วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เตรียมความรู้สู่ธุรกิจไอทีใน AE

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. 2558 จากแหล่งข่าวหลายสำนักระบุว่า ประเทศไทยมีการตื่นตัวต่อการเตรียมตัวเกี่ยวกับเออีซี อยู่ในอันดับรั้งท้ายในกลุ่มประเทศสมาชิก

หากมองผลกระทบต่างๆ เพื่อกำหนดสิ่งที่ควรต้องเตรียมพร้อมกัน ทั้งในแวดวงบุคลากรทางการศึกษาทางด้านไอทีและการทำงานของวิศวกรไอที คงต้องเริ่มกันที่  I ในคำว่า IT หรือสารสนเทศซึ่งปัจจุบันพัฒนาจากสารสนเทศหรือข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว เข้าสู่ยุคองค์ความรู้หรือ โนว์เลดจ์ หรือสารสนเทศข่าวสารที่ก่อเกิดประโยชน์นำไปใช้งานกันได้แล้ว

สำหรับอาเซียนก็คงจะไม่ผิดซึ่งองค์ความรู้ที่ “จำเป็น” สำหรับทั้งการศึกษา และธุรกิจด้านวิศวกรรมไอทีนั้นประกอบด้วย 4 ด้านหลัก คือ

  1. องค์ความรู้ศาสตร์และวิทยาการ, 
  2. เศรษฐกิจ, 
  3. สังคม และ
  4. แนวปฏิบัติที่ทำกันมาที่สั่งสมเป็นภูมิปัญญา 
ซึ่งธุรกิจด้านวิศวกรรม หรือนวัตกรรมใดก็ตามโดยเฉพาะไอที จะต้องนำองค์ความรู้ 4 อย่างนี้ไปออกแบบ พัฒนา ก่อสร้าง ผลิต ตรวจสอบ ติดตั้ง สินค้า บริการ นวัตกรรมทางไอที ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ ระบบ หรือบริการบุคลากร โดยมองเงื่อนไข ข้อจำกัด ด้านต่างๆ เช่น ทรัพยากรในท้องถิ่น สังคม กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ พื้นที่ ภูมิอากาศ นิสัยใจคอของบุคลากร ที่หลากหลายมากขึ้น

ยังมีโจทย์ ปัญหา ความท้าทายใหม่ ในระดับภูมิภาค ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น อาเซียนแบ่งเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นผืนแผ่นดิน และกลุ่มประเทศเกาะ โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีที่เหมาะสมจะไม่เหมือนกัน อาเซียนมีภัยพิบัติเฉพาะภูมิภาคน่าจะเป็นโอกาสของระบบไอทีเตือนภัยที่ต่างจากภูมิภาคอื่น หรือการรับมือกับโรคเฉพาะภูมิภาค ประเภทเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งต้องใช้ความรู้ไอทีเข้าไปพัฒนาสินค้าหรือบริการไอทีที่ตอบสนองธุรกิจระดับภูมิภาค

ปัจจัยที่ทำให้สามารถขยายตัวเองเข้าสู่ระดับสากลได้สำเร็จ บริษัท ตัววิศวกร หรือนิสิตนักศึกษา จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความหลากหลายและแตกต่างได้ ซึ่งแนวทางปรับตัวมีวิธีการพื้นฐาน 3 ขั้นตอนคือ

อันดับแรก “การประเมิน” ตนเอง 
ทั้งระดับองค์กร, บริษัท, กลุ่มหน่วยงานย่อย หรือตัวบุคคล เพื่อรับรู้สภาพปัญหา หรือ “องค์ความรู้” ในระดับภูมิภาคหรือสากลที่เรายังขาด ยังไม่ชำนาญ โดยเน้นองค์ความรู้ 4 ด้านที่กล่าวไว้ คือ

  1. ศาสตร์และวิทยาการเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งในวงการไอทีเป็นวงการสากลอยู่แล้วประเทศไทยจึงอยู่ที่ประเมินว่า “ทันสมัย” หรือไม่, 
  2. มีความรู้และสามารถดำเนินธุรกิจในเศรษฐกิจ การเงินการธนาคารระดับภูมิภาคอาเซียนหรือไม่, 
  3. ด้านสังคม รวมไปถึงรู้จัก “ภาษา” วิธีการสื่อสาร วัฒนธรรมองค์กรความเชื่อกฎหมาย ศาสนาของอาเซียนที่มีผลต่อธุรกิจหรือยัง และ
  4. รู้แนวปฏิบัติหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นของอาเซียนที่เราจะไปติดต่อค้าขายด้วย เช่น วิธีทำการตลาดของสินค้าไอทีแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาคก็จะแตกต่างกัน


ขั้นตอนที่สองคือ “เรียนรู้แสวงหา” 
องค์ความรู้ใหม่ที่เราขาดไป ติดตามข่าวสาร ยอมรับความต่างของสิ่งที่ไม่คุ้นเคย วิธีที่ไม่คุ้นเคย เครื่องมือ ศาสตร์ ภาษา วิธีการทำงาน ระเบียบ กฎที่ไม่คุ้นเคยได้ โดยตั้งหลักในความถูกต้อง (จากหลักของประเทศไทยสู่ถูกต้องระดับอาเซียน) ซึ่งองค์ความรู้ด้านศาสตร์และวิทยาการจะไม่เป็นอุปสรรคเพราะมีความเป็นสากลอยู่แล้วจะมีความแตกต่างในด้านความทันสมัย ส่วนด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และ ค่านิยมต่าง ๆ นั้นต้องอาศัยการยอมรับและปรับตัวให้เรียนรู้ได้รวดเร็ว แล้วนำองค์ความรู้ที่เรียนรู้ หรือซื้อหามาไปใช้แทน หรือประยุกต์กับองค์ความรู้เดิมที่ใช้ระดับประเทศ

ขั้นตอนสุดท้ายคือต้อง “พัฒนา” การ     ทำงาน สินค้า บริการ การเรียนรู้ใหม่ซึ่งทักษะสำคัญที่ต้องทำให้ได้ 4 ทักษะ โดยทักษะแรกคือสามารถทำงานร่วมกันแบบกระจายงานให้ได้ เน้นทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน การทำงานร่วมกันจากเดิมในกลุ่มในทีม ระหว่างบริษัทในประเทศ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเออีซี จะกระจายในระดับประเทศซึ่งการติดต่อสื่อสารจะทำได้ยากขึ้นต้องทำงานผ่านเทคโนโลยี ไอที ทำให้เกิดข้อจำกัด เช่น เวลา งบประมาณ ภาษา ซึ่งทำให้อาจจะต้องเพิ่มต้นทุนให้กับตัวกลางหรือหน่วยงานกลางในระดับธุรกิจ  หรือ ส่วนบุคคลต้องสร้างทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมข้ามชาติ ของตนเองโดยเน้นทักษะด้านภาษาและความรู้ด้านวัฒนธรรม

ทักษะต่อมาคือ ทุกองค์กร หรือทุกคนในวงการไอทีควรสามารถอธิบาย หรือเข้าถึงข้อมูลธุรกิจไอทีของอาเซียนให้ได้ เช่น การตลาด ผู้บริโภค ผู้จ้างงาน บริษัท แหล่งรายได้ในอาเซียน ซึ่งอาจจะต้องอาศัยทักษะด้านภาษาและวัฒนธรรม และเข้าถึงแหล่งความรู้เหล่านี้

ทักษะที่สามคือ ต้องเข้าใจและสามารถปรับตัวกับการควบรวมกิจการ องค์กร บริษัท 
ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแทบทุกวงการโดยเฉพาะไอที เพราะเป็นกลวิธีทางธุรกิจพื้นฐานในการขยายการเติบโต ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงาน เช่น องค์กรแปลงไปเป็นอีกองค์กร หรือยังคงอยู่แต่ต้องปรับให้เข้ากับระบบใหม่ ตัววิศวกรไอทีหรือบุคลากรต้องสามารถปรับตัวได้ รวมทั้งบริษัทไทยเองก็อาจจะเป็นผู้ไปควบรวมกิจการในอาเซียนซึ่งต้องคำนึงถึงการผนวกองค์ความรู้ทั้ง 4 ด้านของไทยเข้ากับองค์กรในประเทศนั้น

ทักษะสุดท้ายคือสามารถวิเคราะห์ “ข้อดี” หรือ “โอกาส” 
ของสินค้าและบริการเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาคให้ได้ เช่น เพิ่มฟังก์ชั่นการออกแบบสินค้า หรือบริการไอทีที่เฉพาะภูมิภาค หรือประเทศนั้น (เช่นมองด้านกฎหมาย หรือการเงิน) ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งทางธุรกิจ, มองโอกาสที่เพิ่มขึ้น ช่องทางที่เพิ่มให้สิ่งที่ออกแบบมีมูลค่าเพิ่ม เช่น ต้องมีวิธีการใช้งานเฉพาะประเทศนั้น ๆ เช่น มีหน้าจอการใช้งานที่ใช้ภาษาประเทศนั้น มีการใช้สีสัน รูปแบบเฉพาะกลุ่ม และคิดค้นหาวิธียุบรวมให้เหลือสินค้า บริการ การทำงานต่าง ๆ ที่ตอบสนองเรื่องเดียวกัน, ความต้องการแบบเดียวกันให้เหลือน้อย เป็นมาตรฐาน  แต่ให้สามารถพัฒนาปรับไปใช้งานได้กับภาษาอื่น หรือพัฒนาเพิ่มความเป็นท้องถิ่นแทรกได้ เป็นต้น เช่น โปรแกรมที่เปลี่ยนหน้าจอได้ อุปกรณ์ที่ปรับปุ่ม สีสันภายนอกได้ หรือแม้แต่คู่มือการทำงานที่ปรับให้เหมาะกับประเทศนั้นได้ เป็นต้น

การเปิดอาเซียนหรือเออีซีจริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งใหม่แต่เป็นเรื่องเดิมที่ขยายเพิ่มขึ้น หากมองว่าเราก็ต้องมีการปรับตัวจากสิ่งที่ทำในบ้านให้เข้ากับที่ทำงาน ที่โรงเรียน ต้องปรับให้เหมาะกับบริษัทที่ไปทำงานใหม่ หรือแม้แต่จากเมืองหลวงกับชนบทซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้หลักการของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ของตนเข้ากับคนอื่น ต้องมีการยอมรับปรับตัว อาศัยแนวปฏิบัติ 3 ขั้นตอนที่กล่าวมาใครที่ปรับตัวเก่งก็น่าจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จแต่ที่สำคัญคือการช่วยเหลือเกื้อกูลให้กับผู้อื่นให้ก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีความสุขกันให้ได้

แหล่งที่มา   เว็บไซต์เดลินิวส์โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิษณุ คนองชัยยศ  ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...