน้อย ทุก 2 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการนั่งไม่เต็มเก้าอี้ และการนั่งไขว่ห้าง
    เพราะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพกระดูก
การนั่งให้ถูกท่าช่วยลดการปวดคอและหลัง
และส่งผลให้ร่างกายหายใจได้ดี รวมถึง
ลดความเสี่ยงจากโรคข้ออักเสบต่างๆ

ที่มา  :  รศ.นพ.วรวรรธน์  ลิ้มทองกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

โรคมะเร็งในเด็ก

ปัจจัยเสี่ยงเหตุให้เกิด 
"โรคมะเร็งในเด็ก" 
ที่แม่ตั้งครรภ์พึงระวัง

ความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น
  1. เด็กดาวน์ซินโดรม มีโอกาสเกิดเป็น
    โรคมะเร็งเลือดขาวสูงกว่าเด็กปกติ 10-20 เท่า
  2. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น
    เชื้อ Epstein-Barr Virus (EBV) และ
    การติดเชื้อ Human Immunodeficiency Virus (HIV)
    ก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสูงขึ้น
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น
  1. แม่ที่ได้รับรังสีเอกซเรย์ หรือสัมผัสยาฆ่าแมลง
    ระหว่างตั้งครรภ์ ลูกมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น
  2. แม่ที่ได้รับสารไนไตรท์จากเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น
    ไส้กรอก แหนม ระหว่างตั้งครรภ์ ลูกมีโอกาสเกิด
    โรคมะเร็งสมองสูงกว่าปกติ
หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้
เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งของลูกน้อย

ที่มา  :  รศ.พญ.ดารินทร์  ซอโสตถิกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ป้องกัน "ภาวะซีด" ได้อย่างไรบ้าง

  1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่
    ข้าว เนื้อสัตว์ ไข่แดง ผัก และผลไม้
    เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
  2. หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า
    เพื่อป้องกันการติดเชื้อพญาธิปากขอ
  3. เด็กผู้หญิงที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ
    ควรรับประทานธาตุเหล็กเสริม
  4. หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเลือด
    ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
ที่มา  :  รศ.พญ.ดารินทร์  ซอโสตถิกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เลือกกินเนื้อสัตว์อย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง

ไข่
บริโภคได้ทั้งไข่ขาวและไข่แดง วันละ 1-2 ฟอง

เนิ้อขาว
เช่น ปลา กุ้ง ปลาหมึก เนื้อไก่ บริโภคได้ปลอดภัย

เนื้อแดง
เช่น เนื้อวัว หมู แพะ แกะ แนะนำให้กินไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ หรือวันละ 5-6 ช้อนโต๊ะ

เนื้อสัตว์
ไม่แนะนำให้กินแบบปิ้ง ย่าง

เนื้อแปรรูป
เช่น ไส้กรอก กุนเชียง ลูกชิ้น เบคอน แฮม ควรบริโภคน้อยๆ

ที่มา  :  รศ.นพ.ชวลิต  เลิศบุษยานุกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

เรื่องขนๆ ที่หลายคนอาจยังเข้าใจผิด

Q : ยิ่งโกนขนยิ่งเยอะ
A : ไม่จริง เพราะจำนวนต่อมขนของคนมีจำนวนเท่าเดิม
การโกนไม่สามารถเพิ่มจำนวนต่อมขนได้

Q : ยิ่งโกนขนยิ่งหนา
A : ไม่จริง แต่รู้สึกว่าหนาขึ้น เพราะขนสั้น
หากขนยาวขึ้นก็จะรู้สึกนิ่มขึ้น

Q : โกนขนย้อนทิศทางทำให้ขนคุด
A : ไม่จริง สาเหตุที่ทำให้ขนคุด เพราะการใช้
ใบมีโกนที่มี 2-3 ใบขึ้นไป และโกนขนสั้นเกินไป

การโกนขนไม่ได้มีผลดีที่ชัดเจน การโกนขนหน้าแข้งบ่อยๆ 
อาจจะเป็นเหตุให้ต่อมขนอักเสบ เป็นตุ่มเล็ก
คล้ายหัวสิว ผิวไม่เรียบเนียนได้

ที่มา  :  รศ.นพ.นภดล  นพคุณ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ลูกนอนกรนอันตราย

ลูกนอนกรนอันตราย
สังเกตได้อย่างไร
  • มีการหยุดหายใจขณะหลับในระยะสั้นๆ ตามด้วยเสียงกรนหายใจหอบ หรือตื่นระหว่างกลางคืน
  • นอนหลับในท่าทางที่ผิดปกติ
  • กรนเสียงดัง และกรนเป็นประจำ
  • เหงื่อออกมากขณะหลับ
  • มีปัญหาในการเรียนและพฤติกรรม
  • นอนกระสับกระส่าย
  • ปลุกตื่นยาก หลังตื่นนอนอยากนอนหลับต่อ
  • ปวดศีรษะในระหว่างวัน หรือปวดศีรษะหลังตื่นนอน
  • หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย
  • หลับขณะเรียนหนังสือ
  • สมาธิสั้น และซนกว่าปกติ
  • ปัสสาวะรดที่นอน
ที่มา  :  ผศ.พญ.นฤชา  จิรกาลวสาน

แหล่งที่มา : Line chulahospital

โรคมะเร็งผิวหนังเบซัลเซลล์

อาการต้องสงสัยอาจเป็น
โรคมะเร็งผิวหนังเบซัลเซลล์

  • แผลเรื้อรังไม่หาย มีเลือดออกหรือ
    อาจมีสะเก็ดแผลตรงกลางคล้ายหนูแทะ
  • ผื่นแดง อักเสบเรื้อรังหรือมีอาการคัน และเจ็บได้
  • ตุ่มมันวาว นูน ขอบยกม้วน อาจมีสีดำหรือน้ำตาล
    หรือเป็นสีผิวปกติก็ได้
  • ผื่นเหมือนแผลเป็นสีขาว เหลืองมันเงา
    ขอบเขตไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นบริเวณ
    ที่ไม่เคยบาดเจ็บหรือมีแผลมาก่อน

  • มักพบบริเวณศีรษะ ใบหน้าและลำคอ พบบ่อยที่จมูก
  • หากมีแผลเรื้อรัง แผลที่ไม่หายใน 2 สัปดาห์
    หรือพบผื่น หรือตุ่มโรคที่โตเร็วผิดปกติ
    มีเลือดออกง่าย ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง
    ควรหมั่นตรวจผิวหนังตนเอง หากมีตุ่มที่สงสัยว่า
    เป็นเนื้องอกผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์
ที่มา  :  ศ.ดร.นพ.ประวิตร  อัศวานนท์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

โรคหลังห่อคอตกรักษาได้อย่างไรบ้าง

โรคหลังห่อคอตก (Text Neck) 
คือ การก้มทำกิจกรรมใดๆ นานจนเกิดการปวดเมื่อย
ตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลังช่วงต้นคอ
ไล่ลงไปช่วงบ่า หัวไหล่ จนถึงกลางหลัง

ทนยาตามคำสั่งแพทย์ เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย

ปรับปรุงพฤติกรรมการใช้งาน โดยมองแนวตรงระดับสายตา
ใบหูจะต้องตรงกับหัวไหล่

การออกกำลังกาย นั่งตัวตรง แอ่นไหล่ไปด้านหลังแล้ว
ดันคางไปด้าหลัง โดยที่ตายังมองไปด้านหน้า และ
ศีรษะไม่ก้มหรือเงย ค้างไว้นับ 1-10 ทำ 10 รอบ

ผ่าตัดและทำกายภาพบำบัด ในคนที่มีอาการหนัก

ที่มา  :  รศ.นพ.วรวรรธณ์  ลิ้มทองกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ไขความเข้าใจผิดของ "เอชไอวี" กับ "เอดส์"

เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus)
คือไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว
ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome - AIDS)
คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลาย
จนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้
  • การติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องมีอาการเอดส์
    หากรู้เร็วด้วยการตรวจเลือด และรักษาเร็วด้วยยาต้านไวรัส
  • เอชไอวี รักษาแล้ว ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่ หรือ
    Undetectable = Untransmittable (U = U)
  • ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี มีอายุขัยยืนยาว
    เทียบเท่าผู้ไม่มีเชื้อ หากรับการรักษาอย่างถูกต้อง
เพื่อสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ปลอดภัย ตรวจเอชไอวีเป็นประจำ
"เอชไอวี รู้เร็ว รักษาได้"

ที่มา  :  ดร.พญ.นิตยา  ภาคนุภาค พึ่งพาพงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

PrEP กับ PEP คืออะไร

PrEP กับ PEP คืออะไร
ทำความเข้าใจก่อนใช้

เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis)
คือยาต้านไว้รัสที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ เริ่มใช้เตรียมไว้ก่อนจะมีโอกาสสัมผัสเชื้อ และใช้ต่อเนื่องไปจนหมดโอกาสนั้น
  • กินยา PrEP นี้เป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง
  • ตรวจเลือดเพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาทุกๆ 3 เดือน
  • ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ เช่น หนองใน หนองในเทียม หรือซิฟิลิส 
  • PrEP อาจจะเหมาะกับคุณ หากคุณไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาเมื่อมีเพศสัมพันธ์
เพ็พ (PEP-Post-Exposure Prophylaxis)
คือยาต้านไว้รัสฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีผลเลือดลบที่เพิ่งสัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง
  • ต้องได้รับทันที ห้ามเกิน 72 ชั่วโมง
  • รับยาติดต่อกัน 28 วัน
สงสัยว่าสัมผัสเชื้อ ไม่แน่ใจในความเสี่ยง รีบรับคำปรึกษาและตรวจเลือดได้ทันที

ที่มา  :  ดร.พญ.นิตยา  ภาคนุภาค พึ่งพาพงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ป้องกัน "โรคหูดับ"

  • หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ
    หรือหมูที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปรุงหมูให้สุกด้วยอุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • เลือกซื้อเนื้อหมูจากสถานประกอบการที่สะอาด และเชื่อถือได้
  • ผู้เลี้ยง และผู้ชำแหละหมู หากมีบาดแผลควร
    ปิดแผลและสวมถุงมือขณะสัมผัส
ที่มา  :  ศ.นพ.ยง  ภู่วรวรรณ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ผลไม้ดึต่อใจของผู้ป่วยเบาหวาน

  • ฝรั่ง
  • ชมพู่
  • มันแกว
  • แอปเปิล
  • แก้วมังกร
ที่มา  :  อ.นพ.วิทวัส  แนววงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

อาการอุจจาระร่วงที่ต้องรีบพบแพทย์

  • ซึม ไม่มีแรง มือเท้าเย็น
  • อาเจียนมาก หรือถ่ายมากผิดปกติ
  • ปัสสาวะสีเข็ม ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเกิน 6 ชั่วโมง
  • ในเด็ก ปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
ที่มา  :  อ.พญ.วรรษมน  จันทรเบญจกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ข้อควรระวังของการใช้ยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูก (antihistamine)

  • ควรเลือกประเภทของชนิดยาให้เหมาะสม
    กับอาการแสดงของความผิดปกติ รวมทั้ง
    คำนวณขนาดของยาให้เหมาะสมกับอายุและน้ำหนักตัว
  • ในกรณีที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต
    โรคหัวใจ หรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ
    ยาแก้แพ้อาจส่งผลต่อระดับยาในเลือด
    แล้วก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้
  • ควรระมัดระวังการใช้ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก
    ในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากพบอาการข้างเคียงมากขึ้น
  • น้ำผลไม้ อาจส่งผลต่อการดูดซึมยาแก้แพ้รุ่นที่สองบางประเภทได้
  • แอลกอฮอล์ จะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงจากยาเพิ่มขึ้น
ที่มา  :  ผเศ.นพ.เทอดพงศ์  เต็มภาคย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

กินลาบ "หมูดิบ" มีสิทธิ์ "หูดับ"

"หูดับ" คือ การสูญเสียการได้ยินอย่างทันที 
ทำให้ไม่ได้ยินอะไรเลย ซึ่งเกิดขึ้นทันที
โดยจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

สาเหตุ
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การขาดเลือดไปเลี้ยงจากปฏิกิริยา
    ทางภูมิต้านทานจากพิษของยา
  • เนื้องอกกดทับเส้นประสาท
การติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย คือ
สเตรปโตคอคคัส ซูอิส เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในหมู

การติดต่อสู่คน
  • การสัมผัสกับหมูที่ป่วยหรือมีเชื้อดังกล่าว
    โดยที่มืออาจมีรอยบาดแผล่ขีดข่วน
  • การรับประทานเนื้อหมู เช่น ลาบหมูที่ไม่สุก
เชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื้อจนมีผลทำให้หูดับ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อทางสมองร้ายแรง
ถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือดได้ จึงควรรับประทาน
หมูที่ปรุงสึกเท่านั้น


ที่มา  :  ศ.นพ.ยง  ภู่วรวรรณ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ยาเลิกเหล้าใช้ผิดๆ ถึงตายได้

ยาเลิกเหล้า คือ ยา "ไดซัลฟิแรม" เป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคติดสุราเรื้อรัง หากดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปแม้เพียงปริมาณเล็กน้อยจะทำให้เกิดอาการไม่สบายได้อย่างมาก จึงห้ามใช้ยานี้ขณะเกิดพิษจากแอลกอฮอล์และผู้ใช้ยาต้องรู้ว่ากำลังใช้ยานี้อยู่ แพทย์มีหน้าที่แจ้งให้ญาติรับรู้เรื่องนี้ด้วยเพื่อไม่ให้มีการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด
  • เหงื่อออกเต็มใบหน้า
  • อาเจียนอย่างรุนแรง
  • เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว
  • อ่อนเพลีย ตามัว หายใจลำบาก
บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ยา "ไดซัลฟิแรม" ไม่ได้ช่วยให้เลิกเหล้าได้ด้วยการซื้อยามาใช้เอง ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

ที่มา  :  ผศ.นพ.พิสนธิ์  จงตระกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ประโยชน์ดีๆ มีได้ด้วยการออกกำลังกาย

  1. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
  2. ทำให้สนุก มีสังคม
  3. ช่วยให้การนอนดีขึ้น
  4. ช่วยต่อต้านโรค และภาวะสุขภาพต่างๆ
  5. ช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น
  6. ช่วยส่งเสริมให้กำลังวังชาดีขึ้น
    ทั้งในด้านความแข็งแรงและความทนทาน
  7. ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้น
    การหลั่งสารเคมีในสมองที่ส่งผลให้
    รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข
ที่มา  :  อ.พญ.สกุณี  กระกูลสุขสถิตย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

สระผมบ่อยๆ ทำให้ผมร่วงมากจริงหรือ?

โดยปกติผมร่วงทุกวัน วันละ 30-70 เส้น
หากเกิน 70 เส้นถือว่าผิดปกติ

แต่ในคนที่ไม่ได้สระผมเป็นเวลานาน
เมื่อมาสระผมผมอาจจะร่วงเยอะ
ถึง 200 เส้น ก็ถือว่าปกติ

ดังนั้น การสระผมบ่อยๆ ไม่ใช่สาเหตุของผมร่วง

คำแนะนำ
  • ควรสระผมวันเว้นวัน ไม่ควรสระทุกวัน
  • ในผู้ที่หนังศีรษะมัน สามารถสระได้ทุกวันแต่ไม่บ่อยเกินกว่าทุกวัน
  • ไม่สระผมด้วยน้ำร้อน เพราะทำให้เส้นผมเปราะ แห้ง
หากมีภาวะผมร่วงผิดปกติเป็นเวลานาน 
ควรพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ที่มา  :  รศ.ดร.พญ.รัชต์ธร  ปัญจประทีป

แหล่งที่มา : Line chulahospital

มีโรคทางหูอะไรบ้างที่ทำให้บ้านหมุน

เวียนศีรษะ บ้านหมุน
รู้ไหม
มีโรคทางหูอะไรบ้างที่ทำให้บ้านหมุน

1. โรคหินปูน หรือหินในหูชั้นในเคลื่อน
BPPV (Bening Paroxysmal Positional Vertigo)
  • เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเวียนศีรษะที่พบบ่อยที่สุด
  • พบบ่อยในวัยกลายคนถึงวัยสูงอายุ อายุตั้งแต่ 30-70 ปี
  • สาเหตุไม่ชัดเจน มักเกิดจากความเสื่อมอวัยวะของหูชั้นในในบางรายอาจมีประวัติอุบัติเหตุมาก่อน
2. โรคเมเนียร์ (Maniere's Diseas)
หรือโรคน้ำในหูชั้นในไม่เท่ากัน
  • พบบ่อยในผู้ป่วย อายุ 20-50 ปี
  • สาเหตุไม่แน่ชัด แต่เกิดจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ภายในหูส่วนใน
ที่มา  :  ศ.พญ.เสาวรส  ภทรภักดิ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ดูแลตัวเองได้อย่างไรในภาวะกรดไหลย้อน

  • หลีกเลี่ยงช็อกโกแลต อาหารมัน กาแฟ ชา
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด น้ำส้มสายชู น้ำส้ม
    น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ พริกไทย
  • เลิกสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ลดน้ำหนัก ระวังไม่ให้น้ำหนักเกิน
  • ใส่เสื้อผ้าไม่คับ หรือรัดแน่น
  • พยายามนั่งตัวตรง
  • ไม่เอนตัวนอนภายใน 3 ชั่วโมงหลังทานอาหารอิ่ม
  • นอนหัวข้อสูง 6-8 นิ้ว โดยเอียงขึ้นตั้งแต่ระดับเอว
    ไปจนถึงศีรษะ ไม่ใช่แค่การหนุนคอ
  • หากมีอาการสามารถบรรเทาด้วยยาสามัญ
    เช่น ยาต้านกรดน้ำสีขาว
  • หากมีอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นรุนแรงควรรีบพบแพทย์
ที่มา  :  อ.นพ.ปิยะพันธ์  พฤกษพานิช

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ฟกช้ำดำเขียวต้องประคบร้อนหรือประคบเย็น?

แผลฟกช้ำ
คือ การมีเลือดออกในชั้นใต้ผิวหนัง
เมื่อถูกกระแทก ถูกชน หรือถูกต่อย

48 ชั่วโมงแรก
ประคบเย็นด้วยน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง
วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-30 นาที
รอบช้ำบริเวณศีรษะและใบหน้า ให้ประคบ
ด้วยน้ำแข็ง หรืออาจใช้ผ้าม้วนให้หนาพอ
กดบริเวณศีรษะที่ฟกช้ำ เพื่อลดบวม

48 ชั่วโมงหลัง
ประคบร้อนวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที
อาการบวมจะค่อยๆ ลดลง ปกติภาวะฟกช้ำจะดีขึ้น
และหายได้ภายใน 10-14 วัน

ก่อน 48 ชั่วโมง : สีจะออกสีแดง หรือสีแดงอมม่วง
หลัง 48 ชั่วโมง : สีจะออกสีเขียว
ใกล้หาย : สีจะออกสีน้ำตาล

** ในกรณีที่ไม่หาย หรือฟกช้ำมากจนมีเลือดค้างอยู่
จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา และเอาเลือด
ที่คั่งค้างอยู่ออก

ที่มา  :  รศ.นพ.วรวรรน์  ลิ้มทองกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ใช้หน้ากากอนามัย อย่างไร ให้ถูกต้อง

  1. หน้ากากอนามัยที่ทำด้วยกระดาษ
    ควรเปลี่ยนวันละครั้งและทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิด
  2. หน้ากากอนามัยที่ทำด้วยผ้า สามารถซักด้วยน้ำ
    และผงซักฟอกผึ่งแดดให้แห้ง และนำมาใช้ได้อีก
  3. ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมใส่  
  4. สวมหน้ากากอนามัยทั้งจมูกและปาก
    โดยให้ขอบที่มีลวดอยู่บนสันจมูก
    และรอบจีบพันคว่ำลง ให้เอาต้านกินน้ำ
    (ผิวมัน มักเป็นสี) ไว้ด้านนอกเสมอ
    และด้านซับน้ำให้อยู่ด้านในติดกับ
    ใบหน้าผู้ใส่เพื่อซับน้ำมูกและน้ำลาย
  5. หน้ากากอนามัยชำรุหรือเปรอะเปื้อนควรเปลี่ยนให่
ที่มา  :  อ.พญ.วรรษมน  จันทรเบญจกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ราคาของความโชคดี “ภาษีรางวัล”

“ของฟรีไม่มีในโลก” การถูกหวยก็เช่นกัน…
เพราะในความโชคดีนั้น ก็ต้องมีการจ่ายภาษี
ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะถูกลอตเตอรี่หรือได้รางวัลชิงโชค

ใช่ว่าจะได้มาฟรี โดยรางวัลแต่ละประเภท
จะถูกเก็บภาษีในรูปแบบและอัตราที่แตกต่างกัน
ส่วนจะโดนเก็บภาษียังไงบ้างนั้น ตามมาดูกัน

1. หวยสลากกินแบ่งรัฐบาล
หากถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล
ผู้ถูกรางวัลจะถูกโดนหักค่าอากรแสตมป์
หรือหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที เมื่อไปขึ้นเงิน
ด้วยอัตรา 0.5% ของเงินรางวัล

ตัวอย่าง
ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำนวนเงิน 6 ล้านบาท
จะต้องเสียค่าอากรแสตมป์หรือ ภาษี หัก ณ ที่จ่าย 0.5% = 30,000 บาท
เงินรางวัลที่เราจะได้หลังหักภาษีคือ 5,970,000 ล้านบาท นั่นเอง

2. สลากการกุศลชุดพิเศษ
หากถูกสลากการกุศลชุดพิเศษ
ผู้ถูกรางวัลจะถูกโดนหักค่าอากรแสตมป์
หรือหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที เมื่อไปขึ้นเงิน
ด้วยอัตรา 1% ของเงินรางวัล

ตัวอย่าง
ถูกรางวัลสลากการกุศลชุดพิเศษ เป็นจำนวนเงิน 3 ล้านบาท
จะต้องเสียค่าอากรแสตมป์หรือ ภาษี หัก ณ ที่จ่าย 1% = 30,000 บาท
เงินรางวัลที่เราจะได้หลังหักภาษีคือ 2,970,000 ล้านบาท นั่นเอง

โดยรางวัลสลากทั้ง 2 แบบนี้ 
ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ผู้ถูกรางวัลไม่ต้องนำเงินรางวัล
ไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี

3. เงินรางวัลจากการชิงโชคอื่นๆ
หากได้รับเงินรางวัลจากการชิงโชค แบบอื่น
เช่น ส่งฝาชิงโชค ทายผลบอลโลก
ตอบคำถามชิงโชคทางทีวี
จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ทันทีเมื่อไปขึ้นเงิน
ด้วยอัตรา 5% ของเงินรางวัล

ตัวอย่าง
หากถูกรางวัลชิงโชค และได้รับเงินรางวัลเป็นเงินสด 6 ล้านบาท
จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% = 300,000 บาท
เงินรางวัลที่เราจะได้หลังหักภาษีคือ 5,700,000 ล้านบาท นั่นเอง

มีข้อแตกต่างจากกรณีถูกหวยและสลากพิเศษ คือ 
นอกจากจะต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้ว 
ยังต้องเอามาคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย 
โดยต้องนำเงินรางวัลที่ได้รับมานี้ รวมกับรายได้อื่น ๆ 
ของผู้ถูกรางวัล เพื่อนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมด

ส่วนใครที่คิดจะหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี ระวังให้ดี
กรณี ถูกรางวัลแล้วไม่ยื่นภาษีภายในเวลาที่กำหนด
มีโทษคือต้องชำระเพิ่ม 5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย
นับตั้งแต่วันที่ให้ยื่นแบบจนถึงวันชำระภาษี
และมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

กรณี ที่ยื่นเสียภาษีไม่ครบจำนวน
เสียค่าปรับ 1-2 เท่า ของจำนวนภาษี
ที่ต้องจ่ายทั้งหมด

กรณี มีเจตนาที่จะไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด
มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 6 เดือน
หรือทั้งจำทั้งปรับ.

กรณี มีเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จ
เพื่อหนีภาษี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
ปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท

เตือนแล้วนะ!!..เห็นไหมว่ากฎหมายก็ได้ระบุโทษไว้ชัดเจน
แล้วจำได้ไหมที่บอกไปแล้วว่าตอนที่ไปขึ้นเงินหรือเอารางวัล
จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 5% ของมูลค่ารางวัลที่จ่ายและนำส่งแก่สรรพากร

ฉะนั้นทางสรรพากรจะมีประวัติข้อมูลถูกหัก ณ ที่จ่ายของผู้ที่ถูกรางวัล
เมื่อรู้แบบนี้แล้วก็อย่าหลบเลี่ยง ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายนะ
ถ้าโดนค่าปรับขึ้นมาไม่คุ้มแน่นอน ส่วนตอนได้รางวัลมา
ก็ควรคำนวนและกันเงินเผื่อไว้เพื่อชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้เพียงพอด้วยนะ

เรียบเรียงในแบบ #aomMONEY

แหล่งที่มา   :   Facebook aomMONEY

อาการกรดไหลย้อนแบบไหน

อาการกรดไหลย้อนแบบไหน
ควรไปพบแพทย์ทันที
  1. น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจลด
  2. อาเจียนบ่อย
  3. อาเจียนมีเลือดปน
  4. อาการกรดไหลย้อนเป็นบ่อย
  5. อาการกรดไหลย้อนเป็นรุนแรง
  6. อาการกรดไหลย้อนเป็นครั้งละนานๆ
  7. เบื่ออาหาร
  8. กลืนเจ็บ
  9. กลืนติด
  10. กลืนลำบาก
  11. ถ่ายเป็นเลือด
ที่มา  :  อ.นพ.ปิยะพันธ์  พฤกษพานิช

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ข้อควรระวังของการออกกำลังกาย

  • ควรออกกำลังกายอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
    ไม่ฝืน ไม่หักโหมจนเกินไป
  • ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว
    ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษา
    แพทย์ประจำตัวก่อนเริ่มออกกำลังกาย
  • ขณะออกกำลังกายหากมีอาการผิดปกติ
    ให้หยุดออกกำลังกาย และร้องขอความช่วยเหลือ เข่น
    • ใจสั่นหรือรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
    • เหงื่อออกมากผิดปกติ
    • เวียนศีรษะเหมือนจะเป็นลม
    • เจ็บแน่นหน้าอก
    • หายใจไม่ทัน หายใจลำบาก
ที่มา  :  อ.พญ.สกุณี  ภระกูลสุขสถิตย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

โรคภาวะพร่องเนื้อเยื่อเซลล์ต้นกำเนิด

โรคภาวะพร่องเนื้อเยื่อเซลล์ต้นกำเนิด
ของผิวกระจกตา
ที่พบมากในคนไทย

สาเหตุ
  • จากอุบ้ติเหตุ ได้แก่ กรด ด่างเข้าตา การโดนความร้อน ควันระเบิด
  • การแพ้ยาแบบกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน
  • กระจกตาติดเชื้อ
  • ภาวะภูมิแพ้ที่มีการอักเสบเรื้อรัง
  • โรคอื่นๆ อีกหลายชนิด
อาการ
  • เกิดแผลเรื้อรัง
  • มีเส้นเลือดจากเยื่อบุตาลุกล้ำเข้ามาในกระจกตา
  • กระจกตาฝ้าขุ่นทำให้การมองเห็นลดลง
  • กระจกตาทะลุ
  • อาจเกิดการติดเชื้อจนถึงตาบอด
การรักษา
  • การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา และการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
หากสงสัยว่ามีภาวะนี้ สามารถติดต่อเพื่อเข้ารับ
การตรวจรักษาที่ศูนย์ความเป็นเลิศ
ด้านการปลูกถ่ายกระจกตาและสเต็มเซลล์

รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โทร 089-104-7227

ที่มา  :  รศ.พญ.วิลาวัณย์ พวงศรีเจริญ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ดูแลช่องปากอย่างไรในผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบ

  1. แปรงฟันให้ถูกวิธี
  2. ใช้ไหมขัดฟันก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน
  3. เลือกใช้แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และ
    น้ำยาบ้วนปากชนิดที่ช่วยลดการเกิด
    แผ่นคราบจุลินทรีย์จำพวกคลอร์เฮกซิดีน
    0.2% (ผสมน้ำเพื่อเจือจางได้)
  4. พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
    เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ และขูดหินปูน
ที่มา  :  ทพญ.วรรณี  อันวีระวัฒนา

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ป่วยไข้ไม่สบายตรวจให้แน่ใจว่าเชื้ออะไรก่อนใช้ยาปฏิชีวนะ

ถ้าท่านหรือลูกหลานเคยไปหาหมอ
ด้วยอาการใดอาการหนึ่งต่อไปนี้ คือ
เป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เจ็บคอ
ไอ น้ำมูก ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง

ท่านทรายหรือไม่ว่าเมื่อหมอส่งตรวจ
ทางห้องปฏิบัติการ จะพบว่า
การเจ็บป่วยเหล่านั้นส่วนใหญ่
เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น
  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus)
  • ไวรัสอาร์เอสวี (RSV)
  • ไวรัสเอชเอ็มพีวี (hMPV - human Metapneumovirus)
  • ไวรัสโรต้า (Rota virus)
  • ไวรัสไข้เลือดออก (Dengue virus)
บุคลากรทางการแพทย์
ไม่ควรจ่ายยาปฏิชีวนะโดย
ไม่มีหลักฐานการติดเชื้อแบคทีเรีย

ประชาชนอย่าซื้อ หรือกินยาปฏิชีวนะ
ด้วยตนเอง เพราะมักใช้ไม่ตรงกับ
โรคจึงไม่เป็นประโยชนฺ์

ที่มา  :  ผศ.นพ.พิสนธิ์  จงตระกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อาหาร ช่วยแก้โรคข้ออักเสบ

โรคข้ออักเสบ (Arthritis)
เป็นชื่อเรียกโดยรวมของโรคกลุ่มนี้
ซึ่งชนิดที่พบบ่อยคือ โรคข้อเสื่อม
หรือ ข้ออักเสบเรื้อรัง และ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งทั้ง 2 ชนิด
มีสาเหตุของโรคต่างกัน โดย โรคข้อเสื่อมนั้น
เกิดจากความทรุดโทรมของกระดูกอ่อน
ที่หุ้มข้อกระดูกค่อยๆ หายไป ส่งผลให้
ปวดบริเวณข้อ ส่วนโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
นั้นสาเหตุที่พบบ่อยคือ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายผิดปกติ เกิดการทำลายข้อต่อกระดูกตนเอง
โรคนี้สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุ
ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก เป็นโรคเรื้อรัง
ที่มีอาการเป็นๆ หายๆ ทำให้ผู้ป่วย
เกิดความทรมานทั้งกายและใจ

สำหรับคนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคข้ออักเสบ
ส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์
ร่วมถึงนักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง ก็มีสิทธิ์
เป็นได้โดยเฉพาะ นักกรีฑา นักวิ่ง นักกระโดดสูง
ล้วนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะจำเป็นต้องใช้ข้อต่อต่างๆ
โดยเฉพาะที่หัวเข่า และข้อเท้ามากเป็นพิเศษ
ในการวิ่งหรือกระโดด ทำให้เกิดแรงกด
ที่ข้อกระดูก เหมือนคนที่มีน้ำหนักมากนั้นเอง

การรักษาโรคนี้นอกจากการทานยาหรือผ่าตัดแล้ว
เรื่องอาหารการกินก็เป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะการทานอาหารบางชนิดสามารถ
ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และดีต่อ
ผู้ป่วยโรคข้อเสบ ซึ่งอาหารที่เหมาะ
กับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและ ดีต่อสุขภาพ มีดังนี้

1. ปลาทีมีกรดไขมันโอเมก้า-3 
ได้แก่ ปลาแชลมอน ปลาซาดีนปลากระบอก
ปลาทู ปลาดุก ปลาช่อน อาหารกลุ่มนี้
สามารถช่วยต่อสู้กับอาการอักเสบ
ในคนที่มีอาการปวดข้อ ได้ คนที่
เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ทานปลาเหล่านี้จะดีต่อสุขภพมาก

2.ธัญพืชที่ไม่ขัดสีมากนัก 
ได้แก่ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮสวีท
จมูกข้าวสาลี ถั่วต่างๆ เพราะ
อาหารกลุ่มนี้มีไฟเบอร์สูง
สารอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย
และมันสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้

3.ผักผลไม้
อาหารที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิเด้นท์
จะช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
และช่วยต่อสู้กับอาการข้ออักเสบได้ เช่น
ผักใบเขียวต่างๆ กล้วย แหล่งโปรแตสเซียม และใยอาหาร

เริ่มต้นดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้
เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงห่างไกลโรคกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : บทความ อาหารช่วยแก้ข้ออักเสบ โดยโรงพยาบาลกรุงเทพ

แหล่งที่มา  : จาก SOOK By สสส.

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ออกกำลังกายอย่างไรในผู้ป่วยเบาหวาน

ออกกำลังกายอย่างไร
ในผู้ป่วยเบาหวาน
  1. ออกกำลังกายจนพูดประโยคยาวแล้วเริ่มหอบ
    หรือจับชีพจรได้ 50-70 เปอร์เซ็นต์ของ
    อัตราการเต้นสูงสุด อย่างน้อย 30 นาที
  2. ออกกำลังกายความหนักปานกลาง
    อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรือ
    ออกกำลังกายหนัก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 75 นาที
  3. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก
    อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
    และไม่ควรเว้นนานเกิน 2 วัน
  4. ถ้านั่งเกิน 30 นาทีให้ลูกขึ้นมายึดเส้นยึดสาย
  5. ออกกำลังกายแบบต้านแรง เช่น
    ยกน้ำหนัก ซิตอัพ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  6. ถ้ามีอาการลุกขึ้นมาหน้ามืด หรือสงสัย
    มีโรคหัวใจ ควรประเมินทางหัวใจ
    เพิ่มเติมก่อนออกกำลังกาย
ที่มา  :  อ.นพ.วิทวัส  แนววงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ถูกงูกัดไม่ให้ขันชะเนาะ

ถูกงูกัดไม่ให้ขันชะเนาะ
แล้วต้องทำอย่างไร
  • ตั้งสติให้มั่น ไม่ตื่นตกใจเกินไป
  • สังเกตลักษณะของงู
    หรือถ่ายรูปงููถ้าทำได้
  • ร้องขอความช่วยเหลือ
  • ไม่แนะนำให้ขันชะเนาะ
    เพราะไม่สามารถป้องกัน
    การดูดซึมพิษงูได้ และ
    ถ้ารัดแน่นเกินไป อาจทำ
    ให้เกิดเนื้อเน่าตายได้
  • ควรรีบมาโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
    และขยับส่วนที่ถูกกัดให้น้อย
  • เฉพะเท่าที่จำเป็น เพื่อลดการดูดซึมพิษงู
  • หากงูเห่าพ่นพิษเข้าตา
    ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก
  • ผู้ป่วยที่ถูกงูระบบประสาทกัด
    อาจเป็นอัมพาตทั่วตัวคล้ายกับเสียชีวิตแล้ว
    ไม่ควรหยุดการช่วยเหลือ ให้รีบส่งผู้ป่วย
    ไปโรงพยาบาลเพื่อช่วยการหายใจโดยเร็วที่สุด
ที่มา  :  ศ.นพ.พลภัทร  โรจน์นครินทร์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

กระดูกสะโพกหัก

ป้องกันภาวะ กระดูกสะโพกหัก 
อย่างไร ในผู้สูงวัย
  1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างเพียงพอ
  2. รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเพื่อกระตุ้น
    การสร้างวิตามินดีในร่างกาย
  3. หากไม่สามารถทำได้ต้องรับประทาน
    อาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดี
  4. ออกกำลังกายตามความเหมาะสมของวัย
  5. ตรวจวัดมวลกระดูกในผู้ที่มีอายุ 60 ถึง 65 ปีขึ้นไป 
  6. รับการรักษาโดยสม่ำเสมอเมื่อพบว่ามีภาวะกระดูกพรุน
ที่มา  :  ผศ.นพ.สีหรัช  งามอุโฆษ

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เลือดกำเดาไหลในเด็ก ทำอย่างไรดี?

พบบ่อยในเด็กปกติ ในช่วงวัยเด็กเล็ก อายุ 2-3 ขวบ
ไปจนถึงวัยประถมต้น และหายได้เองเมื่ออายุโตขึ้น
มักมีอาการเลือดออกที่ไม่รุนแรง เลือดมักหยุดได้เอง
ภายใน 5-10 นาที พบบ่อยในช่วงฤดูหนาว หรืออาการที่แห้ง

อาจเกิดจากการแคะ แกะ เกาบริเวณจมูกอย่างแรง
หรือได้รับอุบัติเหตุบริเวณใบหน้าหรือศีรษะ
หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้จมูก เป็นต้น

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหล ดังนี้
  1. ให้เด็กนั่งตัวเองไปข้างหน้า
    และให้ศีรษะก้มลงเล็กน้อย
    เพื่อให้เลือดไหลออกทาง
    จมูกแทนที่จะไหลลงคอ
  2. ใช้มือบีบจมูกบริเวณปีกจมูกเบาๆ
    ในข้างที่มีเลือดกำเดาไหล อย่างน้อย 10 นาที
  3. หากเลือดยังไม่หยุดไหลนานเกิน 30 นาที
    ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์
ที่มา  :  รศ.พญ.ดารินทร์  ซอโสตถิกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

อาการบ่งบอกว่างูมีพิษกัด!

1. อาการเฉพาะที่
ปวด บวม อาจเห็นรอยเขี้ยวพิษของงู
เป็นจุด 2 จุดในบริเวณที่ถูกกัด
นอกจากนี้ อาจมีรอยช้ำ มีถุงน้ำพอง

2. อาการตามระบบ
งูที่มีพิษต่อระบบประสาท 
ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก
กลืนลำบาก และเกิดอัมพาต
อาจเสียชีวิตได้ ต้องรีบทำ
การช่วยหายใจโดยด่วน

งูที่มีพิษผลต่อระบบโลหิต 
ทำให้เกิดเลือดไหลไม่หยุด
เช่น มีเลือดออกไรฟัน
ออกจากทางเดินอาหาร
ทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
ถ้าเลือดออกรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้ พิษงูแมวเซา อาจทำให้เกิดไตวายร่วมด้วย

หากโดนงูกัดและสงสัยว่ามีพิษให้รีบพาส่งโรงพยา

ที่มา  :  ศ.นพ.พลภัทร  โรจน์นครินทร์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ไทยรอยด์ทำให้อ้วนขึ้น...จริงหรือ?

หากมีภาวะอ้วนขึ้นแบบผิดปกติ แม้ว่าทานอาหารน้อย
อาจเป็นสัญญาณของ "ภาวะต่อมไทยรอยด์ทำงานต่ำ"
นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
  • ผมร่วง
  • ผิวแห้ง
  • ท้องผูก ขี้หนาว
  • อารมณ์ทางเพศลดลง
  • เสียงแหบพร่า
  • คอโตขึ้น
  • ง่วงนอนบ่อย อ่อนเพลีย
  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • อาจเป็นตะคริวบ่อยๆ
หากมีอาการสงสัยโรคไทยรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

ที่มา  :  อ.นพ.วิทวัส  แนววงศ์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

10 วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดหัวใจ

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร
    โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์หลากหลาย
    และครบ 5 หมู่ เพื่อช่วยควบคุมความดันโลหิต
    และคอเลสเตอรอล
  • ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน
    ควรควบคุมโรคให้ดี
  • ลดเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล และ
    อาหารรสเค็มจัด เพื่อลดอัตรา
    การเกิดโรคความดันโลหิตสูง
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
    และกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชต่างๆ
  • งดการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มอัลกอฮอล์
  • ควบคุมความเครียด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงอาหารขยะ อาหารจานด่วน
    อาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป
    อาหารแช่แข็ง อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
    เช่น กะทิ เนย มาร์การีน เครื่องใน
    ไข่แดง กุ้ง ปลาหมึก คุกกี้ ไส้กรอก
ที่มา  :  อ.พญ.ศิริพร  อธิสกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศิลปะแห่งการงีบหลับ

ศิลปะแห่งการงีบหลับ
เรามานอนกลางวันกันเถอะ

โดยระยะเวลางีบหลับที่แนะนำก็คือ
10 - 20 นาที เพราะระยะเวลานี้ 
จะทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า
แถมยังทำให้เราหายงัวเงียช่วงบ่ายได้
และไม่รบกวนกับการนอนช่วงกลางคืนด้วยนะ

แต่ระวังให้ดี ถ้ามันก้าวข้ามไปถึง 30 นาทีแล้วล่ะก็
มันจะกลายเป็นการงีบที่ดูดพลังไปแทน
คุณจะตื่นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า ไม่สดใส งัวเงีย
และส่งผลต่อการนอนหลับตอนกลางคืนอีกด้วย
.
แต่ถ้าเป็นการนอนหลับถึง 60 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง
มันจะเป็นการนอนที่ส่งผลดีต่อการจำ
(เป็นการนอนในช่วง slow-wave sleep)
อาจจะตื่นมามึนงงบ้าง แต่ก็นับว่าเป็น
ระยะที่ดีต่อการจำ เหมาะสำหรับก่อน
การพรีเซนต์งานหรือการอ่านหนังสือก่อนสอบ

การงีบ 90 นาที นับว่าเป็นการงีบที่ครบรอบพอดี 
ซึ่งจะผ่านหลายช่วงของการนอน ระยะเวลานี้
จะช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น
จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น แถมเหมือนได้หลับเต็มตื่น
แต่อาจจะดูนานไปหน่อยสำหรับการงีบระหว่างการทำงาน
(จริง ๆ ระยะเวลาการนอนหลับค่อนข้างละเอียด อาจจะหา
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ REM Sleep แล้วจะเข้าใจมากขึ้น)

ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการงีบก็คือ
ช่วง 13.00 น. – 16.00 น. เพราะปกติแล้ว
ตามธรรมชาติของมนุษย์ นี่เป็นช่วงเวลางัวเงีย
จากที่เราทานข้าวกลางวันมาแล้ว และ
สัญชาตญาณก็บอกให้เรานอนตอนนี้
ถ้าเราได้งีบเล็ก ๆ นับว่าจะเป็นผลดีเลยล่ะ

ส่วนท่าที่เหมาะแก่การงีบก็คือ
การเอนหลังพิงพนัก
อาจจะไม่ใช่การนอนที่สะดวกสบายนัก
แต่ก็เป็นการป้องกันการหลับลึกนั่นเอง
.
ส่วนข้อสุดท้ายเป็นเหล่าอุปกรณ์ที่ช่วย
ให้การงีบหลับมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

1. ดินสอ
อันนี้เป็นเทคนิคเดียวกับไอน์สไตน์
โดยจะเป็นการถือดินสอไว้ในมือ
เพราะถ้าเราหลับลึกเมื่อไรดินสอ
เราจะหล่น และเราจะสะดุ้งตื่นนั่นเอง

2. กาแฟ
การดื่มกาแฟก่อนงีบจะช่วยให้เราตื่นมา
กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลไป
กาแฟจะยังไม่ออกฤทธิ์ในช่วง 20 นาทีแรก
ที่เราแวบมางีบ

3. มือถือ 
ตั้งปลุกไว้เถอะครับเพื่อความปลอดภัย
และได้ระยะเวลาที่ถูกต้อง

4. ที่ปิดตา
เพื่อการงีบที่สมบูรณ์แบบ
เราต้องสร้างบรรยากาศที่มืด
ให้เหมาะสมแก่การนอน

แต่ที่ทำงานคงไม่ได้มีที่มืดให้นอนขนาดนั้น
ก็พกพาที่ปิดตาไปเลย
อยากงีบตอนไหนก็ใช้ได้เลย
.
แต่ระวังกันหน่อยนะ สำหรับบางองค์กร
การงีบหลับอาจจะดูเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
สักเท่าไร ถึงแม้จริง ๆ แล้วการนอนหลับสั้น ๆ
จะไม่ใช่สิ่งที่แย่เลย แถมช่วยให้การทำงาน
มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกต่างหาก แต่
สำหรับสังคมไทย การกระทำแบบนี้
อาจจะยังไม่เปิดกว้าง ยังไงก็ลองเช็ก
วัฒนธรรมองค์กรดี ๆ ก่อนที่จะงีบหลับนะ

 แล้วคุณล่ะ มีความคิดอย่างไรบ้าง
มันเหมาะสมไหมกับการงีบหลับช่วงบ่าย ๆ
ตอนทำงาน มาร่วมแชร์กันได้เลยครับBrandThink
6 พฤศจิกายน เวลา 07:00 น. ·
ศิลปะแห่งการงีบหลับ
เรามานอนกลางวันกันเถอะ

เราอาจจะเคยผ่านตากันมาบ้าง
สำหรับบทความที่พูดถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ที่อนุญาตให้หลับในที่ทำงานได้
โดยเจ้านายไม่ว่า เพราะที่นั่นการงีบหลับ
ระหว่างทำงานเป็นเหมือนสัญลักษณ์
ของการทำงานหนัก และเป็นเรื่องธรรมดา
มาก ๆ เพราะแสดงออกถึงความอ่อนล้า
มันแปลว่าคุณทำงานหนักนั่นเอง
(แถมมีบางคนแอบนอนหลับ เพื่อแสดงว่า
ตัวเองทำงานหนักอีกด้วย) และในไทย
หลายองค์กรสมัยใหม่ก็เริ่มมีนโยบาย
ให้พนักงานใช้เวลาช่วงเล็ก ๆ ไป
กับการงีบหลับ เพราะจริง ๆ แล้ว
การงีบหลับที่มีระยะเวลาที่ถูกต้อง
จะช่วยให้สมองเราทำงานได้
อย่างลื่นไหลมากขึ้นอีกหลายระดับ

ข้อมูล   Facebook BrandThink  6 พฤศจิกายน เวลา 07:00 น. · 

แหล่งที่มา  :  Facebook Toolmorrow 

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รู้จัก "วีเนียร์"

รู้จัก "วีเนียร์" 
กันสักนิด ก่อนคิดจะทำ

การทำวีเนียร์ คือ
การกรอผิวฟันออกเล็กน้อย
แล้วทำการปิดทับด้วยวัสดุเซรามิก
มีความแข็งแรง ทนทาน

ข้อเสีย
  • ค่าใช้จ่ายสูง
  • ต้องพบทันตแพทย์ในการรักษา
    และจัดแต่งฟันอย่างน้อย 3 ครั้ง
  • หากทันตแพทย์ไม่มีประสบการณ์ในการรักษา
    อาจทำให้ผลงานออกมาไม่สวยงามเท่าที่ต้องการ
  • ต้องอาศัยความชำนาญของทันตแพทย์
    เนื่องจากมีความซับซ้อน
  • วัสดุที่ใช้ยึดติดเซรามิกวีเนียร์อาจเปลี่ยนสี
    หรือกระเทาะได้ หากดูแลไม่ดีพอ
  • การซ่อมแซม หรือทำวีเนียร์ทดแทน
    ส่วนที่เสียหายทำได้ยากและใช้เวลานาน
  • มีโอกาสที่วีเนียร์แตกหักได้จากการกิน
    ของแข็ง หรือของเหนียว
  • มีโอกาสที่ฟันคู่สบสึกได้
ที่มา  :  ทพญ.ธนิตา  ณรงค์เดช

แหล่งที่มา : Line chulahospital

อาการหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

อาการหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ควรรีบไปพบแพทย์

- เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ
เฉียบพลัน รุนแรงนานกว่า 20 นาที
เจ็บแน่นร้าวขึ้นกราม อาจร้าวไปไหล่
หรือแขนซ้าย มักเกิดขึ้นขณะออกแรง
หรือออกกำลังกาย

- เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- ใจสั่น เหงื่อแตก คล้ายจะหน้ามืด เป็นลม

- หายใจหอบ บางรายนอนราบไม่ได้
- เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

- บางรายถึงขั้นหมดสติ
หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน

หากมีอาการเบื้องต้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ที่ห้องฉุกเฉิน หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669
เพือขอความช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล
ที่ใกล้ให้เร็วที่สุด

ที่มา  :  อ.พญ.ศิริพร  อธิสกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

1 ชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำอัดลมจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“น้ำอัดลมเป็นสิ่งไม่ดี”
คำนี้เรามักจะได้ยินมาโดยตลอดจากผู้ใหญ่หรือพ่อแม่
เนื่องจากจะตามมาด้วยโรคอ้วน กระดูกพรุน หรือฟันผุ

คำเหล่านี้คอยหลอกหลอนเด็ก ๆ มานาน
ซึ่งน้ำอัดลมในที่นี้คือน้ำอัดลมผสมน้ำตาล
ในกลุ่มน้ำสีดำโดยจะมีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่
7 – 10 ช้อนชา แต่ทั้งนี้ Niraj Naik

เจ้าของบล็อก The Renegade Pharmacist
ได้ทำการวิจัยน้ำอัดลมผสมน้ำตาลยี่ห้อหนึ่ง
และออกมาเล่าถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ร่างกายได้
ดื่มน้ำอัดลมผสมน้ำตาลเข้าไปจะเกิดอะไร

10 นาทีแรก 
คุณได้รับน้ำตาล 10 ช้อนชาจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
ซึ่งความหวานที่มีปริมาณมากขนาดนี้แต่ไม่ได้ทำ
คุณอ้วกออกมา เพราะในน้ำดำมีกรดฟอสฟอริก
สารที่จะช่วยลดความหวานจึงทำให้เราดื่มมันต่อไปได้
.
นาทีที่ 20 
น้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงขึ้น
ส่งผลให้ร่างกายรีบปล่อยอินซูลินออกมา
และตับจะตอบสนองด้วยการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน
.
นาทีที่ 40 
คาเฟอีนจะถูกดูดซึมเสร็จสมบูรณ์
ม่านตาดำของเราจะขยาย
ความดันเลือดสูงขึ้น

ส่วนตับก็เร่งน้ำตาลไปยังเส้นเลือดมากขึ้นอีก
ตุ่มรับอะดีโนซีนในสมองขณะนี้จะถูกบล็อก
ไม่ให้เราง่วงนอน โดยสมองจะสั่งการให้
ร่างกายเร่งสร้างโดพามีนเพื่อกระตุ้นให้เรารู้สึกมีความสุข
.
นาทีที่ 60 หรือครบ 1 ชั่วโมง 
กรดฟอสฟอริกจะรวมตัวกับแคลเซียม
แมกนีเซียม สังกะสีที่อยู่ในลำไส้
ซึ่งจะก่อให้เกิดกระบวนการเผาผลาญ
น้ำตาลในปริมาณสูง และสารเพิ่มความหวาน
รวมถึงถึงคาเฟอีนจะทำให้เราปวดปัสสาวะ
จนต้องขับออก แน่นอนว่าเราได้สูญเสียแคลเซียม
แมกนีเซียม และสังกะสีที่มีประโยชน์กับกระดูก
รวมถึง โซเดียม อิเล็กตรอไลด์ และน้ำด้วย
.
หลังจากกระบวนการทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว
ร่างกายจะเกิดอาการ “Sugar Crash”
ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียหลังจาก
ที่กินน้ำตาลไปเป็นจำนวนมาก และนั่น
พออ่อนเพลียก็ทำให้เรารู้สึกอยากดื่ม
น้ำอัดลมอีก พอเราดื่มเข้าไปก็จะวน
อยู่แบบนั้นตามที่บอกไปข้างต้น
.
อย่างไรก็ดี ทางบริษัทน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง
ก็ได้ออกมากล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวที่ทำขึ้นมานั้น
ค่อนข้างหลอกหลวง สร้างความหวาดกลัว
ให้กับผู้บริโภคมากเกินไป เพราะบริษัท
ได้ผลิตน้ำอัดลมให้กับหลายล้านคนทั่วโลก

แต่ทางผู้ผลิตเครื่องดื่มก็ได้ย้ำว่า
ยังมีโปรดักต์ที่ห่วงใยสุขภาพผู้บริโภคอยู่
เช่น น้ำอัดลมสูตรน้ำตาลน้อย
หรือไม่มีนำตาล เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ว่าจะดื่ม
หรือรับประทานอะไรควรพิจารณาให้ดี
และอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมน่าจะดีกว่า

อ้างอิง: https://bit.ly/2yJspC2

แหล่งที่มา  :  Facebook Toolmorrow

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ออกกำลังกายให้ถูกวิธี

ออกกำลังกายให้ถูกวิธี
เคล็ดลับดีๆ ต่อร่างกายร่างกาย
ด้านต่างๆ ได้แก่

ความทนทาน (Endurance)
ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ร่างกายลำเลียงเลือด
ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ได้ดีขึ้น เหนื่อยช้าลงเวลาทำกิจกรรมต่างๆ)

ความแข็งแรง (Strength)
ช่วยให้ยกของหนัก ออกแรง
ทำกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น

ความยืดหยุ่น (Flexibility)
ช่วยให้ยึดตัว ก้มตัว เอี้ยวตัว
หรือเคลื่อนไหวร่างกายไปได้ง่าย
ป้องกันภาวะข้อยึดติด

การทรงตัว (Balance)
ช่วยให้ทรงตัวได้ดีขึ้น
ป้องกันความเสี่ยงจากการหกล้ม

ที่มา  :  อ.พญ.สกุณี  กระกูลสุขสถิตย์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

รู้ให้เท่าทัน "โรคหัวใจ"

โรคหัวใจ
เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 4 ของคนไทย
รองจาก โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือดในสมอง
และโรคปอด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

5 อันดับโรคหัวใจในคนไทย คือ
1. โรคลิ้นหัวใจ
2. โรคหลอดเลือดหัวใจ
3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
4. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

หากมีอาการต้องสัยว่าเป็นโรคหัวใจ
ควรรีบไปพบแพทย์  เช่น
- มีอาการเหนื่อยง่าย
- แน่นหน้าอกเป็นๆ หายๆ ใจสั่นเต้นเร็ว
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- ขาบวม
- เป็นลมหรือคล้ายจะเป็นลม
- นอนราบแล้วอึดอัดจนต้องลุกขึ้นมานั่งช่วงกลางคืน

ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและ
วินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ที่มา  :  อ.พญ.ศิริพร  อธิสกุล

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

8 เรื่อง ที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น

คิดเหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ..
ตีลังกาคิด ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง !!
...”เราสามารถให้โอกาสชีวิต
ด้วยการตีลังกาคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเรา”

1. ‘คำว่า ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค มันไม่มีเส้นแบ่งแล้ว’
...คนเสพเพลง เสพคอนเทนต์
วันนี้สามารถลุกขึ้นมาสร้างเพลง สร้างวีดีโอ
สร้างคอนเทนต์ ได้ทันที -
จากคนเสียเงิน เปลี่ยนเป็นคนสร้างเงินได้ทันที

2. ‘คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันก็แทบไม่เหลือเส้นแบ่ง’
...เดิมทีนายจ้างคือ คนที่ใช้สมองเยอะ ออกแรงน้อย
..ส่วนลูกจ้าง คือ คนที่ใช้สมองน้อย ออกแรงเยอะ
...แต่วันนี้ลูกจ้างที่หนึ่ง ก็สามารถเป็นนายจ้างอีกที่หนึ่ง

...ออนไลน์เปิดกว้างให้คนธรรมดา
เป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองได้ ถ้ามีความสามารถ

3. ‘คำว่า เกษียณ หมดอายุไปแล้ว’
 ...ฮิต เรื่องเกษียณเร็ว แต่คนรุ่นใหม่ยุคนี้ เขาสวนกลับมาว่า

‘แทนที่จะทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วรีบๆ เกษียณ
 ...ทำไมไม่สร้างงานที่เราชอบจริงๆ
แล้ว ทำมันด้วยความรักและความสนุกชั่วชีวิต’

....แม่งโคตรโดน!! (จริง!! คนจน คนไม่สำเร็จ
มองงานเป็นความทรมาน ความทุกข์
...คนรวย คนสำเร็จ เขาสร้างงานที่สนุก แล้วทำตลอดไป)

4. ‘คำว่า คนรวย กับ คนจน ไม่ได้วัดจากเงิน’ .
.ยุคนี้เงินไม่ได้หายาก เพราะคนที่หาเป็นจะหาได้แทบไร้ขีดจำกัด
 ..แปลว่า เงินไม่ได้จำกัด ...สิ่งที่ทุกคนมีจำกัดคือ เวลาต่างหาก
...ดังนั้น รวยหรือจน ในยุคนี้ วัดกันที่
‘ความสามารถในการเลือกใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ’

(คนจน ต้องใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบ อันนี้เรียกว่า จน
...คนรวย เลือกใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ชอบ
..ไม่ได้เกี่ยวเลยว่า มีเงินล้นฟ้า แต่วัดกันที่ความฉลาด
ในการเลือกใช้เวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด อย่างมีความสุข

- คนที่ฉลาดใช้เวลา จะมีของแถมในชีวิต คือ
ได้สร้างผลงาน และ ตำนาน ที่ฝากเอาไว้เป็น
แรงบันดาลใจ และ สร้างประโยชน์แก่คนรอบๆ ตัว)

5. ‘คำว่า เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ไม่ได้ใช้อายุวัดอีกต่อไป’
...สมัยก่อนคนอายุน้อยคือเด็ก อายุเยอะคือผู้ใหญ่
...ซึ่งยุคนี้ คนเราไม่ได้เติบโตตามอายุที่มากขึ้น
...คนจำนวนมากในยุคนี้ที่อายุเยอะ
แต่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

สิ่งที่ใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ คือ การยอมรับข้อผิดพลาด
เรียนรู้ และเติบโตทางความคิด จากมัน
...ใช่!! ความกล้าหาญทางปัญญา คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างจากเด็ก

6. ‘คำว่า ผู้นำ และ ผู้ตาม ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นตัววัด’ .
..อันนั้นเรียกว่า หัวโขน ...พอออกจากตำแหน่งเมื่อไหร่
ทุกคนเลิกให้ความสนใจ โดนเหยียบย่ำ นั่นแปลว่า สิ่งนั้นคือ หัวโขน

แต่การเป็นผู้นำ คือ การแสดงความกล้าหาญ ในจุดที่ตัวเองอยู่
...กล้าพูดความจริง ..กล้ายอมรับความจริง
 ...กล้าที่จะแก้ไขความคิดและความเชื่อที่ล้าสมัย

จริงอยู่ โลกเรา ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง
 ...มันขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา

ดังนั้น ผู้นำ คือ คนที่กล้าเลือก กล้ายืนหยัด
 และ กล้ายืดหยุ่นที่จะเรียนรู้และเติบโต

7. ‘คำว่า ผู้ให้ กับ ผู้รับ สามารถสลับกันได้ตลอดเวลา’
...ไม่มียุคใดในโลก ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยน
เป็นผู้ให้ได้อย่างง่ายดายเท่าโลกยุคนี้
..ผู้รับยุคนี้ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ได้ทันที

ให้แรง ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้ความสนุก

เคล็ดลับของผู้ให้ ก็คือ คนที่จะก้าวไปเป็นผู้นำ
ผู้ได้รับโอกาส ความสำเร็จ และ ได้รับความสุข

8. ‘คำว่า สำเร็จเร็ว หรือ ช้า ไม่ได้มีความหมายจริงๆ กับชีวิต’
...ยุคนี้เราให้ความสำคัญกับความเร็ว
..สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ทุกอย่างเร็ว
โดยลืมคิดไปว่า ชีวิตเราจริงๆ เป็นวงกลม
ป็นวัฏจักร ไม่ได้เป็นเส้นตรง

ไม่ว่าคนรวย คนจน คนมีชื่อเสียง
คนไม่มีชื่อเสียง ก็ล้วนมี ปัญหา
และ ความสุข ในแบบของตัวเอง

คนที่ไม่มีความสุขเลย คือ
คนที่พยายามเอาวัฏจักรชีวิตของตัวเรา
ไปเทียบกับคนอื่น เพราะ โอกาสและข้อจำกัด
ในแต่ละช่วงชีวิต ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ลองเปิดใจ แล้วทำความเข้าใจ
วัฏจักรโอกาส และข้อจำกัด
ชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่า เราใช้ชีวิต
มีความสุขมากขึ้น เราสนุกและเราสำเร็จ
ในแบบของเราเอง

ไม่มีคนเก่งที่สุด - ไม่มีคนรวยที่สุด
- ไม่มีคนทุกข์ที่สุด - ไม่มีคนสุขที่สุด
คนที่อำนาจสูงสุด ก็คือ คนไร้อำนาจที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ...หากเข้าใจ เราจะเลือกใช้ชีวิต
ด้วยปัญญา ในจุดดีที่สุด ในจุดที่เราเลือกยืน !!

แหล่งที่มา   :  Facebook ภาววิทย์ กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

10 พฤติกรรมเสี่ยงดื้อยา

1. กินยาปฏิชีวะบ่อยครั้ง
2. กินยาปฏิชีวะโดยไม่แยกแยะว่าเป็น
โรคจากไวรัสหรือแบคทีเรีย
3. กินยาปฏิชีวะที่ออกฤทธิ์กว้างเกินความจำเป็น
4. เมื่อติดเชื้อแบคทีเรีย กินยาปฏิชีวะไม่ครบตามระยะเวลา
5. เคยกินยาปฏิชีวะด้วยความคิดว่า กินกันไว้ก่อน
6. เคยใช้ยาอมผสมยาปฏิชีวะ
7. เคยขอยาปฏิชีวะจากผู้อื่น หรือแบ่งยาให้ผู้อื่นกิน
8. เคยทำตัวเป็นหมอ ด้วยการแนะนำยาปฏิชีวะให้ผู้อื่น
9. เคยซื้อยาปฏิชีวนะกันเอง เมื่อไม่หายจึงไปพบแพทย์
10. เคยขอยาปฏิชีวะจากแพทย์ และไม่พอใจเมื่อแพทย์
อธิบายว่าไม่จำเป็นต้องใช้

ที่มา  :  ผศ.นพ.พิสนธิ์  จงตระกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospita

ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ห่างไกล...โรคมะเร็งหลอดอาหาร

ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ห่างไกล
โรคมะเร็งหลอดอาหาร

01 งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

02 รับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน
กินเนื้อแดงปริมาณพอเหมาะ
รับประทานผักผลไม้สด
ให้เพียงพอสม่ำเสมอ

03 หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
อาหารหมักดอง อาหารใส่สารปรุงแต่ง

04 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร
หรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัด รอให้เย็นก่อน

05 ออกกำลังกาย รักษาน้ำหนัก
อย่าให้อ้วน อย่าให้ลงพุง

06 หากมีอาการผิดปกติ เกี่ยวกับ
การกลืน ให้รีบปรึกษาแพทย์

ที่มา  :  อ.นพ.ปิยะพันธ์  พฤกษพานิช

แหล่งที่มา : Line chulahospita

F A S T...สัญญ่าณโรคหลอดเลือดสมอง

F A S T
สัญญ่าณโรคหลอดเลือดสมอง

ต้องรีบพบแพทย์
หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีทันใด

Face
ปากเบี้ยวเวลายิ้มมุมปากข้างหนึ่งตก

Arm
ยกแขนไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง

Speech
พูดลำบาก พูดไม่ชัด หรือพูดไม่ได้

Time
หากมีอาการให้รีบนำส่ง
โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ที่มา  :  ศ.พญ.นิจศรี  ชาญณรงค์ สุวรรณเวลา
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคหลอดเลือดสมอง
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

แหล่งที่มา : Line chulahospita

โรคหืดโรคใกล้ตัวที่ควรรู้จัก

โรคหืด คือ
การอักเสบเรื้อรังในทางเดินหายใจส่วนล่าง
หรือหลอดลม เนื่องจากมีเซลล์อักเสบเข้ามา
อยู่ในเยื่อบุหลอดลม เนื่องจากได้รับการ
กระตุ้นบางอย่าง เช่น ภาวะภูมิแพ้

อาการ
- ไอ
- หอบเหนื่อย
- มีเสมหะมาก
- ได้ยินเสียงวี้ดในปอด

มีอาการเป็นช่วงๆ เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้
เช่น ฝุ่น สัตว์เลี้ยงหรือบางภาวะ เช่น
การติดเชื้อหวัด อุณหภูมิหรือความชึ้น
ของอากาศเปลี่ยน

หากมีอาการสงสัยว่าอาจเป็นโรคหืด
ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรัลการรักษาที่เหมาะสม

ที่มา  :  รศ.นพ.ฉันชาย  สิทธิพันธุ์

แหล่งที่มา : Line chulahospita

โรคหืดรักษาไม่หายขาด...แต่ควบคุมได้

แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคหืด
1. ยืนยันการวินิจฉัย
เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

2. ประเมินความรุนแรงของโรค
เพื่อประเมินการรักษาและระดับ
ความสามารถของปอด

3. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำ
ให้อาการกำเริบ

4. การใช้ยา
เพื่อควบคุมอาการของโรค
มีหลักการดังนี้

- กาหรือสูรใช้ยาแบบพ่น
หรือสูดจะดีกว่าการรับประทานยา

- มีการปรับหรือลดยา
ตามอาการของผู้ป่วย

- การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
ตามคำแนะนำของแพทย์

โรคหืดเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคหืด
หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ควบคุมอาการได้
และใช้ชีวิตได้ปกติ

ที่มา  :  รศ.นพ.ฉันชาย  สิทธิพันธุ์

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

10 อาชีพที่ทำรายได้สูงที่สุดในยุคนี้ ...รีบฝึก !!

1. ทักษะการใช้ภาษาที่สาม 
..ยุคก่อนเขาให้ค่าคนที่พูดภาษาอังกฤษได้
แต่วันนี้ภาษาอังกฤษเป็นเพียงพื้นฐานที่ต้องมี
..เขาจึงให้ค่าภาษาที่สาม

2. ทักษะการทำงานร่วมกับมนุษย์
 ..ยุคนี้คนคุ้นเคยกับเครื่องจักรมากกว่ามนุษย์
ทักษะการทำงานปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จึงมีค่ามากขึ้น
..นี่คือ การติดต่อ ประสาน และการทำงานกับคน

3. ทักษะความเชี่ยวชาญ
 ..เรียนสาขาไหนเริ่มไม่สำคัญเท่าเชี่ยวชาญอะไร
 ..ยิ่งเชี่ยวชาญรายได้ยิ่งเพิ่ม

4. ทักษะความเป็นผู้นำ
 ..ยุคนี้สังคมเต็มไปด้วยผู้ตาม
เราถูกสอนให้คิดตาม ทำตาม เดินตาม
 ..วันนี้บริษัทต่างๆ จึงหันมาให้รางวัลกับคนที่กล้าเดินนำ คิดนำ

5. ทักษะการใช้ออนไลน์
 ..พูดถึงออนไลน์คือการประหยัดต้นทุน
รวมทั้งการเพิ่มโอกาสในทุกงานที่ทำ
 ..การรู้วิธีนำออนไลน์มาใช้ปรับปรุงงานที่ทำจึงมีคุณค่า

6. ทักษะการพูดในที่สาธารณะ
 ..อันนี้คือเรื่องน่าอึดอัดสำหรับคนส่วนใหญ่
มันจึงเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้และแยกเราให้แตกต่าง

7. ทักษะการพัฒนาความรู้ตัวเอง
..คนทั่วไปเมื่อเรียนจบจะหยุดเรียนรู้ทันที
เหมือนคอมพิวเตอร์ท่ีไม่เคย upgrade software
โคตรล้าสมัย ..ยุคนี้จึงให้ค่ากับคนที่รู้จักวิธีพัฒนาความรู้ตัวเอง

8. ทักษะการขาย
..การขายไม่เคยมีสอนในโรงเรียน
แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการทำงานหาเงิน
..คนฉลาดจะฝึกขายของตั้งแต่ยังเด็ก
 ให้มันซึมซาบเข้าเส้น

9. ทักษะการฟัง
 ..สิ่งที่คนส่วนใหญ่ขาดในยุคนี้
คือความสามารถในการฟัง
.ไม่มีใครทนฟังใครแล้ว
 ..การตั้งใจฟัง จึงเป็นทักษะที่สร้างเสน่ห์
แล้วนำมาซึ่งความโดดเด่นให้คนที่รู้จักฟัง

10. ทักษะการตั้งเป้าหมายการเงิน
 ..อันนี้ก็ไม่เคยมีสอนในโรงเรียน
คนส่วนใหญ่เรียนจบมาตามอาชีพ
แต่ไม่รู้วิธีตั้งเป้าหมายการเงินเลย
มัวแต่คิดว่าทำงานให้ดีเดี๋ยวก้าวหน้าเงินมาเอง
 (มีแต่หนี้เท่านั้นที่จะมาเอง ท่องไว้เลย)

..หมดยุคแล้วที่การทำงานเรื่อยๆ จะพาเราไปสู่ชีวิตที่ดี
 - ยุคนี้ต้องฝึกตั้งเป้าหมายการเงินให้ตัวเอง
ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน และปรับเปลี่ยนเป้าหมาย
ตามความจริง เช่น ภายใน 5 ปีจะออมในหุ้น
ให้มี Passive Income จากหุ้นที่ออมเดือนละ 20,000 บาท เป็นต้น

แหล่งที่มา   :   Facebook Play & Learn เพลิน Kids  31 สิงหาคม ·2561

7 Q !!!

ศัพท์ฮิตติดหูเกี่ยวกับตัว Q ทั้ง 7 ตัวคือ
IQ EQ CQ MQ PQ AQ และ SQ

1. IQ (Intelligence Quotient) 
ความฉลาดทางสติปัญญา
เป็นความสามารถในการคิด
วิเคราะห์ การคำนวณ และการใช้เหตุผล

2. EQ (Emotional Quotient) 
ความฉลาดทางอารมณ์
เป็นความสามารถในการรับรู้
เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น
สามารถควบคุม อารมณ์และ
ยับยั้งชั่งใจตนเองและแสดงออก
อย่างเหมาะสม รู้จักเอาใจเขามา
ใส่ใจเรา รู้จักรอคอย รู้จักกฎเกณ
ฑ์ระเบียบวินัย มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส
และ มองโลกในแง่ดี การเจริญ
พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา
และอุเบกขา) จะช่วยเสริม EQ ได้ดี

3. CQ (Creativity Quotient) 
ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์
มีความคิด จินตนาการหรือแนวคิดใหม่ๆ
ในรูปแบบต่างๆ เช่น การละเล่น งานศิลปะ
และการประดิษฐ์สิ่งของ นักวิจัยพบว่า
การเล่นและทำกิจกรรมที่ส่งเสริมจินตนาการ
เช่น การเล่นศิลปะ การหยิบจับของใกล้ตัวมา
เป็นของเล่น การเล่านิทาน เป็นต้น
จะทำให้มี CQ ดี

4. MQ (Moral Quotient) 
ความฉลาดทางศีลธรรม จริยธรรม
คือมีความประพฤติดี รู้จักผิดชอบ
มีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มีจริยธรรม
เป็นแนวคิดที่มุ่งตอบคำถามว่า
การที่เรามีคนที่ IQ ดี EQ สูง
แต่ถ้ามีระดับจริยธรรมต่ำก็อาจ
ใช้ความฉลาดไปในทางที่
ไม่ถูกต้องก็เป็นได้ MQ
จึงเน้นเรื่องการปลูกฝัง
ความดีงามซึ่งตรงกับ
หลักศาสนาหลายศาสนา
ที่สอนให้คนเป็นคนดี

5. PQ (Play Quotient) 
ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น
เกิดจากความเชื่อที่ว่าการเล่นพัฒนา
ความสามารถของเด็กได้หลายด้าน
ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย ความเฉลียวฉลาด
ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์และสังคม PQ
จึงเน้นให้พ่อแม่เล่นกับลูก ถึงกับมีคำพูด
ที่ว่าพ่อแม่เป็น อุปกรณ์การเล่นที่ดีที่สุดของลูก

6. AQ (Adversity Quotient) 
ความฉลาดในการแก้ไขปัญหา
คือมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัว
ในการเผชิญปัญหาได้ดี และพยายาม
เอาชนะอุปสรรคความยากลำบาก
ด้วยตัวเอง ไม่ย่อท้อง่ายๆ มองปัญหา
เป็นเรื่องท้าทาย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องจำนน

7. SQ (Social Quotient) 
ความฉลาดทางสังคม
ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น
เพราะมนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้
ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมสังคมด้วยกัน
ไม่คิดว่าตนเองเหนือกว่าใคร ต้องมีใจ
เปิดกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
อีกทั้งต้องไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ท้ายสุดนี้อยากจะบอกว่า
ปัจจุบันนักวิจัยยืนยันว่า IQ 
มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในชีวิต 
เช่น การทำงาน การเรียนแค่ 20% เท่านั้น 

ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือแต่เพียงระดับ
ความฉลาดของสติปัญญา (ทางโลก) เท่านั้น

เครดิต...ดร.พิสัณห์ สัน นุ่นเกลี้ยง

แหล่งที่มา  : Facebook Play & Learn เพลิน Kids  23 ตุลาคม เวลา 20:59 น. ·

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

10 สัญญานในร่างกาย ที่จะบอกว่าคุณเป็นโรค

1. ริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า >> โรคกระดูกพรุน

2. เล็บขาว เล็บเป็นร่อง เล็บสีเขียวคล้ำ >> ตับและไตผิดปกติ โรคหืด โรคถุงลมโปรงพอง

3. เท้าบวม >> โรคหัวใจ

4. ปากเหม็น >> หัวใจและกระดูกผิดปกติ

5. ปื้นสีดำหลังคอ >> โรคเบาหวาน

6. ผื่นผีเสื้อบนใบหน้า >> โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง (SLEหรือโรคพุ่มพวง)

7. ผมร่วงมาก >> ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ

8. ริมฝีปากแห้ง >> โรคภูมิแพ้ และโรคโจเกรม (หนึ่งในโรคแพ้ภูมิตัวเอง/SLE)

9. ตาเหลือง >> โรคตับ รวมถึงถุงน้ำดีผิกปกติ

10. ไฝ่เปลี่ยนสี มีขนาดใหญ่ >> โรคมะเร็งผิวหนัง

แหล่งที่มา : Facebook นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วัคซีนสำหรับผู้สูงวัย ... เรื่องใกล้ตัว

การได้รับวัคซีนในวัยเด็กนั้น
ไม่สามารถป้องกันโรค
ได้ตลอดชีวิตอีกแล้ว

ผู้สูงวัยหลายคนอาจไม่เคยได้รับ
วัคซีนบางตัวมาก่อนเพราะตอน
ท่านยังเด็กนั้น ยังไม่มีวัคซีน
ป้องกันโรคต่างๆ ที่ดีพอ

อีกทั้งภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีน
อาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
จึงจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นใหม่หรือ
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายอ่อนแอลง
และโอกาสการติดเชื้อก่อโรคมากขึ้น
เช่น ไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ
จากเชื้อแบคทีเรียสูงขึ้น

ดังนั้นในผู้สูงอายุโดยทั่วไป
ก็มีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีน
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกัน
โรคที่มีความเสี่ยง มีผลกระทบ
กับสุขภาพได้เช่นเดียวกัน

ปัจจุบันการให้วัคซีนป้องกันโรค
สําหรับผู้สูงอายุนั้นมีความสำคัญ
และรณรงค์ให้เข้าถึงและฉีดมากขึ้น

คำแนะนำการให้วัคซีน
ป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่และ
ผู้สูงอายุของราชวิทยาลัย
อายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2557 ได้แนะนำวัคซีน
ที่ควรได้รับ สำหรับผู้ที่มีอายุ
มากกว่า 65 ปีขึ้นไปไว้ดังนี้

1.วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)

การเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุพบว่า
จะมีอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูง
และเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
ไข้หวัดใหญ่สูงมากขึ้น รวมทั้งอัตราการ
เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ก็สูงที่สุดในผู้สูงอายุ

การให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่
ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น

ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมีการแพร่กระจาย
ตลอดทั้งปี แต่เพิ่มมากในช่วงฤดูฝนการ
ดังนั้นการให้วัคซีนควรให้ในช่วงก่อน
มีการระบาดในแต่ละปีซึ่งในประเทศไทย
ควรเริ่มให้วัคซีนก่อนช่วงฤดูฝนราวๆ
เมษายนถึงพฤษภาคม ที่พิเศษคือ
จำเป็นต้องฉีดทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
ตามการคาดการณ์ถึงสายพันธุ์
ที่อาจระบาดในปีนั้นๆครับ

ห้ามฉีดในผู้ที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง
เพราะไข่เป็นส่วนหนึ่งในขบวน
การผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั่นเองครับ

2.วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก 
(Tetanus vaccine) และ
โรคคอตีบ (Diphtheria vaccine)

ปัจจุบันพบว่าอัตราตายจากโรคนี้จะเพิ่มสูงขึ้น
ในผู้ป่วยที่สูงอายุ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคบาดทะยัก
ส่วนใหญ่มักไม่มีประวัติรับวัคซีนป้องกัน
โรคมาก่อนครับ หรือแม้ว่าเคยได้ครบ
แต่ก็ได้รับวัคซีนครั้งสุดท้ายมานาน
กว่า 10 ปี โดยพบว่าภูมิคุ้มกัน
โรคบาดทะยักมีแนวโน้มจะตก
ลดลงในช่วงวัยทำงาน วัยกลางคน

การให้วัคซีนทุก 10 ปี
ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันดีขึ้น
ในผู้สูงอายุได้มากทางหนึ่ง

ขณะเดียวกันก็พบว่าสามารถ
ลดความรุนแรงในกรณีที่เกิด
โรคบาดทะยักได้ ในปัจจุบัน
จึงมีการให้วัคซีนป้องกัน
โรคบาดทะยักและโรคคอตีบ
(tetanus diphtheria toxoid :Tdap)
แบบผสมกระตุ้น 1 ครั้งในผู้สูงวัย
และกระตุ้นด้วยวัคซีนบาดทะยัก
อีกทุกๆ 10 ปีครับ

3. วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine)

วัคซีนนี้ให้ความคุ้มครองจากการติดเชื้อตับอักเสบบี
เป็นระยะยาวอาจถึงตลอดชีวิตได้ ดังนั้นผู้สูงอายุ
ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี
มาก่อนหรือไม่แน่ใจควรได้รับการฉีดวัคซีนนี้

มันช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ที่เป็นอันตรายทำให้ตับแข็งและเป็นมะเร็งตับได้ด้วย

4.วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส
ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคติดเชื้อ
ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคเรื้อรัง
ผู้สูงอายุ (มากกว่า 65ปี) ผู้ที่ไม่มีม้าม

ดยแนะนำให้ฉีด 1 ครั้ง ในช่วงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป
ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านก่อนฉีดยาด้วย

5.วัคซีนงูสวัด (Zoster Vaccine)

หมอแนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่มีความเสี่ยงต่อ
การเกิดและภาวะแทรกซ้อนโรคงูสวัดได้
มากกว่าวัยอื่นๆ

เชื้องูสวัดนั้นคือเชื้อตัวเดียวกับ
ที่เกิดโรคสุกใสนั่นเองซึ่งหลัง
จากหายแล้วมันจะหลบอยู่
ในร่างกายเรา วันดีคืนดี
ร่างกายเราภูมิคุ้มกันลดลง
อ่อนแอลง เชื้อมันจะกำเริบ
ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งวัคซีนจะ
ช่วยป้องกันและลดภาวะ
แทรกซ้อนจากตัวโรค
ได้มากเลยทีเดียว

ดังนั้นจะเห็นว่าการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ
มีความจำเป็นอย่างมาก

ช่วยลดความเสี่ยง
ช่วยลดความรุนแรง
ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆได้อย่างมาก

ดังนั้นการมีความรู้เกี่ยวกับวัคซีน
จะทำให้ผู้สูงอายุเข้าใจและเห็นถึง
ความสำคัญในการฉีดวัคซีนและ
ได้รับการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม

อีกทั้งยังเป็นการลดค่าใช้จ่าย
ที่ต้องสูญเสียจากการเกิด
รคที่อาจเกิดขึ้นด้วยนะครับ

ป้องกันไว้ ... ย่อมดีกว่า

ขอขอบคุณคำแนะนำจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย 
www.cherseryhome.com

แหล่งที่มา   :   Facebook รู้ก่อนลืมแก่กับหมอเก่ง 
นพ.เก่งพงศ์ ตั้งอารุณสันติ (หมอเก่ง) อายุรแพทย์)

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ผู้มีภาวะหัวใจล้มเหลวใช้ชีวิตอย่างไรให้มีสุข

ผู้มีภาวะหัวใจล้มเหลว
ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีสุข

- หมั่นสังเกตอาการตนเอง
- ชั่งน้ำหนักทุกวัน
- ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
- รับประทานยาให้ถูกต้องสม่ำเสมอ
- ห่างไกลจากโซเดียม
ตัดใจจากความเค็ม
รับประทานโซเดียมได้ไม่เกิน
2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
(เกลือ 1 ช้อนชา)

- ออกกำลังอย่างพอดี
- ห้ามสูบบุหรี่ หรือ
ดื่มแอลกฮอล์
- มาตรวจตามนัดแพทย์ทุกครั้ง

ที่มา  :  อ.นพ.เอกราช  อธิยะชัยพาณิชย์

แหล่งที่มา
: Line chulahospita

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ใช้สมาร์ทโฟนมากไปเสี่ยงโรคนิ้วล็อค

ใช้สมาร์ทโฟนมากไป
เสี่ยงโรคนิ้วล็อค

โรคนิ้วล็อคเป็นภาวะที่มีสาเหตุ
เกิดจากการหนาตัวขึ้นของปลอก
หุ้มเส้นเอ็นบริเวณฐานของนิ้วมือ

ทำให้เส้นเอ็นเคลื่อนผ่านปลอก
หุ้มเส้นเอ็น เส้นเอ็นที่หนาขึนนี้
ด้วยความยากลำบาก มีการเสียดสี
ทำให้เกิดอาการปวด หรือติดล็อคได้

พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ในช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี

การรักษา
1. การใช้ยารับประทาน
เพื่อลดการอักเสบ ลดบวม
และลดอาการปวด
ร่วมกับพักการใช้มือ

2. การใช้วิธีทางกายภาพบำบัด
ได้แก่ การใช้เครื่องดามนิ้วมือ
การนวดเบาๆ กายภาพบำบัดอาจใช้ร่วมกันได้
และมักใช้ได้ผลดีเมื่อมีอาการของโรค
ในระยะแรกและระยะที่สอง

3. การฉีดยาเตียรอยด์เฉพาะที่
เพื่อลดการอักเสบ ลดปวดและลดบวม
เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก
ส่วนมากมักจะหายเจ็บ บางรายอาการติดสะดุด
จะดีขึ้น แต่การฉีดยามักถือว่าเป็นการรักษาแบบชั่วคราว
และข้อจำกัดก็คือ ไม่ควรฉีดยาเกิน 2 หรือ
3 ครั้งต่อ 1 นิ้วที่เป็นโรค การรักษาโดย
การฉีดยานี้สามารถใชได้กับอาการของโรค
ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะสุดท้าย

4. การรักษาโดยการผ่าตัด 
ถือว่าเป็นการรักษาดีที่สุด
ในแง่ที่จะไม่ทำให้กลับมาเป็นโรคอีก

ปัจจุบันโรคนี้พบบ่อยขึ้นในยุคสังคมออนไลน์
เนื่องจากการเล่นสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานเกินไป

นอกจากนี้ในกลุ่มผู้ที่ใช้งานมือ
ในลักษณะเกร็งนิ้วบ่อยๆ
เช่น การทำงานบ้านต่างๆ การบิดผ้า
การหิ้วของหนัก การใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้
ตัดผ้า ก็จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงภาวะนิ้วล็อคเช่นกัน

ที่มา  :  ผศ.นพ.ทวี  ภัทราดูลย์

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กลุ่มเสี่ยงที่ควรรับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกเพื่อเช็คภาวะกระดูก

กลุ่มเสี่ยงที่ควรรับการตรวจ
ความหนาแน่นของกระดูก
เพื่อเช็คภาวะกระดูก

- ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
และผู้ชายอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป

- ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี
ซึ่งหมายถึงรวมผู้ที่ถูกตัดรังไข่ทั้งสองข้าง

- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักตัวน้อย
(มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร)

- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีส่วนสูง
ลดลงตั้งแต่ 4 เซ็นติเมตรขึ้นไป

- ผู้ที่มีประวัติกระดูกหัก
จากภยันตรายแบบไม่รุนแรง

- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
ที่ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง

- ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการรักษาด้วย
aromatase Inhibitors หรือผู้ป่วย
มะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้รับการรักษา
ด้วย androgen deprivation therapy

- ตรวจพบภาวะกระดูกบางหรือ
กระดูกสันหลังยุบจากภาพถ่ายรังสี

ที่มา  :  ผศ.พญ.คนึงนิจ  กิ่งเพชร

แหล่งที่มา : Line chulahospita

ดูแลฟันอย่างไรหลังไปรักษารากฟัน

ดูแลฟันอย่างไร
หลังไปรักษารากฟัน

1. ควรหลีกเลี่ยงการบดเคี้ยวอาหาร
ลักษณะแข็งบริเวณฟันที่ได้รับการรักษา
เนื่องจากฟันซี่นั้นอาจจะไม่แข็งแรงเท่าเดิม

2. ควรทำความสะอาดด้วยการแปรงฟัน
และการใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี

3. กรณีวัสดุอุดชั่วคราวหลุด
หรือมีจุดสบสูงให้กลับมาพบทันตแพทย์

4. หากมีอาการผิดปกติ เช่น
มีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด
ให้กลับมาพบทันตแพทยฺ์ เพื่อ
ตรวจเช็คสภาพฟันอีกครั้ง

ที่มา  :  ทพญ. ธตินิตา  ณรงค์เดช

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ภาวะกระดูกพรุน ภัยเงียบใกล้ตัว

ภาวะกระดูกพรุน 
ภัยเงียบใกล้ตัว

ภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis)
เป็นภาวะที่มีความหนาแน่นของ
เนื้อกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูก
ขาดความแข็งแรง ทำให้กระดูก
แตกหักได้ง่าย แม้เกิดอุบัติเหตุ
เพียงเล็กน้อย

บริเวณที่พบกระดูกหักจาก
ภาวะกระดูกพรุนได้บ่อย
ได้แก่ บริเวณกระดูกข้อมือ
กระดูกหลัง และกระดูกสะโพก

อาการ
- ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้ามาก่อน
- อาการของโรคมักค่อยๆ เกิดขึ้น
โดยที่เราไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่น
   * รู้สึกปวดตามบริเวณเอว หลัง ข้อมูล
   * เริ่มมีรูปร่างเปลี่ยนไป เช่น
หลังโก่ง ไหล่งุ้ม หรือเตี้ยลง เป็นต้น
- ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่ามีกระดูกพรุน
ก็ต่อเมื่อเกิดกระดูกหักเสียแล้ว
- บางรายเกิดการหักที่บริเวณกระดูกสะโพก
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความพิการได้
และอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
ตามมาอีกมากมาย

ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงควรป้องกัน
หรือรีบรักษาภาวะกระดูกพรุน
ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น เพื่อป้องกัน
ไม่ให้มีกระดูกหักเกิดขึ้น

ที่มา  :  ผศ.พญ. คนึงนิจ  กิ่งเพชร

แหล่งที่มา : Line chulahospita

ข้อเท็จจริงที่ควรใส่ใจเกี่ยวกับการบริจาคนมแม่

ข้อเท็จจริงที่ควรใส่ใจเกี่ยวกับการบริจาคนมแม่

- ชีววัตถุ
เช่น เลือด อวัยวะ น้ำนมแม่
สิ่งคัดหลั่งที่ออกจากมนุษย์
จะถูกนำไปใช้ทางการแพทย์
ในกรณีที่จำเป็น ที่ไม่สามารถ
หาสิ่งอื่นมาทดแทนได้

- น้ำนมแม่
ถือว่าเป็นชีววัตถุซึ่งสามารถ
แพร่โรคจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งได้

- น้ำนมแม่ เลือด หรือชีววัตถุ
ที่บริจาคต้องตรวจทุกครั้งที่บริจาค

- การตรวจครั้งที่ผ่านมาว่าปกติ
ไม่ได้บอกว่าวันนี้จะปกติ

- ค่าใช้จ่ายสูง
เพราะต้องตรวจหาเชื้อไวรัส เช่น
HIV  HCV  HBV รวมถึงโครงสร้าง
ทางพันธุกรรม เช่น DNA  RNA

- มีโรคอีกมากที่ไม่ได้ตรวจ หรือไม่
สามารถตรวจได้ด้วยเทคนิคปัจจุบัน

- บางโรคตรวจสอบได้ยาก และยังมี
โรคที่ไม่รู้ หรืออาจจะรู้ทีหลังเกิดขึ้นได้อีก

- คนที่แข็งแรงดี ไม่ได้เป็นการรับประกัน
จุลชีพที่อยู่ในร่างกาย และยังไม่แสดงอาการ

- ในมนุษย์มีเชื้อโรค หรือโรคซ่อนเร้น
ที่ทราบและไม่ทราบอีกเป็นจำนวนมาก

- ระหว่างปั๊มนมอาจจะมีบาดแผลเล็กน้อย
ที่มีเลือดซึมออกมาได้ ซึ่งเป็นเหตุแห่ง
การแพร่เชื้อได้

นมแม่ที่ดีที่สุดจะต้องเป็น
"แม่ใครแม่มัน ไม่มีการให้
กันเองโดยเด็ดขาด" นอกจาก
มีธนาคารนมแบบธนาคารเลือด
ที่มีมาตรฐานและปลอดภัย

ที่มา  :  ศ.นพ.ยง  ภู่วรวรรณ

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ห่างไกล "โรคนิ่วในถุงน้ำดี"

ปฏิบัติตัวอย่างไรให้ห่างไกล
"โรคนิ่วในถุงน้ำดี"

รับประทานผักผลไม้
ในปริมาณพอเหมาะ
อย่างสม่ำเสมอ

ออกกำลังกาย
อย่างสม่ำเสมอ

ในผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ไม่ควรลดน้ำหนักรวดเร็วเกินไป

ควบคุมไมให้น้ำหนักเกิน
ไม่ให้อ้วนลงพุง

ที่มา  :  อ.นพ.ปิยะพันธ์  พฤษพานิช

แหล่งที่มา : Line chulahospita

เปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์

ปัจจุบันปัญหาขยะล้นเมือง
ถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย

ซึ่งผลสำรวจพบว่าปัจจุบันประเทศไทย
มีขยะเกิดขึ้นประมาณ 41,532 ตันต่อวัน
หรือมากกว่า 15 ล้านตันต่อปี

โดยร้อยละ 30 เป็นขยะที่นำไปรีไซเคิลได้
แต่กลับมีการรีไซเคิลนำมาใช้ประโยชน์จริง
เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น

ขยะแบบไหนที่เราสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้บ้าง

1.ขยะประเภทพลาสติก 
ขวดแก้วสี ควรแยกประเภทอย่างชัดเจน
เช่น ขวดพลาสติกและขวดแก้วสี 
เนื่องจากขวดแก้วสีสามารถขายได้ราคาดีกว่า

2. ขยะประเภทกระป๋องเครื่องดื่ม 
กระป๋องโลหะ ควรเก็บล้างทำความสะอาด
แล้วนำไปขายเพิ่มรายได้

3. ขยะประเภทกระดาษขาว กระดาษสี 
กระดาษหนังสือพิมพ์หรือเศษกระดาษ 
ขยะประเภทนี้จะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น
หากมีการคัดแยกประเภทกระดาษต่างๆ
ออกจากกัน สามารถใช้เป็นกระดาษพิมพ์
อักษรเบลให้กับผู้พิการทางสายตา
และนำไปขายสร้างรายได้

4. ขยะประเภทเศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ 
มีประโยชน์มากมาย เช่น ทำน้ำหมักชีวภาพ
ใช้เป็นปุ๋ยให้แก่พืช ผสมน้ำยาล้าง
ทำความสะอาดพื้นใส่ในท่อระบายน้ำ
ช่วยบำบัดน้ำเสีย และยังสามารถหมักทำปุ๋ย
ใช้เป็นปุ๋ยในการปลูกพืช ปลูกผัก
บำรุงพืชบำรุงดินเป็นอย่างดี

5. ขยะประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ 
หากชำรุด ควรซ่อมแซม นำกลับไปใช้ใหม่ได้
หรือบริจาคให้แก่มูลนิธิหรือวัด เพื่อนำไปใช้
ประโยชน์ต่อไป หรือแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือที่เสียแล้ว
ควรรวบรวมไว้ส่งคืนบริษัทที่รับคืนผลิตภัณฑ์
หรือที่จุดรับรวบรวมทิ้งขยะดังกล่าว

6. ขยะประเภทนำกลับมาใช้ซ้ำ 
หรือดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้ 
เช่น กระป๋อง กล่องโลหะ ถังพลาสติก
สามารถนำมาทำเป็นวัสดุสำหรับใส่สิ่งของเครื่องใช้ เป็นต้น     

เพียงเท่านี้เราก็สามารถช่วยลดปริมาณขยะ
หรือมลพิษต่างๆ ที่จะเกิดตามมาในอนาคตได้
เพื่อนๆ ลองนำไปใช้กันนะคะ เพื่อโลกของเราจะได้น่าอยู่ขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : บทความ สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม

แหล่งที่มา  : จาก SOOK By สสส.

เคล็ดไม่ลับเพื่ออายุยืน

ยืนขาเดียวทุกๆ เช้า
เป็นการสร้างความสมดุลของร่างกาย
เมื่อสูงวัยจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุ
จากการหกล้ม

มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
คนที่มีเพศสัมพันธ์น้อยกว่าเดือนละครั้ง
มีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงสองเท่า

งดใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลา 7.00 - 9.00 น.
ครีมกันแดดจะเคลือบผิวหนัง
ทำให้วิตามินดีจากแสงแดด
ไม่ซึมเข้าสู่ผิว ส่งผลให้เกิด
โรคกระดูกพรุนและโรคหัวใจ

หัวเราะอย่างน้อยวันละ 20 ครั้ง
เป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
ลดฮอร์โมนความเครียด
เพิ่มระดับทีเซลล์ ช่วยป้องกัน
และต่อสู้กับโรคมะเร็ง

ร้องเพลงขณะอาบน้ำ
การร้องเพลงจะช่วยลดความเครียด
ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้า

แหล่งที่มา   :  Facebook นิตยสารชีวจิต

15 ตุลาคม วันล้างมือโลก (Global Handwashing Day)

วันล้างมือโลก (Global Handwashing Day)
ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี 

เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนทั่วไปตระหนัก
และเข้าใจถึงความสำคัญของการล้างมือด้วยสบู่

เพราะการล้างมือด้วยสบู่นั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ที่จะช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิต

เชื่อว่าสุขภาพดีต้องเริ่มจากการดูแลตัวเองเล็กๆ น้อย
วันนี้จึงมีท่าล้างมือง่ายๆ 7 ท่ามาฝากกัน

1. ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกัน
2. ใช้ฝ่ามือถูฝ่ามือและซอกนิ้ว
3. ใช้ฝ่ามือถูหลังมือและซอกนิ้ว
4. ใช้หลังนิ้วถูฝ่ามือ
5. ถูรอบนิ้วหัวแม่มือ
6. ใช้ปลายนิ้วถูฝ่ามือ
7. ใช้ฝ่ามือถูข้อมืออีกข้าง

แหล่งที่มา   :  Facebook KBank Live

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สัญญาณอันตรายได้เวลารักษารากฟัน

1. มีอาการปวดตุ๊บๆ ตามจังหวะชีพจร
2. เจ็บฟันเวลาเคี้ยวหรือกัดอาหาร
3. มีอาการปวด และบวมของเหงือกติดเชื้อ
4. มีอาการปวดเมื่อฟันกระทบกัน
5. ปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ
6. ปวดตอนนอนเวลากลางคืน
7. ปวดขึ้นเองแม้ไม่มีสิ่งกระตุ้น
เช่น น้ำเย็นหรือของหวาน

หากมีอาการเหล่านี้ควรไปพบ
ทันตแพทย์เพื่อรับการรักษา

ที่มา  :  ทพญ. ธนิตา  ณรงค์เดช

แหล่งที่มา : Line chulahospita

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อันตรายของยา "กลุ่มเอ็นเสด" ที่ต้องรู้ก่อนใช้

ไต
ไตเสื่อม ไตวาย
อาจถึงต้องไปฟอกไต

หัวใจ
หลอดเลือดหัวใจอุดตัน
กล้ามเนื้อหัวใจตาย
และเสียชีวิตได้อย่างฉับพลัน

สมอง
หลอดเลือดสมองอุดตัน
เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
พิการ หรือเสียชีวิต

กระเพาะอาหาร
เป็นแผล ปวดท้อง แสบท้อง
อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ
กระเพาะทะลุ และเสียชีวิตได้

ตับ
ตับอักเสบ ตาเหลือง
ตัวเหลือง ตับวาย
อาจเสียชีวิตได้

หลอดลม
คนเป็นหอบหืดบางคน
หลอดลมตีบ และ หายใจไม่ออก

ที่มา  :  ผศ.นพ.พิสนธิ์  จงตระกูล

แหล่งที่มา : Line chulahospita

อาการแบบนี้บ่งชี้โรคนิ้วล็อค

ระยะที่ 1 มีอาการปวด
เป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวด
บริเวณโคนนิ้วมือ จะมีอาการปวดมากขึ้น
ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า
แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด

ระยะที่ 2 มีอาการสะดุด (triggering)
เป็นอาการหลัก แต่อาการปวดก็มักจะ
เพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้วงด
และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้

ระยะที่ 3 มีอาการติดล็อค
เป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว
จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้
ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ หรืออาจมี
อาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เง

ระยะที่ 4 มีการอักเสบบวมมาก
จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย
ไม่สามารถเหยียบให้ตรงได้
ถ้าใช้มืมาช่วยเหยียดจะปวดมาก

ที่มา  :  ผศ.นพ.กวี  ภัทราดูลย์

แหล่งที่มา : Line chulahospita

เสียงระฆังไม่ดังเท่าคนข้างๆ กรน

อาจทำให้เกิด
- ความดันเลือดสูง
- เส้นเลือดหัวใจตีบ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หงุดหงิดง่าย
- สมาธิ ความจำลดลง
- ง่วนมึนกลางวัน หรือหลับใน
- เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุ
ทางเดินหายใจส่วนบนแคบ
จากลักษณะทางกายภาพ
หรือการหย่อนผิดปกติ

การรักษา เช่น
- ผ่าตัดขยายทางเดินหายใจส่วนแคบ
- ใส่เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP)
- ใช้อุปกรณ์ในช่องปาก

การดูแล
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- หากอ้วนควรลดน้ำหนัก
- นอนตะแคงอาจช่วยให้ดีขึ้นในบางราย
- ก่อนนอน หลีกเลี่ยงยาคลายกล้ามเนื้อ
ยานอนหลับ และยากดประสาทส่วนกลาง

ที่มา : อ.พญ.นวรัตน์  อภิรักษ์กิตติกุล ภาควิชาโสจ ศอ นาสิกวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

แหล่งที่มา : Line Ramathibodi

คนไทย 10-30% เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย

โรคทางพันธุกรรมถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก
ส่งผลต่อการเกิดโรคในเด็กเกิดใหม่
หากพ่อกับแม่เป็นพาหะทั้งคู่

อาการ
- ตัวซีด เหลือง
- เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ
- ตับและม้ามโต
- ตัวแคระแกร็น

การป้องกันการเกิดโรค
คู่สมรสที่คิดจะมีบุตร
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจ
คัดกรองพาหะของโรค

ที่มา : ศ.นพ.สุรเดช  หงส์อิง สาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

แหล่งที่มา : Line Ramathibodi

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยใกล้ตัว

โรคภูมิแพ้ทางจมูก
แน่นอนที่สุด ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันจมูก
คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา ไอ มีเสมหะมาก
อาจจะกระแอมบ่อยๆ เนื่องจากน้ำมูกไหลลงคอ
เป็นหวัดบ่อยหรือเป็นหวัดง่าย

โรคหืด
เกิดจากการอักเสบของหลอดลม
ทำให้มีความไวและตอบสนอง
ต่อสิ่งกระตุ้นมากผิดปกติ

เมื่อผู้ป่วยโรคหืดสัมผัสสิ่งกระตุ้น
หลอดลมก็จะหดตัว ทำให้หายใจลำบาก
ไอ หอบ แน่นหน้าอก และหายใจมีเสียงวี้ดๆ


ลมพิษ
มีอาการบวม แดง คันที่ผิวหนัง
ตำแหน่งใดก็ได้ตามร่างกาย
ลมพิษอาจจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง
หรืออาจจะเป็น ๆ หาย ๆ

- ลมพิษชนิดเฉียบพลัน
จะเป็นๆ หายๆ น้อยกว่า 6 สัปดาห์
อาจเกิดจากแพ้อาหาร ยา หรือการติดเชื้อ

- ลมพิษชนิดเรื้อรัง
จะเป็นๆ หายๆ มากกว่า 6 สัปดาห์
ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการแพ้
ในผู้ป่วยบางคนมีโรคอื่นๆ ที่เกิดร่วมได้

ที่มา  :  รศ.นพ.อิโรชิ  จันทาภากุล

แหล่งที่มา : Line chulahospital

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แมงกะพรุนอันตรายแค่ไหน

แมงกะพรุนมีหลายชนิด
ที่พบบ่อยในไทย คือ
แมงกะพรุนไฟ

ส่วนชนิดที่ทำให้เสียชีวิตได้
คือ แมงกะพรุนกล่อง
ที่กระแสน้ำพัดมาจากออสเตรเลีย
ซึ่งพบไม่บ่อยนัก

พิษของแมงกะพรุนทั่วไป
จะอยู่ในหมวดในกระเปาะ
เมื่อพอมันหลุดมาเป็นพิษต่อ
ผิวหนัง หรือบางครั้งเด็กไม่รู้
แล้วนำไปจับเล่น

อาการ
ผิวหนังที่สัมผัสจะเกิด
การปวดแสบปวดร้อนทันที

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสแมงกะพรุน
- ใช้น้ำส้มสายชูราดหรือประคบ ห้ามถู
- ประคบทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที
จะช่วยลดพิษที่ผิวหนังได้ ไม่ว่าจะเป็น
แมงกะพรุนชนิดไหนก็ตาม
- หากมีอาการแปลกๆ เช่น
อาการหอบ หรือ หายใจไม่ออก
ก็อาจจะช็อกได้ ต้องรีบนำส่ง
โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

คำเตือน ไม่ควรสัมผัสแมงกะพรุนที่พบในทะเล
เนื่องจากเราไม่รู้ว่าเป็นชนิดไหน 
บางชนิดอาจมีพิษทำให้เสียชีวิตได้

ที่มา  :  ศ.ดร.นพ.ประวิตร  อัศวานนท์

แหล่งที่มา : Line chulahospital

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...