วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

“ทาโร่”เจ้าตูบแสนรู้ สวมมาด“บ๋อย”

เจ้าตูบแสนรู้ “ทาโร่” สุนัขของร้านข้าวไก่อบชื่อดังย่านหอการค้า ดินแดง วิ่งเก็บเงินค่าข้าวจากลูกค้ามาส่งให้เจ้านาย เผยฉลาดแสนรู้มาก จนมีคนเอาหมาพันธุ์ดีราคากว่า 2 หมื่นมาขอแลก

วันนี้  (30เม.ย.2555) มีสุนัขตัวหนึ่งชื่อว่า “ทาโร่”  ซึ่งเป็นสุนัขของร้านข้าวไก่อบเจ๊นิด ตั้งอยู่ภายในซอยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. มีความสามารถพิเศษต่างจากสุนัขตัวอื่นๆ เนื่องจากสามารถช่วยเจ้าของร้านเก็บเงินจากลูกค้าที่ร้าน แล้วคาบนำมาส่งให้กับมือเจ้าของร้านได้ 

“ทาโร่” สุนัขไทย พันธุ์ผสม เพศเมีย สีขาว-น้ำตาลอ่อน อายุประมาณ 1 ปี 5 เดือน กำลังนั่งเล่นอยู่ภายในร้าน ด้วยท่าทางกระดิกหางไปมา มองลูกค้าและคนที่เดินผ่านไปมาขวักไขว่อย่างอารมณ์ดี โดยที่ข้างๆ กายของ “เจ้าทาโร่” นั้น  ก็มีนางเป้ย และเจ้าถั่ว ซึ่งเป็น แม่และพ่อของ “ทาโร่” กำลังนอนเล่นอยู่เช่นกัน โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะดุแต่อย่างใด

จากการสอบถามน.ส.ภิรดี เมืองจินดา อายุ 27 ปี ลูกสาวของเจ้าของร้านข้าวไก่อบเจ๊นิด เปิดเผยถึงความสามารถพิเศษของสุนัขตัวนี้ว่า  เจ้าทาโร่เป็นลูกนางเป้ย และเจ้าถั่ว ที่หลงทางมาอยู่ที่ร้านเมื่อประมาณ 2 ปี ที่แล้ว พอโตขึ้นเริ่มสังเกตุเห็นมีนิสัยที่แสนรู้ ขี้เล่น รักสนุก หวงของทุกชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง หรือของใช้ที่อยู่ในร้าน ถ้ามีใครเดินไปหยิบของ โดยที่ไม่ได้บอกว่า ขอหรือยืมไปใช้ก่อนนะ เจ้าทาโร่ ก็จะทำท่าทางขู่ และเห่าส่งเสียงดังทันที แต่ถ้าพูดบอกก่อนก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความสามารถพิเศษต่างจากสุนัขตัวอื่นจริงๆ ก็คือ เจ้าทาโร่ สามารถเก็บเงินค่าอาหารจากลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านได้ โดยเมื่อลูกค้าเรียกเก็บเงินเมื่อใด เจ้าทาโร่ ก็จะทำท่าวิ่งหูผึ่งไปที่โต๊ะของลูกค้า ด้วยวิธีการใช้ปากคาบเอาธนบัตรที่อยู่ในมือของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าทาโร่ จะเลือกคาบเฉพาะธนบัตรใบละ 100 บาทเท่านั้น ถ้าเป็นธนบัตรราคาอื่นๆ  เจ้าทาโร่ก็จะไม่คาบ แต่จะนั่งรอจนกว่าลูกค้าจะควักธนบัตรราคา 100 บาทส่งให้ หรือมีคนในร้านเดินมาเก็บเงินเอง เจ้าทาโร่ ถึงจะเดินกลับไปนั่งรอลูกค้าคนต่อไปเรียกเก็บเงินอยู่ภายในร้านต่อไป ทำให้ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านฯ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ที่อยู่ๆ มีสุนัขเดินมาเก็บเงินแทนคน บ้างก็ซื้อขนมมาฝาก ถามหาเจ้าทาโร่ ตอนที่จ่ายเงินบ้าง เพราะประทับในความฉลาด แสนรู้ของมัน ถึงขนาดที่เคยมีลูกค้าคนหนึ่ง อุ้มสุนัขพันธุ์ต่างประเทศมีราคาสูงถึง 20,000 บาท  มาขอแลกกับเจ้าทาโร่ แต่ตนและแม่ก็ไม่ยอม เพราะว่ารักและผูกพันกับเจ้าท่าโรมาก แต่ในช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ช่วงบ่ายๆ  เจ้าทาโร่ มักจะไม่ค่อยออกไปเก็บเงินค่าข้าวกับลูกค้า เหมือนในช่วงเช้าๆ เนื่องจากทุกวันนี้มีอากาศร้อนจัด มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้เจ้าทาโร่หงอย ซึม ลงไปบ้าง ซึ่งตนก็ใช้วิธีการเอาน้ำแข็งก้อน ใส่ถาดให้เจ้าทาโร่ และครอบครัวของมันกินเพื่อที่จะได้คลายร้อนลงไปได้บ้าง

ได้ทดลองเรียกเจ้า “ทาโร่” ออกมาเก็บเงินค่าอาหาร เพื่อพิสูจน์ความสามารถว่าจะทำเก็บเงินได้จริงหรือไม่ ท่ามกลางสายตาของลูกค้า และนักศึกษา กว่า 20 คนที่มีร่วมชมเพื่อเป็นสักขีพยาน ปรากฎว่า หลังจากเรียกเก็บเงินนั้น เจ้าทาโร่ ก็วิ่งกระดิกหางออกมา หาเจ้าหน้าที่ซึ่งถือธนบัตรราคา 100 บาท ทันที หลังจากนั้นก็ได้คาบไว้ในปากของมัน และทำท่ายกขาหน้าขึ้น มาวางไว้ที่มือของเจ้าหน้าที่ เพื่อแสดงความขอบคุณหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะคาบนำเงินนั้นไปส่งให้กับเจ้าของร้าน ท่ามกลางเสียงปรบมือ ของผู้ที่มายืนชมความสามารถพิเศษของเจ้าทาโร่ จนดังไปทั่ว

แหล่งที่มา   เว็บไซต์เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555 เวลา 22:11 น.

คลิปฮา อุรังอุตังแต่งตัว



ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นนะที่รู้จักแต่งตัว เจ้าลิงอุรังอุตังจากในคลิปนี้ก็รักสวยรักงามไม่แพ้กัน

หลังจากชมคลิปจบแล้ว ท่านผู้อ่านคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่า เจ้าลิงอุรังอุตังคงจะมีปาร์ตี้หลังจากนี้แน่ๆ เพราะเจ้านี่ได้ไปหาเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีแดงลายดอกสุดสวยมาจากไหนไม่รู้ ก่อนที่จะนำมาสวมใส่เองอย่างชำนาญด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ไม่มีผิด จนในที่สุดก็ทำสำเร็จได้ชุดเตรียมพร้อมสำหรับออกงาน แล้วก็ปีนป่ายหายไป

เห็นทีครั้งหน้าของที่นำมาให้เจ้าอุรังอุตัง นอกจากกล้วยหรือผลไม้อื่นๆ แล้ว ควรจะมีเสื้อผ้าติดมาสัก 2-3 ชุดนะ

แหล่งที่มา   เว็บไซต์เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555 เวลา 16:00 น.

ประกาศปิดเกาะสุรินทร์-สิมิลัน 1 พ.ค. ถึง 31 ต.ค.2555

นางรัชนก แพรน้อย ผช.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 พฤษภาคม จนถึง 31 ตุลาคม 2555 ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในเขตอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ของจังหวัดพังงา ที่ทางประเทศไทยกำลังเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวและธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ มีการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติ เกิดการกระจายตัวของแหล่งท่องเที่ยวไปในแหล่งท่องเที่ยวอื่น ประกอบกับแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติหลายแห่งมีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติอันเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไม่ปลอดภัยในการเข้าไปเที่ยวและพักแรม แต่นักท่องเที่ยวยังคงสามารถเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในจังหวัดพังงาได้อีกมากมาย เช่น อ่าวพังงา เขาตาปู เขาพิงกัน ถ้ำลอด เขาหมาจู เกาะไข่ ชายหาดทะเลท้ายเหมือง ชายหาดเขาหลัก เกาะคอเขา เป็นต้น

สำหรับท่านที่ต้องการที่จะเดินทางมาชมความงดงามของหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ก็ต้องอดใจรอในช่วงฤดูเปิดเกาะในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

แหล่งที่มา   เว็บไซต์ MTHAI โดย NaiNat โพสต์เมื่อ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555

สวนสัตว์ดุสิต จัดกิจกรรมวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2555


แหล่งที่มา  เว็บไซต์เส้นทางท่องเที่ยวและของดีเขตดุสิต

มารู้จัก ทศกรีฑา การแข่งขันกีฬา 10 อย่าง

กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ใครที่สนใจในกีฬาคงพอจะทราบว่า มีกีฬาประเภทที่เรียกว่า กรีฑา อยู่ด้วย แต่รู้หรือไม่ว่า กรีฑา นั้น ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยนะ หนึ่งในนั้นคือก็ ทศกรีฑา กีฬาที่ต้องแข่งขันกันถึง 10 อย่างกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ ส่วน ทศกรีฑา จะมีที่มาที่ไป และ รายละเอียดอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาฝากกันจ้า

การแข่งขันกรีฑา คือ การแข่งขันกีฬาที่มีมานานตั้งแต่สมัยมนุษย์ยุคหิน ซึ่งได้วิวัฒนาการมาจากการใช้ชีวิตในสมัยโบราณที่ต้องวิ่งหนีสัตว์ดุร้าย วิ่งฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนทำให้พัฒนามาเป็นกีฬา โดยเชื่อกันว่าเริ่มต้นมาจากประเทศกรีก และแตกแขนงออกไปหลากหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ทศกรีฑา (Decathlon)
ทศกรีฑา คือ การแข่งขันกรีฑาประเภทผสม ซึ่งรวมเอากรีฑาชนิดลู่และลานเข้าไว้ด้วยกัน โดยกรีฑาชนิดลู่นั้น หมายถึง กีฬาที่แข่งขันกันบนทางวิ่งหรือลู่ ส่วนใหญ่เป็นกีฬาประเภทวิ่งแข่ง ขณะที่กีฬาชนิดลาน หมายถึง กีฬาที่ตัดสินกันด้วยระยะทาง เช่น ระยะความสูง หรือ ระยะความไกล เป็นต้น โดยการแข่งขันทศกรีฑานั้นสามารถเข้าแข่งขันได้เฉพาะผู้ชาย และใช้เวลาในการแข่งขัน 2 วัน ซึ่งจะเป็นการแข่งขันตามรายการที่กำหนด แบ่งออกเป็นวันละ 5 รายการ รวมทั้งหมด 10 รายการ ดังนี้

วันแรก 
  1. วิ่ง 100 เมตร เป็นการแข่งขันวิ่งในลู่กว้าง 1.22 เมตร ผู้แข่งขันต้องไม่ออกนอกเส้น เข้าไปในลู่ของผู้แข่งขันคนอื่น
  2. กระโดดไกล หลังจากกระโดดไปแล้ว จะวัดจากรอยหลุมทรายที่เกิดขึ้นใกล้กับกระดานกระโดดมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นรอยเท้าเสมอไป
  3. ทุ่มน้ำหนัก ต้องยืนอยู่ในวงกลมขนาด 2.135 เมตร เตรียมถือลูกน้ำหนักไว้บริเวณคอใกล้ ๆ คาง เมื่อพร้อมแล้วให้ทุ่มออกไปข้างหน้าให้ลูกตกภายในรัศมีที่กำหนด โดยใช้มือทุ่มแค่มือเดียว และห้ามเงื้อมือออกมา
  4. กระโดดสูง วิ่งและกระโดดผ่านไม้พาด ลงสู่เบาะที่รองรับอยู่ด้านล่าง โดยไม่ให้ไม้พาดตก
  5. วิ่ง 400 เมตร เหมือนการวิ่ง 100 เมตรแต่เพิ่มระยะทางมากขึ้น



วันที่สอง
  1. วิ่งข้ามรั้ว ระยะทาง 110 เมตร ความสูงของรั้ว (1.067 เมตร) น้ำหนักของรั้ว 10 กิโลกรัม ใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ
  2. ขว้างจักร ยืนอยู่ในวงกลมขนาด 2.5 เมตร และเหวี่ยงจักรออกไปให้ตกภายในรัศมีที่กำหนด
  3. กระโดดค้ำถ่อ ผู้แข่งขันจะใช้สารยึดเกาะทามือ แล้วใช้ไม้ค้ำยันตัวให้กระโดดสูงความสิ่งกีดขวาง
  4. พุ่งแหลน เป็นการพุ่งไม้ออกไปให้ไกลที่สุด ตัดสินผลจากความไกลของจุดที่ไม้ตก
  5. วิ่ง 1,500 เมตร เป็นการวิ่งบนลู่ที่มีระยะค่อนข้างยาว กติการการวิ่งเหมือนกับการวิ่งชนิดอื่น ๆ คือให้วิ่งในลู่ของตนเอง และใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ


สำหรับผู้ชนะจะต้องเป็นผู้ที่ทำคะแนนได้มากที่สุดในการแข่งขัน โดยต้องเข้าแข่งขันให้ครบทั้ง 10 รายการ หากพลาดการแข่งขันรายการใดรายการหนึ่ง ให้ถือว่าหมดสิทธิ์ทันที

แหล่งที่มา   เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

เผยออริกาโน่ในพิซซ่าต้านมะเร็งต่อมลูกหมากได้

ใครเลยจะคิดว่า "พิซซ่า" ที่หลายๆ คน เรียกว่าอาหารขยะ จะกลายเป็นอาหารที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ แต่วันนี้คุณอาจจะต้องเปลี่ยนทัศนคติต่ออาหารจานด่วนนี้ใหม่แล้ว เมื่อมีผลการศึกษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า "ออริกาโน่" ในพิซซ่า สามารถช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้!

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ออริกาโน่ (Oregano) ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่เป็นส่วนประกอบหลัก ที่ใช้ในการปรุงพิซซ่า และอาหารอิตาเลียนอื่นๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถต้านโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งนับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากในวงการแพทย์

ทางด้านนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอง ไอส์แลนด์ ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาเกี่ยวกับ "คาร์วาครอล" (Carvacrol) ซึ่งเป็นฟีนอลธรรมชาติที่อยู่ในใบออริกาโน่ ได้ลองนำสารคาร์วาครอลไปทดสอบในห้องแล็ป โดยใส่ลงไปในหลอดทดลองที่มีเชื้อเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากอยู่ ปรากฏว่าเพียง 4 วันหลังจากนั้น เซลล์มะเร็งได้ทำลายตัวเองลงเกือบทั้งหมด


 ออริกาโน่ Oregano
นอกจากนี้ยังพบว่า ฤทธิ์ยาจากสารดังกล่าวมีผลกระทบข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาด้วยตัวยาชนิดอื่นๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้เสียอีก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศได้

อย่างไรก็ตาม ด็อกเตอร์สุปรียา บาวาเดการ์ จากมหาวิทยาลัยลอง ไอส์แลนด์ กล่าวว่า บางทีออริกาโน่ที่เรากินไปนั้นอาจถูกย่อยไปก่อนที่สารคาร์วาครอลจะออกฤทธิ์เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง ดังนั้นทางสถาบันจึงยังต้องพัฒนาการวิจัยต่อไป ซึ่งทางหากผลการศึกษาออกมาในทางที่ดี ในอนาคตวงการแพทย์จะมียาที่ผลิตขึ้นจากเครื่องเทศชนิดนี้ เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก และบางทีอาจมีการนำไปใช้ในการรักษาโรคชนิดอื่นๆ ได้อีกด้วย

แหล่งที่มา    เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

สะเทือนใจ! เผยภาพนกอาลัยคู่ หลังคู่ถูกรถชน

สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน แม้จะมีสมองฉลาดไม่เทียบเท่ามนุษย์ แต่ในเรื่องของความรู้สึกนั้น สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีเหมือนๆ กันหมด ดังเช่นที่เราเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับสุนัขนั่งเฝ้าศพเพื่อน หรือศพเจ้าของของมัน นับว่าเป็นภาพที่สะเทือนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่นอกจากสัตว์ที่แสนซื่อสัตย์อย่างสุนัขแล้ว สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างนก ก็เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกเหมือนกับสัตว์หลายชนิดเหมือนกัน มันอาลัยการจากไปของคู่หูของมันไม่น้อย หากคู่หูของมันต้องจบชีวิตลง ดังภาพและเรื่องราวที่เรานำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้

และนี่คือภาพของนกคู่หู ที่นับว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจนัก เมื่อนกตัวเมียนั้นถูกรถชนจนบาดเจ็บหนักขณะกำลังบินอยู่เหนือพื้นถนน และหลังจากถูกรถชนแล้ว เจ้านกตัวผู้ก็เข้ามาดูอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะไปคาบอาหารมาป้อนใส่ปากคู่หูของมันที่กำลังบาดเจ็บหนัก จากนั้น เจ้านกตัวผู้ก็บินจากไป และกลับมาพร้อมด้วยอาหารที่คาบมาหวังจะป้อนใส่ปากคู่หูของมันอีกครั้ง

แต่คราวนี้ มันกลับพบว่านกคู่หูของมันที่นอนบาดเจ็บอยู่ บัดนี้ได้นอนนิ่งหมดลมหายใจไปเสียแล้ว มันจึงพยายามเขี่ยร่างของนกคู่หูให้ลุกขึ้นมากินอาหารที่มันคาบมาให้ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใด ๆ เมื่อเจ้านกตัวเมียได้จากไปแล้ว เจ้านกตัวผู้จึงได้แต่ร้องเรียกคู่หูอยู่ข้าง ๆ ศพของคู่หูมัน กระทั่งไม่นานนัก มันก็ยืนนิ่งไป เหมือนจะตระหนักได้ว่าเจ้านกคู่หูของมันคงไม่มีวันกลับมาแล้ว

ทั้งนี้ รายงานไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ใดแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเป็นที่ฝรั่งเศส เนื่องจากหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสเป็นสื่อมวลชนรายแรกที่เปิดเผยภาพชุดนี้ ก่อนที่สื่อมวลชนหลายแห่งจะนำภาพไปเผยแพร่ต่อไป แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นที่ไหน มันก็ทำให้ผู้ชมผู้อ่านหลายคนสะเทือนใจจนน้ำตาคลอได้เลยทีเดียว

แหล่งที่มา   เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

เปิดสถิติรถหายโตโยต้า-อีซูซุถูกขโมยมากสุด

นครบาลเผยสถิติรถยนต์หายปี 2553-2555 รวมกว่า 700 คัน พบโตโยต้า-อีซูซุถูกขโมยมากสุด วีออส-ยาริส-วีโก้-ดีแมคซ์รุ่นเป้าหมาย

พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปจร.น.) เปิดเผยสถิติการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ กทม. ระหว่างเดือน ต.ค. 2553-ก.ย. 2554 ในห้วงเวลาดังกล่าวมีรถยนต์ถูกโจรกรรม 502 คัน ประกอบด้วย
  1. ยี่ห้อโตโยต้า จำนวน  156 คัน คิดเป็น 31.08%
  2. ยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 150 คัน คิดเป็น 29.9%
  3. ยี่ห้อนิสสัน จำนวน 53 คัน คิดเป็น 10.6%
  4. ยี่ห้อ มิตซูบิชิ จำนวน 41 คัน คิดเป็น 8.2%
  5. ยี่ห้อฮอนด้า จำนวน 39 คัน คิดเป็น 7.8%
  6. ยี่ห้ออื่นๆ รวม 63 คัน
โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ประเภทรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า พบว่าส่วนใหญ่เป็นรุ่นวีออสและยาริส ในขณะที่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลหรือกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า จะเป็นรุ่นไฮลักซ์ วีโก้ ยี่ห้ออีซูซุ จะเป็นรุ่นดีแมคซ์ และยี่ห้อนิสสัน รุ่นฟรอนเทียร์ โดยเฉพาะที่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ

สำหรับสถานที่เกิดเหตุที่รถยนต์ถูกโจรกรรมมากที่สุดเรียงตามลำดับ คือ
  1. ถนน-ตรอก-ซอย เกิดเหตุ 232 คดี สวนสาธรณะ-ชุมชน เกิดเหตุ 145 คดี
  2. เคหะสถาน เกิดเหตุ 71 คดี
  3. ห้างสรรพสินค้า-ร้านค้า เกิดเหตุ 30 คดี
  4. อู่ซ่อมรถยนต์ 15 คดี
สำหรับช่วงเวลาที่เกิดเหตุรถยนต์ถูกโจรกรรมมากที่สุด ระหว่างเวลา 18.00-04.00 น. แยกเป็น
  1. ช่วงเวลา 16.00-20.00 น. เกิดเหตุ 137 คดี
  2. ช่วงเวลา 20.00-24.00 น. เกิดเหตุ 121 คดี
  3. ช่วงเวลา 00.00-04.00 น. เกิดเหตุ 103 คดี
  4. ช่วงเวลา 08.00-12.00 น. เกิดเหตุ 48 คดี
  5. ช่วงเวลา 04.01-08.00 น. เกิดเหตุ 47 คดี
นอกจากนี้ ในส่วนรถจักรยานยนต์ ถูกโจรกรรมรวมทั้งสิ้น 3,509 คัน พบว่า ยี่ห้อที่ถูกโจรกรรมมากที่สุด คือ
  1. ฮอนด้า 2,021 คัน คิดเป็น 57.6% โดยเฉพาะรุ่นเวฟจะมีแจ้งหายมากที่สุด
  2. รองลงมาได้แก่ยี่ห้อยามาฮ่า 1,261 คัน คิดเป็น 35.9% โดยเฉพาะรุ่นฟีโน่ หายมากที่สุด
  3.  ถัดมาคือยี่ห้อคาวาซากิ 71 คัน คิดเป็น 2% โดยเป็นรุ่นเคเอสอาร์ หายมากสุด
  4. ตามมาด้วยยี่ห้อซูซุกิ 37 คัน คิดเป็น 1.1%
  5. ยี่ห้อเวสป้า 7 คัน คิดเป็น 0.2%
  6. ยี่ห้ออื่นๆ รวม 112 คัน
สำหรับสถานที่เกิดเหตุที่รถจักรยานยนต์ถูกโจรกรรมมากที่สุด ได้แก่
  1. ถนน-ตรอก-ซอย เกิดเหตุ 1,700 คดี
  2. สวนสาธารณะ-ชุมชน เกิดเหตุ 1,114 คดี
  3. เคหสถาน เกิดเหตุ 542 คดี
  4. ห้างสรรพสินค้า เกิดเหตุ 100 คดี
  5.  สถานที่ราชการ เกิดเหตุ 37 คดี
ช่วงเวลาที่รถจักรยานยนต์หายมากที่สุดพบว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับรถยนต์หาย คือระหว่าง18.00-04.00 น. แยกเป็น
  1. ช่วงเวลา 16.01-20.00 น. เกิดเหตุ 911 คดี
  2. ช่วงเวลา 20.01-24.00 น. เกิดเหตุ 837 คดี
  3. ช่วงเวลา00.01-04.00 น. เกิดเหตุ 800 คดี
  4. ช่วงเวลา 04.01-08.00 น. เกิดเหตุ 333 คดี
  5. ช่วงเวลา 12.01-16.00 น. เกิดเหตุ 324 คดี
นอกจากนี้ พล.ต.ต.เมธี หัวหน้า ศปจร.น.เปิดเผยอีกว่า สถิติรถยนต์และรถจักรยานยนต์หายตั้งแต่ เดือน ต.ค. 2554 - ก.พ. 2555 มีรถยนต์หายจำนวน 134 คัน
  1. เป็นยี่ห้ออีซูซุ โดยเฉพาะรุ่น ดีแมคซ์ 50 คัน
  2. โตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ วีโก้ 34 คัน
  3. มิตซูบิชิ รุ่นไทรทัน 11 คัน
  4. ฮอนด้า 9 คัน
  5. นิสสัน รุ่นฟรอนเทียร์ 6 คัน
  6. อื่นๆ 24 คัน
หายจากสถานที่ต่างๆ
  1. ถนน-ตรอก-ซอย 70 คดี
  2. เคหสถาน 13 คดี
  3. อาคาร-ลานจอดรถ 7 คดี
  4. อาคารชุด-แฟลต 6 คดี
  5. สะพานคนข้าม 3 คดี
ช่วงเวลาที่หาย
  1. ช่วงเวลา 12.01-18.00 น. เกิดเหตุ 56 คดี
  2. ช่วงเวลา 06.01-12.00 น. เกิดเหตุ 48 คดี
  3. ช่วงเวลา 18.01-24.00 น. เกิดเหตุ 24 คดี
  4. ช่วงเวลา 00.01-06.00 น. เกิดเหตุ 6 คดี
รถจักรยานยนต์ หายจำนวน 1,143 คัน เป็น
  1. ยี่ห้อฮอนด้า 662 คัน รุ่นเวฟหายมากที่สุด
  2. ยามาฮ่า 254 คัน รุ่นฟีโน่มากที่สุด
  3. คาวาซากิ 15 คัน เป็นรุ่นเคเอสอาร์มากสุด
  4. ซูซุกิ 7 คัน รุ่นสแมช
  5. ยี่ห้ออื่นๆ รวม 205 คัน
หายจาก
  1. ถนน-ตรอก-ซอย เกิดเหตุ 550 คดี
  2. ลานจอดรถ 115 คดี
  3. อาคารชุด-แฟลต 105 คดี
  4. เคหสถาน 80 คดี
  5. ตลาด 31 คดี
ช่วงเวลาที่รถจักรยานยนต์หายมากที่สุด
  1. ช่วงเวลา 12.01-18.00น. เกิดเหตุ 495 คดี
  2. ช่วงเวลา 18.00-24.00 น. เกิดเหตุ 296 คดี
  3. ช่วงเวลา 06.01-12.00 น. เกิดเหตุ 278 คดี
  4. ช่วงเวลา00.01-06.00 น. เกิดเหตุ 69 คดี

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ 30 เมษายน 2555 เวลา 18:31 น.

133 ตลาดสดไม่ผ่านเกณฑ์สะอาด

กทม.สำรวจตลาดสดพบไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานความสะอาด-อาหารปลอดภัย 133 แห่งจากทั้งหมด 337 แห่ง

พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ผลการตรวจประเมินตลาดทั่วพื้นที่ กทม.ประจำปี 55 ทั้งหมด 337 แห่ง มีตลาดที่ผ่านเกณฑ์การประเมินตลาดสะอาดได้มาตรฐานอาหารปลอดภัยทั้งสิ้น 204 ขณะที่อีก 133 แห่งไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน

พญ.มาลินี กล่าวว่า หลักเกณฑ์การประเมินตลาดมี 3 ด้าน คือ
  1. ด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การระบายอากาศ การควบคุมดูแลแผงค้า ทางเดิน ถนน จุดทิ้งขยะมูลฝอย ห้องน้ำ ห้องส้วม
  2. ด้านความปลอดภัย ได้แก่ การตรวจเฝ้าระวังสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร 5 ชนิด คือ บอแรกซ์ ซาลิซิลิค สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน ยาฆ่าแมลง เป็นต้น และ
  3. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ การจัดป้ายประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารด้านอาหาร มีตาชั่งกลาง มีการติดตั้งป้ายแสดงราคาสินค้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พญ.มาลินี กล่าวว่า การพัฒนาตลาดให้ถูกสุขลักษณะและผ่านเกณฑ์รับรองมาตรฐานมีแนวโน้มดีขึ้น โดยปี 2555 นี้มีตลาดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานถึง 204 แห่ง คิดเป็น 61% ขณะที่ปี 2552 มีตลาดที่ผ่านเกณฑ์เพียง 41 แห่ง คิดเป็น 13% เท่านั้น

"กทม.ได้ส่งเสริมการพัฒนาตลาดให้เป็นไปตามกฎหมายและถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตลาดตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงตลาดให้มีความปลอดภัยและได้มาตรฐานมากขึ้น" พญ.มาลินี กล่าว

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ 30 เมษายน 2555 เวลา 18:37 น

เผยสุดยอดเครื่องเจ็ตทัวร์รอบโลกใน 4 ชม.

บริษัทในอังกฤษประดิษฐ์เครื่องยนต์เจ็ตสุดแรง สามารถขับเคลื่อนอากาศยานให้เดินทางรอบโลกได้ภายในเวลา 4 ชม.

ฝันของคนเดินดินธรรมดา ที่อยากจะเดินทางท่องอวกาศเริ่มใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อบริษัท รีแอคชัน เอ็นจิน ลิมิเต็ด หรือ REL ของอังกฤษสามารถประดิษฐ์เครื่องยนต์เจ็ตแรงขับเคลื่อนมหาศาล ซึ่งหากนำไปติดตั้งกับอากาศยานพิเศษจะสามารถเดินทางรอบโลกได้ในเวลาเพียง 4 ชม.

แต่ที่เหนือไปกว่านั้น เครื่องยนต์นี้สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องเจ็ตสำหรับขับเคลื่อนไปด้านหน้าแบบเครื่องบิน และสามารถปรับให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนแนวดิ่งแบบจรวดสำหรับนำไปใช้กับอากาศยาน Skylon ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยบริษัทให้นำไปใช้งานอเนกประสงค์ในกิจการอวกาศตั้งแต่การส่งดาวเทียมไปจนถึงการขนส่งมนุษย์ขึ้นไปทัวร์นอกโลก

ทั้งนี้ Skylon ยานแห่งอนาคตลำนี้มีความยาว 83.3 ม. ความยาวปีก 25.4 ม. น้ำหนัก 5.3 หมื่น กก. รองรับน้ำหนักได้ 3.45 แสน กก. ซึ่งมีความยาวถึง 83.3 ม. และสามารถบินเหนือพื้นโลกได้สูงถึง 18 ไมล์ ด้วยความเร็วเหนือเสียงถึง 5 เท่า ระหว่างการเดินทางในวงโคจรโลก

ในชั้นต้นยานลำนี้จะไม่มีลูกเรือเดินทางไปยังอวกาศด้วย แต่ในกรณีที่พัฒนาศักยภาพจนรองรับได้จะสามารถขนผู้โดยสารและลูกเรือคราวละ 24 คน

ยาน Skylon จะใช้ระบบขับเคลื่อนแบบเครื่องบินจนกระทั่งเดินทางไปถึงรอยต่อระหว่างชั้นบรรยากาศโลกกับอวกาศ จากนั้นจะเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อนแบบจรวดเพื่อเดินทางรอบวงโคจรของโลก

ในระยะแรก ยานลำนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งและซ่อมแซมดาวเทียมในวงโคจรโลก แต่ในเวลาไม่นานจะพัฒนาต่อยอดเป็นอากาศยานสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางขึ้นไปชมภาพของจักรวาลอันเวิ้งว้างและโลกสีน้ำเงินของเราได้อย่างจุใจ

อลัน บอนด์ กรรมการผู้จัดการบริษัท REL เปิดเผยกับสำนักข่าว BBC ว่า จุดเด่นที่สุดของเจ็ตมหัศจรรย์เครื่องนี้ ก็คือจะช่วยให้การเดินทางไปจุดไหนก็ตามบนโลกใบนี้กินเวลาสูงสุดไม่เกิน 4 ชม. และยังช่วยพัฒนายานอวกาศรูปแบบใหม่ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบจรวดที่จะมาแทนระบบขับเคลื่อนเดิมๆ อีกด้วย

ขณะนี้ เครื่องต้นแบบยังไม่เสร็จเรียบร้อยและจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มอีกถึง 250 ล้านปอนด์ เพื่อพัฒนาเครื่องยนต์เจ็ตรุ่นนี้ให้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งด้วยงบประมาณมหาศาลจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างแข็งขัน

ผู้บริหารของ REL ยืนยันว่าการพัฒนาเครื่องยนต์นี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่หลุดออกมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องจริงที่กำลังช่วยทำความฝันของคนทั่วไปที่อยากเดินทางท่องอวกาศให้กลายเป็นความจริงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการพัฒนา “ปีกแห่งความฝัน” สู่อวกาศ ริชาร์ด วาร์วิลล์ ผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีและหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท REL ยอมรับว่าการเดินทางไปทัวร์นอกโลกโดยบริษัทเอกชนยังมีราคาสูงลิ่วเกินกว่าคนทั่วไปจะสามารถเข้ามาใช้บริการได้

แหล่งที่มา    เว็บไซต์โพสทูเดย์ 30 เมษายน 2555 เวลา 11:46 น.

กทม.จับมือทรูเปิดไวไฟฟรี 2 หมื่นจุด

กทม.ลงนามทรูเปิดบริการไวไฟฟรี 2 หมื่นจุด ให้บริการสองแบบไม่จำกัดเวลากับ 5 ชม./เดือนเร็วไม่เกิน 2เม็ก

นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยหลังประชุมการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (WIFI) แก่ประชาชนฟรี เนื่องจากการให้บริการที่มีอยู่เดิมหมดสัญญาการให้บริการเมื่อเดือนมิ.ย. 2554 ว่า วันนี้ (30 เม.ย.2555) กทม.เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด เพื่อปล่อยสัญญาณไวไฟ 2 รูปแบบ ได้แก่
  1. แบบไม่จำกัดเวลาการใช้งาน (Download) 256 Kb/sec. - (Upload) 128 Kb/sec. และ
  2. จำกัดการใช้งานต่อเดือน 5 ชั่วโมง (Download) ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 2 Mb/sec. ต่อวินาที - (Upload) 512 Kb/sec. จำนวน 20,000 จุด ทั่วกทม.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย
  1. ค่าป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทั้งการจัดทำ ติดตั้ง บำรุงรักษา
  2. ค่าภาษีป้าย และ
  3. ค่าติดตั้งจุดให้บริการฮอทสปอร์ต และ
  4. ค่ากระแสไฟฟ้า ทางบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
โดยที่ กทม.ไม่ต้องใช้งบประมาณใด ๆ ในการดำเนินการโครงการฯ โดยการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการนั้น กทม.จะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

"วันนี้คนกรุงเทพฯ จะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างเต็มที่ สามารถออนไลน์ เพื่อเช็คเส้นทางจราจรผ่านกล้องวงจรปิดจราจร เช็คพยากรณ์อากาศ เช็ครอบหนัง จองตั๋วล่วงหน้า หรือแชทกับก๊วนเพื่อนซี้ ก็ทำได้สบายๆ เพราะทางกทม.จับมือกับทรู เปิดโลกออนไลน์ไร้สายให้คนกรุงเทพฯ กับโครงการ Green Bangkok Wi-Fi ซึ่งโครงการดีๆ ตะทำให้คนกรุงเทพฯ ได้มีประสบการณ์กับอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็ว 64Kbps หรือ 1 Mbps ฟรี" รองผู้ว่าราชการกทม.กล่าว

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ 30 เมษายน 2555 เวลา 09:10 น.

ใช้ขาหุ่นยนต์แข่งเดินมาราธอน


หลังจากประสบเหตุการณ์ตกจากหลังม้าเมื่อ 6 ปีก่อน ทำให้ Claire Lomas เดินไม่ได้อีกเลย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ตัดสินใจพยายามต่อสู้กับมันด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งนึง

การตัดสินใจครั้งนั้นของเธอนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยการช่วยเหลือจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่รุดหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ปี 2006 ทำให้ Lomas จะได้กลับมาเดินได้อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 ม้าของเธอถูกตีเข้าที่ไหล่อย่างรุนแรงจนทำให้ควบคุมไม่ได้ มันเหวี่ยงเธอตกจากหลังไปกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ผลจากตกม้าครั้งนี้ทำให้กระดูกคอและกระดูกซี่โครงหัก และเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงอกลงมา แพทย์ผู้รักษาบอกกับเธอว่าเธอจะต้องนั่งรถเข็นไปตลอดระยะเวลาที่เหลือของชีวิต แต่เธอก็ไม่ยอมหมดหวังง่ายๆจนมาพบกับอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า ReWalk


ด้วยความพยายามที่จะกลับมาเดินอีกครั้งนึง ประกอบกับความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อนๆที่ช่วยกันลงขันสมทบทุน 43,000 ปอนด์เพื่อซื้อ ReWalk และมันก็ได้ผลแม้ว่าใส่แล้วจะดูแปลกๆไปสักหน่อย แต่นั่นก็ทำให้เธอกลับมาเดินได้อีกครั้งด้วยอุปกรณ์ขาหุ่นยนต์ช่วยเดินตัวนี้ จากเดิมเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนเธอใช้ขาหุ่นยนต์ตัวนี้เดินได้แค่เพียง 30 ก้าวเท่านั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของเธอทำให้เธอทำลายกำแพงเหล่านั้นลงไปได้ ตอนนี้เธอสามารถเดินได้ไม่หยุด, สามารถเดินทางเข้าพักโรงแรมระหว่างทางในการเดินได้, นั่นช่วยให้เธอเพิ่มความเร็วและทำให้เธอรู้สึกว่าได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติได้อีกครั้ง แถมเธอยังตัดสินใจจะร่วมลงแข่งเดินมาราธอนในรายการ London Marathon ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 เมษายนนี้ ความพยายามครั้งนี้ของเธอน่าจะเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีให้กับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตทั่วโลก

แหล่งที่มา   เว็บไซต์ MTHAI

บวมส่อโรค

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ถ้าปราศจากน้ำก็ปราศจากสิ่งมีชีวิต สังเกตได้จากคนที่อดอาหารสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ แต่ถ้าอดน้ำอาจตายภายใน 2-3 วัน เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบใหญ่ของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญมากมาย เช่น น้ำเป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการย่อยอาหาร การดูดซึมของอาหาร หรือการขับของเสียต่างๆ ต้องอาศัยน้ำ เลือดสามารถขนส่งสารต่างๆ ไปทั่วร่างกายได้ต้องอาศัยการละลายในน้ำ นอกจากนี้น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิและช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดกับของเหลวต่างๆ ในร่างกายด้วย

วิธีรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่
"ในภาวะปกติเซลล์ในร่างกายต้องการน้ำในปริมาณคงที่ จึงต้องจัดการให้ปริมาณน้ำที่ได้รับและที่กำจัดออกสมดุลกัน จากการที่เราได้รับน้ำจากน้ำดื่ม น้ำที่มีอยู่ในอาหาร และน้ำที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิด น้ำเหล่านี้จะเข้าไปหล่อเลี้ยงกิจกรรมต่างๆ ของร่างกาย และในขณะเดียวกันร่างกายก็จะขับน้ำออกมาทางปัสสาวะ เหงื่อ ลมหายใจ และอุจจาระ เพื่อรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่"

การควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเกี่ยวข้องกับกลไกควบคุมที่สำคัญ 2 ระบบ ดังนี้

1. กลไกการควบคุมปริมาณน้ำ

การควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายสามารถทำได้โดยผ่านระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งระบบประสาท ฮอร์โมน และการทำงานไต แต่หากร่างกายของคนเราขาดความสมดุลของน้ำขึ้นมา ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะการขาดน้ำ หรือการรับน้ำมากเกินไป โดยจะก่อให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้ดังต่อไปนี้

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ถ้าร่างกายไม่ได้รับน้ำเข้ามาเลยหรือเสียน้ำไปมากๆ ร่างกายก็จะขาดน้ำ ตัวอย่างเช่น หากเกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง เสียเลือด อาเจียนมากๆ มีไข้สูงจนเหงื่อออกมาก หรือเป็นโรคเบาจืด รวมถึงกรณีไฟลวกแบบทั่วตัว อาจจะพบการขาดน้ำได้ เพราะน้ำมาคั่งบริเวณเนื้อเยื่อที่โดนไฟลวก สัญญาณแรกที่เราจะรู้สึกได้จากการภาวะขาดน้ำคือ อาการกระหายน้ำ ผิวหนังแห้ง ไม่ค่อยมีน้ำลาย กลืนอาหารลำบาก อารมณ์ฉุนเฉียวและสับสน ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเข้ม มีอาการซึม หากขาดน้ำมากกว่าร้อยละ 7 ของน้ำหนักตัว จะทำให้ช็อกหรือหมดสติได้ และถ้าขาดมากกว่านี้ความดันเลือดจะลดลง เซลล์ต่างๆ จะเหี่ยวลง โดยเฉพาะเซลล์สมอง ถ้ารุนแรงมากๆ ทำให้หลอดเลือดฉีกขาดได้ และเสียชีวิตในที่สุด

ภาวะน้ำเกินและภาวะพิษจากน้ำ (Water excess and water intoxication) เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารน้ำในปริมาณที่มากผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยไตพิการที่ได้รับน้ำเกินความสามารถของไตจะขับออกมา ผู้ที่มีการหลั่งฮอร์โมนADH ผิดปกติ ตลอดจนคนจมน้ำ อาจเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน ซึ่งโดยมากภาวะน้ำเกินนี้จะส่งผลต่อเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมอง และที่สำคัญจะไม่เห็นอาการบวมทางคลินิกหรือภายนอกเลย ในรายเฉียบพลันจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจกระตุกและชัก ความดันเลือดสูงกว่าปกติ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ม่านตาขยายไม่เท่ากัน ซึมและไม่รู้สึกตัว นอกจากนี้บางรายยังทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปอดบวมน้ำ สมองบวม หยุดหายใจ และเสียชีวิตได้ สำหรับในรายเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง และซึมมาก

2. กลไกการควบคุมของสารน้ำ

ภาวะบวม (Edema) หรือ อาการบวมสารน้ำ หมายถึง ภาวะที่มีสารน้ำขังอยู่ในช่องว่างระหว่างเซลล์ (interstitial tissue) จนเกิดอาการบวมให้เห็นทางภายนอก โดยเกิดจากความผิดปกติของกลไกการควบคุมแรงดันในร่างกายที่มีอยู่ 2 ระบบ คือ

Hydrostatic Pressure หรือแรงผลักออก คือ แรงดันภายในหลอดเลือดที่ดันน้ำออกสู่เนื้อเยื่อ
Oncotic Presssure หรือแรงดูดกลับ คือ แรงที่ทำหน้าที่ในการดึงดูดน้ำไว้ภายในหลอดเลือด แรงนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณโปรตีนภายในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัลบูมิน (Albumin)

สาเหตุของภาวะบวม
  1. Hydrostatic pressure ในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้ภายในหลอดเลือดมีแรงดันสารน้ำออกสู่เนื้อเยื่อเพิ่มมากขึ้น พบในภาวะที่มีการคั่งของเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะเลือดคั่งจากหัวใจล้มเหลวหรือภาวะที่ได้รับโซเดียมสูงเกินไป
  2. Oncotic pressure ในหลอดเลือดลดลง พบได้ในภาวะที่มีโปรตีน โดยเฉพาะอัลบูมินในเลือดลดลง ซึ่งอาจเกิดจากการเสียโปรตีนทางปัสสาวะที่พบในกลุ่มโรคไตชนิดเนฟโฟรติก (nephrotic syndrome) หรือเกิดจากการสร้างโปรตีนได้น้อยที่พบในผู้ป่วยโรคตับแข็งและผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารรุนแรง เป็นต้น
  3. ภาวะการคั่งของน้ำและเกลือแร่ (Salt and water retention) พบได้ในภาวะการทำงานของไตผิดปกติ มีการลดลงของการกรองโซเดียม เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน ภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีผลต่อการคั่งของโซเดียมในท่อไต ทำให้มีการดูดกลับน้ำเพิ่มขึ้น hydrostatic pressure ก็เพิ่มขึ้นด้วย ถ้าภาวะหัวใจวายไม่ได้รับการรักษาที่ดีพอ การดูดกลับน้ำที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะทำให้การบวมแย่ลงไปอีก พยาธิสภาพที่สำคัญที่จะพบได้คือ ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema)
  4. การสูญเสียความสามารถในการซึมผ่านของสารน้ำในผนังหลอดเลือดฝอย (vascular permeability) พบได้ในการบวมที่เกิดในกระบวนการอักเสบ เช่น การหลั่งของสารฮิสตามีน (histamine)
  5. การอุดตันของต่อมน้ำเหลือง (Lymphatic obstruction) ส่งผลให้การดูดกลับสารน้ำส่วนเกินทางท่อน้ำเหลืองเสียไป ส่วนใหญ่แล้วการบวมจากสาเหตุนี้มักเป็นเฉพาะที่ เช่น โรคเท้าช้าง การบวมของเต้านมเนื่องจากเซลล์มะเร็งอุดกั้นท่อน้ำเหลือง และการบวมของแขนหลังการผ่าตัดมะเร็งที่มีการเลาะต่อมน้ำเหลือง ทำให้ทางเดินปกติของน้ำเหลืองเสียไป เป็นต้น
บวมแบบไหนบอกโรค

โรคไต
โรคไตบางชนิดมีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในส่วนที่ทำหน้าที่กรองเลือด ทำให้โปรตีนในเลือดหรืออัลบูมินรั่วออกทางปัสสาวะ เมื่อโปรตีนในเลือดต่ำลงจะทำให้เกิดอาการบวม สังเกตได้ง่ายเวลาที่ตื่นนอนตอนเช้าจะมีการบวมที่บริเวณหนังตาหรือใบหน้า อาจพบเท้าหรือหน้าแข้งบวมช่วงบ่ายหรือเมื่อมีกิจกรรมในท่ายืนเป็นเวลานานๆ ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัว ในเด็กอาจจะพบลูกอัณฑะบวมเป็นอาการแรก และท้องจะโตเพราะมีน้ำในช่องท้องมาก

อาการบวมนี้ อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด เช่น โรคไตอักเสบชนิดเนโฟรติค ซินโดรม (Nephrotic Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่มีการรั่วของโปรตีนออกมากับปัสสาวะในปริมาณมาก หรือโรคไตเรื้อรังที่มีการเสื่อมของไต ทำให้มีการคั่งของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย การตรวจปัสสาวะจะช่วยยืนยันถึงความผิดปกติของการรั่วของโปรตีนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หากมีอาการบวมมาก อาจทำให้หอบเหนื่อยจากการคั่งของเกลือและน้ำในปอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่โรคไตบางชนิดก็ไม่จำเป็นต้องมีอาการบวมน้ำ ตัวอย่างเช่นโรคไตอักเสบชนิดเรื้อรังในระยะต้นๆ มักจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น หรืออาจจะมีอาการบวมนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ถึงกับตัวบวมให้เห็นชัดเจน ด้วยเหตุนี้เป็นการเข้าใจผิดอย่างมากว่าถ้าตัวไม่บวมน้ำก็ไม่ได้เป็นโรคไต

โรคหัวใจ
การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจโดยมากมักเกิดจากการที่หัวใจห้องขวาล่างทำงานลดลง ทำให้เลือดจากขาไม่สามารถไหลเข้าสู่หัวใจด้านขวาได้สะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น อาการบวมที่เกิดกับผู้ป่วยโรคหัวใจจะมีลักษณะสมมาตรคือจะบวมที่ขาทั้งสองข้าง และมีอาการหายใจหอบเหนื่อย ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว หรือมีปัญหาที่หลอดเลือดดำที่ขา นอกจากนี้โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ได้เช่นกัน

โรคตับ
เช่น ตับแข็ง เริ่มแรกจะมีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และดีซ่าน ต่อมาจึงมีอาการบวมที่เท้าและขาทั้งสองข้าง และมีอาการท้องบวมโตกว่าปกติหรือที่เรียกว่า ท้องมาน เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่สร้างโปรตีนตัวสำคัญคืออัลบูมิน เมื่อไม่สามารถสร้างอัลบูมินได้ ก็ขาดตัวดูดกลับหรือ Oncotic Presssure ลดลง ทำให้มีสารน้ำจำนวนมากคั่งในร่างกายดังนั้น ถึงแม้ผู้ป่วยจะมีแขนขาและลำตัวดูซูบผอม แต่จะมีอาการท้องบวมซึ่งอาการอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือเอส แอล อี (SLE)
 ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมได้เช่นกัน

"อาการบวมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายโรค และในแต่ละโรคมีแนวทางการรักษาที่ต่างกันไป ดังนั้น เมื่อพบว่ามีอาการบวม หรือในกรณีที่บวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจสาเหตุที่แน่ชัด"

"สิ่งสำคัญ อย่าตกใจไปก่อนว่าเรามีอาการบวมแล้วจะเป็นโรคไตเพียงอย่างเดียว จริงๆ แล้วอาจเกิดขึ้นจากกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยมีประจำเดือนที่มักจะมีอาการบวมสารน้ำได้ ซึ่งเกิดจากระดับฮอร์โมนแปรปรวน และส่งผลต่อการขับสารน้ำในร่างกาย แต่เมื่อประจำเดือนหมดไปก็กลับเป็นปกติ ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกาย นอกจากนี้ อาการบวมยังอาจเกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคอร์ติโซน (สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด) ยาลดความดันเลือดสูง ยาแก้ปวดชนิด NSAIDs เป็นต้น เพราะฉะนั้นอย่ารู้สึกตกใจและคิดไปก่อนว่าเมื่อบวมจะมีอาการไม่ดีแล้ว ทั้งๆ ที่จริงอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้"

แหล่งที่มา   เว็บไซต์ MTHAI

ไทยติด 1 ใน 9 ประเทศ อัตราว่างงานต่ำสุดในโลก

 
ผลสำรวจของสำนักวิจัย "แกลลัป" ระบุว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 9 ประเทศ ที่มีอัตราการว่างงานของประชากรต่ำที่สุดในโลก เนื่องจากมีรายได้จากการส่งออก และเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากต่างประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โดยอ้างผลสำรวจของสำนักวิจัย "แกลลัป" ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 9 ประเทศ ที่มีอัตราการว่างงานของประชากรต่ำที่สุดในโลก ถือเป็นหนึ่งในแดนสวรรค์ของโลกด้านแรงงาน

รายงานซึ่งอ้างผลการสำรวจอัตราการว่างงานประจำปี ค.ศ. 2011 ของ "แกลลัป" ใน 148 ประเทศและเขตปกครองพิเศษทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 9 ประเทศทั่วโลก ที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุด หรือต่ำกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในปีที่ผ่านมา ถือเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ไทยเป็นแดนสวรรค์ในด้านแรงงาน

ผลสำรวจพบว่า 9 ประเทศ ที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก
  • ประกอบไปด้วย 4 ประเทศในยุโรป คือ
    1. ออสเตรีย
    2. เบลารุส
    3. มอนเตเนโกร และ
    4. ยูเครน
  • และอีก 5 ประเทศในเอเชีย ได้แก่
    1. สาธารณรัฐประชาชนจีน
    2. ญี่ปุ่น
    3. ไต้หวัน
    4. เวียดนาม และ
    5. ประเทศไทย
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกไม่น้อยที่ในจำนวนนี้ มี "ประเทศที่พัฒนาแล้ว" ติดโผเพียง 2 ประเทศเท่านั้น คือ ออสเตรียและญี่ปุ่น ส่วนที่เหลือเป็นประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา

ในส่วนของประเทศไทยซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อตัวของประชากรราว 9,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 299,479 บาท ต่อคนต่อปีนั้น ผลสำรวจระบุว่า ถูกจัดให้ติด 1 ใน 9 ประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุด เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยมีการพัฒนาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมี "ตัวขับเคลื่อนสำคัญ" คือ รายได้จากการส่งออก ที่มีสัดส่วนครอบคลุมมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติของไทย รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากต่างประเทศ

ขณะที่ข้อมูลของธนาคารโลก ระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว อัตราการว่างงานเฉลี่ยของไทยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียงเพียงร้อยละ 2 ของประชากรเท่านั้น

แหล่งที่มา    เว็บไซต์ MTHAI

7 วิธีคลายร้อนให้สุนัข ปรับอารมณ์หงุดหงิด

อากาศร้อน แดดจัด แบบนี้ ใครว่ามีแต่คนเท่านั้นที่ร้อน สัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมาถ้าเจออากาศร้อนมากๆ ก็ส่งผลให้ป่วย หรือหงุดหงิดได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นจะแก้ปัญหาอย่างไรดี วันนี้เรามีวิธีมาฝากกันจ้า

1. หมั่นเติมน้ำดื่ม หรือก้อนน้ำแข็ง
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยบรรเทาความร้อน คือหมั่นเติมน้ำดื่มให้สุนัขของคุณอยู่เรื่อยๆ เพราะอากาศร้อนแบบนี้ แน่นอนว่าน้องหมาจะต้องหิวน้ำเป็นพิเศษ ลองใช้น้ำเย็น หรือใส่ก้อนน้ำแข็งลงไปด้วย น้องหมาบางตัวก็ชอบเลียน้ำแข็งให้คลายร้อนด้วยนะ

2. เปิดพัดลม
เพิ่มความเย็นสบายให้สุนัขของคุณ ด้วยการเปิดพัดลม ยิ่งโดยเฉพาะสุนัขที่มีขนเยอะ มักจะร้อนมากเป็นพิเศษ ถ้าได้พัดลมเป่าให้ขนปลิวดูบ้าง น้องหมาคงจะอารมณ์ดีมากขึ้น

3. ผ้าเย็นแขวนพัดลม
ถ้ากลัวว่าสุนัขของคุณจะเย็นไม่พอ ลองใช้ผ้าเย็นที่แช่ตู้เย็นจนเย็นเฉียบ นำไปแขวนไว้กับพัดลมแล้วปล่อยพัดลมช่วยเป่าไอเย็นให้ไปสัมผัสสุนัขของคุณ เพิ่มความสดชื่นได้อีกนิด

4. เจลเย็น หรือผ้าห่อน้ำแข็ง
ลองใช้คูลเจลสำหรับลดไข้ แช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วห่อด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ เอามาวางให้น้องหมาของคุณกอดรัดฟัดเหวี่ยง หรือจะวางรอง ให้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนความเย็นเลยก็ได้ ถ้าไม่มีเจลเย็นให้ลองใช้น้ำแข็งห่อผ้าขนหนูแทน

5. เบาะนอนเก็บความเย็น
ลองหาซื้อเบาะเจลสำหรับรองนอน แล้วนำไปแช่ตู้เย็น จากนั้นเอามารองนอนให้กับน้องหมาของคุณ ถ้าหมดเย็นแล้วให้นำเอาไปแช่ตู้เย็นได้เรื่อยๆ

6. กะละมังอาบน้ำ
วิธีการนี้อาจจะเปียกเลอะเทอะหน่อย แต่ก็ได้ผลดีอยู่เหมือนกันนะ แค่รองน้ำใส่กะละมังอาบน้ำ หรืออ่างอาบน้ำของน้องหมา พอถึงเวลาที่น้องหมาของคุณร้อนจนทนไม่ไหวล่ะก็ เค้าจะลงไปแช่น้ำเองตามธรรมชาติ แต่พอเค้าขึ้นจากน้ำแล้ว คงต้องตามเช็ดบ้านกันสักนิด

7. เช็ดตัวด้วยผ้าเย็น
ถ้ามีเวลาว่าง หมั่นเช็ดตัวให้สุนัขของคุณด้วยผ้าเย็น หรือ ผ้าชุบน้ำแข็งก็ได้ ค่อยๆ เช็ดตามซอกหลืบที่ทำให้น้องหมาของคุณกระวนกระวายใจ โดยเฉพาะที่ท้อง จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายของน้องหมาเย็นลง และสบายตัวขึ้น

อย่าลืมว่านอกจากการผ่อนคลายความร้อนให้สุนัขของคุณด้วยวิธีต่างๆ แล้ว การพาสุนัขออกไปวิ่งเล่นรับลมตามสวนสาธารณะ ก็เป็นการช่วยปลดปล่อยอารมณ์หงุดหงิดของสุนัขให้ร่าเริงขึ้นด้วย โดยเฉพาะการได้เล่นสนุกกับเจ้าของ ยิ่งช่วยให้น้องหมาอารมณ์ดีได้ไม่หวั่นอากาศร้อนเลยทีเดียว
แหล่งที่มา  เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

ตอน 13 หนูน้อยผู้หิวโซ

ตอน 13  อ่านตอนสิบสอง เรื่อง "ครอบครัวหมาๆ..." ได้ที่นี่


ช่วงนี้ลูกหมาทั้งสองตัวสูงโย่ง เก้งก้าง แต่ไม่ค่อยอ้วน สงสัยจะเล่นเก่ง วิ่งเก่ง ใช้พลังงานเผาผลาญเยอะ เลยไม่ค่อยอ้วน แต่ถ้ากินเสร็จใหม่ๆ จะรู้สึกว่าพุงป๋องทีเดียว เคยคลำพุงเล่น โอโฮ้....ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ














ทุกครั้งที่เปิดประตูบ้าน เจ้าลูกหมาทั้งสองจะรีบวิ่งมาทันที ไม่ใช่วิ่งมาต้อนรับหรอกนะ วิ่งมาว่ามี "อะไรให้กิน เพิ่มเติมอีกไหม!!!" รู้สึกเห็นหน้าเรา เป็นหน้าอาหารไปหรือเปล่าหนอ เห็นทีไร ขอทุกที พอเราเอาของกินออกมา จะตะกายจะกินให้เร็วๆๆๆๆ เดี๋ยวเสียโอกาส และเมื่อให้กิน ก็จะให้ทั้งคู่กินด้วยกัน ดูท่าทางการกินเอร็ดอร่อยไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะใส่กับข้าวอะไร แม้แต่ข้าวเปล่าที่เราผสมไม่ทัน ยังดูน่าเอร็ดอร่อยเลย สงสัยให้กินข้าวเปล่าก็น่าจะกินได้นะ... ดูเลี้ยงง่าย กินง่าย

กิจกรรมช่วงนี้ของน้องหมา ก็มีแต่กิน เล่น ส่วนช่วงบ่ายๆ หรือช่วงที่อากาศร้อนๆ โดยเฉพาะทองแดง จะรู้สึกได้ว่าร้อนมาก ต้องไปลงอ่างน้ำเพื่อแช่น้ำสักครู่ แล้วค่อยออกมาจากอ่าง วันหนึ่งๆ น่าจะลงแช่อ่างน้ำเป็นสิบๆๆ รอบกระมั่ง เดี๋ยวก็เปียก เดี๋ยวก็เปียก อยู่นั่นแหละ นอกจากนี้ก็เปิดพัดลมให้น้องหมาคลายร้อน แต่ลมจากพัดลมก็ไม่ใช่ลมเย็น แต่เห็นน้องหมาก็มารับลม ก็น่าจะดีกว่าไม่พัดลมมั่ง เปิดพัดลมให้น้องหมาบ้าง และบางทีก็ฉีดน้ำระหว่างพัดลมจะได้เป็นพัดลมไอน้ำให้น้องหมาคลายร้อนได้มั่ง


วกกลับมาเรื่องกินอีกครั้ง ไม่ว่าจะให้อาหารเวลาใด ก็รู้สึกได้ทันทีว่าอาหารมื้อนั้นอร่อยเสมอ และดูเอร็ดอร่อยทุกครั้ง แย่งกันทุกครั้ง อาจจะอร่อยตรงที่กินด้วยกันหรือเปล่า ต่างฝ่ายต่างต้องใช้ความเร็วในการกิน มิฉะนั้นอาจเสียโอกาสได้กินน้อยกว่า เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ และเมื่อกินของตัวเองหมดแล้ว ก็จะไปรอจากพ่อสิงห์โต หรือแม่บ็อบบี้ ว่าจะปล่อยชามหรือยัง ปล่อยเมื่อไร เสร็จเจ้าลูกหมาทั้งสอง ดูภาพประกอบได้ว่า เวลากินนั่นสนุกสนาน น่าดูมากขนาดไหน











ไม่รู้ว่าทั้งคู่จะกินอาหารด้วยกันได้ตลอดจนโต ... และกินตลอดไปได้หรือไม่ ก็อยากจะฝึกให้เป็นแบบนั้นนะ ถ้ามันทั้งสองไม่หวงของกินระหว่างกัน ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองจะไม่ค่อยหวงของกินระหว่างกัน ใครได้ ตัวนั้นก็ได้ไป อีกตัวก็จะไม่ว่าอะไร ยกเว้นพ่อกับแม่ จะหวงอาหารมากกว่า อย่ามายุ่งเด็ดขาด ยิ้มหวาน (แยกเขี้ยว) ตลอดเวลา ไม่ยอมท่าเดียว จนบางครั้งเราต้องบอกว่าให้ลูกไปเถอะเหลือนิดหน่อยเอง แม่หมาก็จะให้ แต่ก็จะมีข่มขู่อีกนิดๆ


เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่สำหรับแม่บ็อบบี้เสมอ หากกำลังกินอยู่ ลูกๆ จะเข้าใกล้ไม่ได้ จะมีเสียงขู่ คำราม แยกเขี้ยว ตลอดเวลา ดูท่าแม่บ็อบบี้จะเป็นจ่าฝูงประจำบ้านมากกว่าทุกตัว เพราะแค่นี้ ลูกๆ รวมทั้งพ่อสิงห์โตเองก็ไม่กล้า จะยอมแม่บ็อบบี้เสมอ ลูกๆ สองตัวคงไม่ต้องแย่งชิงเป็นจ่าฝูงแล้วล่ะ เพราะมีจ่าฝูงที่แท้จริงอยู่แล้ว




















ติดตามตอน 14 เรื่อง "แม่บ็อบบี้ผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านม" 

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...