วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เมนูแคลอรี่ต่ำ

เมนูแคลอรี่ต่ำ ลดน้ำหนักกินมื้อเย็นก็ผอมได้



1) ส้มตำไทย
ส้มตำ ถือเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของคนไทย
นิยมมากขนาดติด 1 ใน 10 อาหารไทยยอดนิยม
ที่ชาวต่างชาติและคนไทยชอบรับประทาน และ
ยังดังไปถึงระดับโลกด้วยการติดอันดับที่ 46

จากการสำรวจข้อมูลของเว็บไซต์ cnngo.com
ที่จัดอันดับสุดยอดอาหาร 50 เมนูทั่วโลกในปี 2011
เมนูชื่อส้มตำแต่ส่วนผสมหลักมาจากมะละกอดิบ
รสชาติปรับได้ตามใจผู้บริโภค ชอบรสเผ็ดใส่พริกเพิ่ม
ชอบรสเปรี้ยวใส่มะนาวเพิ่ม เป็นเมนูสุขภาพและ
เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก
เสริฟส้มตำพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว

เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มะละกอดิบหั่นฝอย 2 ถ้วยตวง
* แครอทหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง
* ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วยตวง (หั่นความยาวประมาณ 1" )
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทรายแทนได้)
* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
* มะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นครึ่ง)
* กุ้งแห้ง 1/3 ถ้วยตวง
* ถั่วลิสง 1/4 ถ้วยตวง
* พริกขี้หนู 10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความต้องการ)
* กระเทียมสด 5 กลีบ

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ใส่กระเทียมและพริกลงในครก ใช้สากตำพอแหลก
จึงใส่กุ้งแห้งและตำต่อไปอีกสักพัก

2. ใส่น้ำตาลปี๊บ ตำต่อจนน้ำตาลละลาย
จึงใส่มะละกอฝอย, แครอทฝอย, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ,
ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว
จากนั้นจึงตำต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเคล้ากันทั่ว

3. ปรุงรสให้ถูกปากด้วย น้ำตาล, น้ำปลา หรือ
น้ำมะนาวเพิ่ม รสดั้งเดิมจะมีรสหวาน, เผ็ด และเปรี้ยวพอๆ กัน

4. ตักใส่จานและโรยหน้าด้วยถั่วลิสง
เสิรฟพร้อมผักสด (กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว,
ผักบุ้งไทย, อื่นๆ) และข้าวเหนียวร้อนๆ
(สำหรับ 2 ท่าน)

2) ต้มมะระยัดไส้หมูสับ 

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

มะระยัดไส้หมูสับ
* มะระ 2 ลูก 
* หมูสับ 300 กรัม 
* กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 
* รากผักชีหั่นละเอียด 2 ราก 
* ซิอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ 
* ซ๊อสหอยนางรม 2 ช้อนชา 
* น้ำตาล 2 ช้อนชา 
* เห็ดหอม 3 ต้น (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ) 
* แครอทหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ลูก 
* เกลือ (เพื่อลดความขมของมะระ)
* น้ำซุป 3 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา 
* ผักชี (สำหรับแต่งหน้าอาหาร)

มะระยัดไส้หมูสับ 
* ต้มมะระยัดไส้หมูสับ 
 
วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ล้างมะระให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้น
ความยาวประมาณ 2 นิ้ว ควักเอาไส้
ภายในมะระออกให้หมด จากนั้น
ทาเกลือภายนอกและภายในให้ทั่ว 
ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที แล้วจึงนำไปล้าง
ด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด

2. ในชามขนาดกลาง, ใส่เนื้อหมู, กระเทียม, 
รากผักชี, ซิอิ๊วขาว (1 ช้อนโต๊ะ), 
ซ๊อสหอยนางรม (1 ช้อนชา) และน้ำตาล (1 ช้อนชา) 
นวดด้วยมือจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 
จากนั้นจึงนำไปยัดใส่ในมะระที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง 

3. นำน้ำซุป (หรือน้ำเปล่า) ไปใส่ในหม้อและ
นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
จึงใส่มะระยัดไส้, เห็ดหอม, แครอท, ซิอิ๊วขาว (1 ช้อนโต๊ะ), 
ซ๊อสหอยนางรม (1 ช้อนชา) และน้ำตาล (1 ช้อนชา) 
หลังจากใส่เครื่องปรุงทั้งหมด รอจนน้ำซุปเดือดอีกครั้งจึงหรี่ไฟลง 
ตุ๋นทิ้งไว้ด้วยไฟอ่อนอย่างน้ิอยหนึ่งชั่วโมง 
(ยิ่งตุ๋นนาน รสชาตของน้ำซุปยิ่งอร่อยขึ้น) 

4. เมื่อตุ๋นได้ที่แล้วตักใส่ถ้วย 
โรยหน้าด้วยผักชีและพริกไทยนิดหน่อย 
เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

(สำหรับ 2 ท่าน)

3) ยำวุ้นเส้น
ยำวุ้นเส้น เป็นหนึ่งเมนูในดวงใจของสาวๆ หลายคน 
และเป็นเมนูที่นิยมมากที่สุดเมนูนึงในหมวดอาหารประเภทยำ 
ด้วยรสชาติที่จัดจ้าน รสเปรี้ยวและรสเผ็ดที่เข้ากันอย่างพอดี 
ยำวุ้นเส้นจึงเป็นกับแกล้มชั้นดีอีกด้วย 

เคล็ดลับความอร่อยคือ อย่าลวก วุ้นเส้นนานจนเกินไป 
เส้นจะอืดและไม่น่าทาน ด้วยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ 
ยำวุ้นเส้นจึงเป็นอาหารที่ผู้ควบคุมน้ำหนัก 
นิยมรับประทานด้วยเช่นกัน 
 
เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กุ้งขนาดกลาง 10 ตัว (ล้างทำความสะอาดและปอกเปลือก) 
* หมูสับ 100 กรัม 
* คึ้นช่าย 20 กรัม (หั่นความยาวประมาณ 1 นิ้ว)
* หัวหอมใหญ่ 1 หัว (หั่นเป็นชิ้น) 
* มะเขือเทศ 2 ลูก (หั่นเป็นชิ้น) 
* หอมแดงซอย 20 กรัม 
* พริกขี้หนูหั่นหยาบ 5 เม็ด 
* วุ้นเส้น 40 กรัม 
* น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ 
* น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ 
* น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. นำหมูสับและกุ้งที่แกะแล้วไปลวกในน้ำร้อนจนสุก สะเด็ดน้ำให้แห้ง 
2. จากนั้นนำวุ้นเส้นไปลวกน้ำร้อนจนนุ่ม จึงตักออกและทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
3. ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดลงในชามขนาดใหญ่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา, 
น้ำตาลและน้ำมะนาว ตักใส่จานเสิรฟ แต่งหน้าด้วยผักสด 
(กะหล่ำปลีซอย, แตงกวา, ถั่วฝักยาว, เป็นต้น) 
(สำหรับ 2 ท่าน)
 
4) ซุปไก่มันฝรั่ง 
ซุปไก่มันฝรั่ง เสิร์ฟร้อน ๆ ตอนเช้าได้โภชนาเต็มถ้วย 
ทำง่าย ๆ ไม่ต้องรอนาน ทำเตรียมไว้กินเป็นอาหารเช้า
ท่าจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

เช้า ๆ ที่กำลังจะเข้าหน้าหนาวแบบนี้ 
ถ้าได้ซุปไก่มันฝรั่งถ้วยนี้สักหน่อยก็คงจะดีสุดๆ 
และถ้าใครที่ชื่นชอบอาหารมุสลิมก็น่าจะคุ้นเคย
กับเมนูซุปหน้าตาแบบนี้แน่ ๆ เป็นเมนูง่ายๆ 
รสไม่จัดจ้าน แต่จัดว่าอร่อย ! เหมาะกับเด็กๆ 
หรือคนที่ไม่ชอบกินอาหารรสจัด 

ส่วนผสม 
* ปีกบนไก่ 10-15 ชิ้น
* รากผักชี
* พริกไทยดำ 10-15 เม็ด
* มันฝรั่ง ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว
* แครอท ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
* หอมหัวใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเต๋า 1-2 หัว 
* มะเขือเทศลูกใหญ่ หั่นเต๋า 6 ลูก (เลือกลูกที่แข็ง ๆ เวลาสุกจะได้ไม่เละ)
* ผักชี
* น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ 
* น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

* ใส่น้ำลงในหม้อ ประมาณ 1/2 หม้อ 
นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง (ขนาดหม้อตามสะดวก 
ขึ้นอยู่กับว่าชอบน้ำมากน้ำน้อย ส่วนน้ำไม่ต้องเป๊ะ ๆ ก็ได้)

* ใส่ปีกบนไก่ รากผักชี พริกไทยดำเม็ด มันฝรั่ง 
และแครอทลงไปต้ม (ใส่สองอย่างนี้ก่อนเพราะสุกยาก 
ส่วนมะเขือเทศกับหอมใหญ่รอก่อน)

*  ต้มจนน้ำเดือด หมั่นช้อนฟองอากาศและไขมันออก 
(พอเดือดจะมีฟองและมันไก่ลอยออกมาให้เห็น 
ให้ช้อนฟองและมันออก เพื่อน้ำซุปของเราจะได้ใส ไม่ขุ่น และมันวาว)

* ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ น้ำตาลทราย และผงปรุงรส 
จากนั้นคนผสมเบา ๆ (อย่าคนนาน เดี๋ยวจะเละ ดูไม่น่ารับประทาน 
สำหรับใครที่เลือกซุปก้อนให้ใส่ลงไปพร้อมไก่เลย) 
ชิมรสตามชอบ จากนั้นใส่มะเขือเทศและหอมใหญ่ลงไปต้ม
จนเดือดอีกครั้งและผักสุก ตักใส่ถ้วย โดรยด้วยผักชี พร้อมเสิร์ฟ
 
5) แกงเห็ดรวม สไตล์อีสาน

ส่วนผสม
* เห็ดชนิดต่างๆ ตามชอบ (เห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง เห็นนางฟ้า อื่นๆ) , 
* ผักหวาน ,ใบแมงลัก ,น้ำปลา ,ตะไคร้ ,หัวหอมแดง ,กระเทียม ,พริก
* น้ำปลาร้า(ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
1. ล้างเห็ดและผักต่างๆ ให้สะอาด 
(เช่น เห็ดฟางไปล้างน้ำขูดเอาดินออก แล้วผ่าครึ่ง , 
เห็ดเข็มทอง ตัดโคนออกแล้วฉีกเป็นช่อๆ เป็นต้น)

2. เตรียมพริกแกงโดยนำ ตะไคร้หั่นแล้ว ,
กระเทียม ,พริก ,หัวหอมแดง โขลกให้ละเอียด

3. นำน้ำใส่หม้อหนึ่งถ้วยแล้วเอาพริกแกงที่
โขลกเตรียมไว้ลงไปในหม้อคนให้เข้ากัน 
พอเดือดก็นำเห็ดต่างๆลงยกเว้นเห็ดเข็มทอง 
แล้วปรุงรสตามชอบด้วย น้ำปลา 
และน้ำปลาร้า รอจนเดือดอีกครั้งแล้ว
จึงนำเห็ดเข็มทอง ผักหวาน 
และใบแมงลักใส่ลงไปในหม้อแล้วปิดฝาไว้ 
สักครู่แล้วจึงดับไฟ

ถ้าใส่เห็ด ครบ 3 อย่างเมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร
จะมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ
- ช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ
- ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้นเป็นเซลล์มะเร็ง

6) ซุปหน่อไม้ 

ซุปหน่อไม้นั้นเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคอีสาน
ที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย หากพูดถึงส้มตำ
ก็ต้องมีซุปหน่อไม้ ซึ่งผู้นิยมอาหารอีสาน
มักจะสั่งมาควบคู่กับส้มตำด้วยเสมอ 
เพราะอร่อยแซ่บหลายอย่าบอกใคร 

สำหรับวิธีการทำซุปหน่อไม้นั้น
คุณสามารถทำรับประทานเองได้แสนง่าย 
คือการนำหน่อไม้รวก มาต้มกับใบย่านางจนสุก 
แล้วตักเอาเฉพาะเนื้อหน่อไม้ที่เตรียมไว้และ
น้ำใบย่านางอีกเล็กน้อย เอามาปรุงแต่งรสชาติ
ด้วยข้าวคั่ว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง พริกป่น 
คลุกเคล้ากับน้ำมะนาว น้ำปลา 

เพียงเท่านี้ก็ได้รสชาติอร่อยแบบแซ่บสุดๆ แล้ว

เครื่องปรุง
1.หน่อไม้เผา ต้มให้สุก ½ ถ้วยตวง
2.น้ำใบย่านาง 1 ถ้วยตวง
3.พริกป่น 2 ช้อนชา
4.ข้าวคั่ว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
5.งาขาวคั่ว โขลกพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ 
6.น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
7.น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
8.น้ำปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
9.หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
10.ต้นหอมซอย 3 ช้อนโต๊ะ
11.ผักชีฝรั่งหั่น 2 ช้อนโต๊ะ
12.ใบสะระแหน่ 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ในขั้นตอนแรกควรเตรียมหน่อไม้ให้พร้อมปรุงเสียก่อน

* ถ้าเป็นหน่อไม้สดจะเอามาทำซุปหน่อไม้ 
ต้องนำไปเผาไฟให้สุก จากนั้นให้เอากาบออก
ให้เหลือแต่เนื้อหน่อไม้ แล้วเอาไปล้างให้สะอาด 

จากนั้นเอาไปต้มให้สุก (หน่อไม้จะเหลือง) 
เมื่อต้มหน่อไม้สุกแล้ว นำมาเลาะเปลือกออก 
แล้วนำเนื้อไปทำการขูดเป็นเส้น 
(คือเอาช้อนส้อมหรือเหล็กแหลมอันใหม่
มาขูดจากโคนของเนื้อหน่อไม้ไปทางยอด
จะได้หน่อไม้เป็นเส้นๆตามยาว) 

จากนั้นต้องพยายามบีบนวดขยำเนื้อหน่อไม้
หรือการคั้นน้ำจากหน่อไม้ให้น้ำหมดไป
จากเนื้อหน่อไม้ด้วย (เพื่อให้น้ำขมในเนื้อหน่อไม้หมดไป) 
แล้วควรนำไปล้างทำความสะอาดอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง 
คือหน่อไม้ที่เตรียมเสร็จแล้วนั้นควรมีรสจืด

* แต่ถ้าเป็นหน่อไม้รวก หน่อไม้ดองขูดเป็นเส้นเล็กฝอย 
หรือหน่อไม้แบบกระป๋อง (ที่หาซื้อได้จากตลาด …แบบนี้ก็จะสะดวกดี) 
เตรียมโดยให้นำหน่อไม้ไปต้มกับน้ำเปล่าจนสุก 
ให้หายขม หายเฝื่อน...ก็นำมาปรุงซุปฯ ได้แล้ว

2. ให้คั้นน้ำใบย่านาง (หรือจะซื้อที่ตลาดเลยก็ได้…ก็ให้ไปทำที่ข้อ 3 ได้เลย)
วิธีทำน้ำใบย่านาง คือให้นำส่วนใบย่านาง 3-4 ใบ
นำไปล้างทำความสะอาด แล้วนำไปใส่ครกโขลก
ให้ละเอียดหรือด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ก็ได้ 
แล้วเติมน้ำ 1 ถ้วยตวงลงไป 
เราก็จะได้น้ำใบย่านาง 1 ถ้วยตวงออกมาแล้ว 

3. ต้มหน่อไม้กับน้ำใบหญ้านาง ดังนี้คือ 
ใส่หน่อไม้ลงในหม้อ ตามด้วยน้ำใบย่านาง
และเกลือเล็กน้อย แล้วพยายามกดหน่อ
ไม้ให้จมลงในน้ำใบย่านางทั้งหมด 
จากนั้นเปิดไฟต้มจนหน่อไม้สุก 
ลักษณะคือจะมีน้ำขลุกขลิกเหลืออยู่
ในหน่อไม้ต้มน้ำใบย่านาง 

4. เมื่อเราต้มจนหน่อไม้สุกแล้ว 
ให้ปิดไฟ แล้วพักให้ส่วนของหน่อไม้นั้นเย็นซะก่อน 
ก่อนที่เราจะนำมาทำซุปหน่อไม้

5. นำหน่อไม้ที่เตรียมไว้และน้ำใบย่าเพียงเล็กน้อย
ใส่ลงในครก แล้วตำเบาๆคลุกเคล้าพอให้เข้ากัน 
จากนั้นใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไป 
ได้แก่ งา ข้าวคั่ว พริกป่น (ปริมาณตามชอบ) 
น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำปลาร้า แล้วตำเบาๆ
(ลักษณะแบบคลุกเคล้าและย้ำเล็กน้อยเพื่อให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน)

6. จากนั้นให้ใส่หอมแดงซอยลงไป 
ตามด้วยต้นหอมซอย แล้วตำเบาๆคลุกเคล้าให้เข้ากัน
 
7. จากนั้นให้ใส่ผักชีฝรั่งหั่นและใบสะระแหน่ลงไป 
แล้วเพียงใช้ช้อนหรือทัพพีคลุกเคล้าให้เข้ากัน
โดยไม่ต้องใช้ลูกครกย้ำแล้ว

8. จากนั้นก็ตักเสิร์ฟใส่จาน 
ตกแต่งบนอาหารด้วยต้นหอมซอย 
ผักชีใบยาว และใบสะระแหน่ 
เพื่อให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น
(สำหรับเสิร์ฟรับประทาน 1 ที่)

คำแนะนำ
* ส่วนผักที่ใช้รับประทานกับซุปหน่อไม้นั้นส่วยใหญ่
ก็จะเหมือนกันกับลาบและส้มตำ เพื่อเพิ่มรสชาติ
ให้อร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งผักที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเรา
สามารถนำมารับประทานด้วยได้ทั้งสิ้น 
เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักกาดขาว หรือใบโหระพา

* สามารถใช้ได้ทั้งพริกป่นและพริกสด 
สำหรับพริกป่นจะหอมกว่า พริกสดจะจัดจ้านกว่า 
หรือจะเอาพริกสดไปคั่วไฟก็ได้เหมือนกัน

* บางสูตรนั้น ในขั้นตอนปรุงรสซุปหน่อไม้นั้น 
เขาอาจนำหอมแห้งปอกเปลือกและพริกสด
ไปคั่วไฟในกระทะรวมกันพอหอม 
แล้วนำไปใส่ครกโขลกตำให้ละเอียดเข้ากันดี 

จากนั้นจึงใส่หน่อไม้ที่เตรียมไว้ลงไป 
แล้วก็ตามด้วยเครื่องปรุงต่างๆทั้งหมดลงไป
คลุกเคล้าให้เข้ากัน…แบบนี้ก็ได้ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่สูตร
แล้วแต่ถนัดความชอบครับ ก็จะได้รสชาติหอมอร่อยอีกแบบ 
แต่ก็ไม่ต่างกันมาก

7) ผักลวก 
พืชสมุนไพรต่างๆ เป็นประจำ

ผักกระเฉด 
ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ และพิษเบื่อเมา 
ในผักกระเฉดประกอบด้วย วิตามินเอ แคลเซียม 
และธาตุเหล็ก กินผักกระเฉดกับน้ำพริก 
แนมกับขนมจีนน้ำยา ใส่ในผักแกงส้ม 
ยำ ผัดผักกระเฉดไฟแดง

ถั่วพู 
มีโปรตีนช่วยให้ ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันกับโรค
มีกรดใช้รักษาโรคผิวหนังบางอย่าง 
กินได้ทั้งดิบและลวกสุก เป็นผักจิ่มน้ำพริก
ใส่ในยำ ทอดมัน แกงป่าต่างๆ

มะเขือเปราะ 
ลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 
นิยมใส่ในแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงป่า 
ผัดเผ็ดต่างๆ กินเป็นผักจิ่มน้ำพริกได้

มะระขี้นก 
ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย แก้โรคลม 
เข่าข้อ เข่าบวม แก้โรคม้าม ลดน้ำตาลในเลือด 

มะระขี้นกประกอบด้วย วิตามัน ซี ช่วยป้องกันไข้หวัด 
บำรุงสุขภาพ เหงือกและฟัน ป้องกันเลือดออก
ตามไรฟันและเยื่อบุต่างๆ เป็นผักสดและลวกสุก 
กินกับน้ำพริก ถ้าซอยบางๆ นำมาต้มกับน้ำเกลือให้สุก 
แล้วผัดกับไข่ก็อร่อย

ยอ
ใบยอช่วยบำรุงไต แก้ไข้ 
ส่วนผลช่วยเจริญอาหาร ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียน อาเจียน 
ในผลยอประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินซี แคลเซียม 
ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และเบต้า-แคโรทีน 
 
บวบ
ช่วยความความร้อนในร่างกาย 
ในบวบประกอบด้วย แคลเซียม และฟอสฟอรัส 
เป็นสารประกอบกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน 
ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ 
ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ 
รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย 

การนำไปใช้ นิยมผัดกับไข่ 
เป็นผักใส่ในแกงเลียง 
บางภาคจะนำบวบมาลวกสุกกินกับน้ำพริก 

หัวปลี
ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นอาหารบำรุงน้ำนมในสตรีให้นมบุตร 
แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ในหัวปลีประด้วยธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร  

กินได้ทั้งสดและต้มสุก แบบสดกินเป็นผักสดกับหลนต่างๆ 
ก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ถ้าต้มหรือย่างสุกจะนำมาทำยำหรือหั่นใส่แกง ต้มยำ 

สะเดา
ดอกสะเดาเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ 
ในสะเดาประกอบด้วยวิตามินเอ และวิตามินซี 
ซึ่งมีมากในใบ แคลเซียม ธาตุเหล็ก 
และเส้นใยอาหาร  ทั้งดอกและใบนิยม
กินกับน้ำปลาหวาน ปลาดุกหรือกุ้งย่าง
บ้างก็กินกับน้ำพริก ปลาช่อนเผาเกลือ หรือนำดอกมายำก็ได้ 

เห็ดฟาง
สารป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
ต้านไวรัส แก้ไข้หวัดได้ ช่วยย่อยอาหาร 
แก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย และลดคอเลสเตอรอลในเลือด  
ใส่ในต้มยำ ต้มข่า แกงป่า แกงเห็ดแบบอีสาน 
ยำ และใส่ในแกงเลียง 

ชะอม
ยอดและใบช่วยลดความร้อนในร่างกาย 
ส่วนรากแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ 
ในชะอมประกอบด้วยโปรตีน วิตามินบี 1 และวิตามินซี  
ชะอมมีกลิ่นฉุน จึงนิยมกินสุกโดยใส่ผสมในไข่แล้ว
นำมาเจียวกินเป็นเครื่องเคียงน้ำพริกกะปิ
ทางภาคเหนือ นิยมแกงกับปลาย่าง 
แกงขนุนอ่อน ทางภาคอีสาน นิยมใส่ในแกงหน่อไม้ 

ข้าวโพดอ่อน
ในข้าวโพดอ่อนประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน 
วิตามินซี แคลเซ๊ยม เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส 
เป็นสารประกอบกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน 
ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ 
ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ 
รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย  
ทำผัดผักรวมมิตร ใส่แกงเลียง แกงป่า ลวกจิ้มกับน้ำพริก 

ใบชะพูล
 เป็นอาหารบำรุงธาตุ แก้ปวดท้อง จุกเสียด 
ในใบชะพูล ประกอบด้วยวิตามินเอ แคลเซียม 
ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และเบต้า-แคโรทีน  

นิยมกินสด เช่น กินเป็นผักเมี่ยงคำ ลาบ 
ทางภาคเหนือและภาคใต้นิยมใส่ในแกง 
เช่น แกงเนื้อใบชะพูล แกงหอยแครงใบชะพลู 
หรือชุบแป้งทอด และทำเป็นยำใบชะพูดทอดกรอบ 

สายบัว
ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย 
ในสายบัวประกอบด้วยเส้นใยอาหาร 
ทำให้ขับถ่ายสะดวก ท้องไม่ผูก 
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร 
โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน  

นิยมทำแกงกะทิสายบัวกับปลาทู 
หรือผัดกับหมูหรือกุ้ง ลวกสุกกินกับน้ำพริก 
ภาคอีสานนำมาแกงสายบัวใส่ปลา 
นอกจากนี้ยังทำเป็นขนมสายบัว 

มะระจีน
ช่วยย่อยอาหารและเป็นยาระบายอ่อนๆ 
รักษาโรคเบาหวาน  ใส่แกงคั่วกับปลาดุก 
ลวกจิ้มน้ำพริก กินกับขนมจีน ผัดกับไข่ 
หรือหั่นบางๆ แช่เย็นกินกับกุ้งเต้น 
ทำแกงจืดมะระยัดไส้ ต้มจับฉ่าย 

ตามร้านก๋วยเตี๋ยวนิยมใส่ในน้ำซุบก๋วยเตี๋ยว 
บ้างก็สกัดเอาน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ 

บัวบก
ช่วยบำรุงหัวใจ ลดอาการแพ้ ลดความดันโลหิตสูง 
ช่วยสมานแผล เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ 
ระงับการเติบโตของแบคทีเรีย โดยน้ำคั้น
จากต้นและใบเป็นยาแก้ปวดหัวข้างเดียว 
ขับปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้ช้ำ 

ในบัวบกประกอบด้วย วิตามินเอ 
วิตามินบี 1 แคลเซียม และ เส้นใยอาหารถั่วฝักยาว
 

 ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด 
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี 
และระบบขับถ่ายทำงานปกติ 

การนำไปใช้ กินได้ทั้งสดและลวกสุก 
เป็นผักจิ้มน้ำพริก ใส่ในแกงส้ม แกงป่า 
และที่นิยมคือผัดพริกขิงหมูกับถั่วฝักยาว 

ตำลึง
ใบตำลึงดับพิษร้อน แก้เจ็บตา ตาแดง ตาแฉะ 
ส่วนตำลึงทั้งต้นแก้โรคผิวหนัง ลดน้ำตาลในเลือด 
ในตำลึงประกอบด้วยแคลเซียม เส้นใยอาหาร 
และเบต้า-แคโรทีน  กินได้ทั้งผลอ่อนสีเขียวและใบ 
ผลอ่อนนิยมนำมาแกงส้ม ลวกสุกกินกับน้ำพริก 
ใบตำลึงใส่ในแกงเลียง แกงจืดหมูบดตำลึง ก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู 

กระเจี๊ยบมอญ
 มีสารช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด 
รักษาความดันโลหิต บำรุงสมอง และเป็นยาระบาย 
เมือกเหนียวของกระเจี๊ยบช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร
ให้กับผู้มีปัญหาโรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ
ในกระเจี๊ยบมอญประกอบด้วยแคลเซียม เป็น
ส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน 
ช่วยในการแข็งตัวของเลือด  กินเป็นผักสดและผักต้มกับน้ำพริก 

แตงกวา
ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่น ยืดหยุ่น 
มีทั้งแตงกวาและแตงร้าน กินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก 
ทำเป็นแตงกวาผัดไข่ แกงจืดแตงกวายัดไส้ 
ถ้านำมายำหรือตำแตงจะใช้แตงร้าน 
เพราะมีเนื้อมากกว่าแตงกวา 

กุยช่าย
น้ำมันระเหยในกุยช่ายมีกลิ่นฉุน มีสารอัลลิซิน (Allicin) 
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต 
ป้องกันมะเร็ง ในกุยช่ายประกอบด้วยเส้นใยอาหาร 
ทำให้ขับถ่ายสะดวก ท้องไม่ผูก ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
โรคริดสีดวงทวาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน  
กินได้ทั้งดอกและใบ ดอกกุยช่ายนิยมผัดกับตับหมู 
ส่วนใบกินสดกับก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมี่กะทิ หมี่กรอบ 
และใส่เป็นไส้ขนมกุยช่าย 

ฟักทอง
กระตุ้นการหลั่งของอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 
ป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต 
ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ บำรุงตับ ไต นัยน์ตา 
ควบคุมการสมดุลของร่างกาย ในฟักทองประกอบ
ด้วยคาร์โบไฮเดรต และเบต้า-แคโรทีน  

ทำอาหารคาวได้หลายอย่าง เช่น 
แกงเผ็ดเนื้อใส่ฟักทอง แกงเลียง ฟักทองผัดไข่ 

ส่วนขนมหวาน เช่น ขนมฟักทอง ฟักทองแกงบวด 
ฟักทองนึ่ง สังขยาฟักทอง ฟักทองเชื่อม 
ใส่เป็นสีเหลืองในแป้งขนมบัวลอย 

ยอดมะระขี้นก
เป็นยาเจริญอาหาร ยาขับพยาธิ บำรุงน้ำนม 
ขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังคลอด แก้หัวเข่าบวม 
โรคตับ และลดน้ำตาลในเลือด 

ในยอดมะระขี้นประกอบด้วยวิตามินเอ 
วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี เส้นใยอาหาร 
และฟอสฟอรัส เป็นสารประกอบกับแคลเซียม
ในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยให้การหลั่งน้ำนม
เป็นไปตามปกติ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ 
รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด - ด่าง
ในร่างกาย นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก 

ผักบุ้งไทย
มีสารอย่างหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน 
ทำหน้าที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี 
และมีสรรพคุณในการดูดซับไขมันได้ดี 

ในผักบุ้งไทยประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม 
ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส  

ผักบุ้งไทยมี 2 ชนิด คือ ผักบุ้งท้องนาสีแดงและผักบุ้งน้ำสีขาว 

ส่วนผักบุ้งท้องนานิยมนำมากินสดกับส้มตำ 
ลาบ น้ำพริก ส่วนผักบุ้งน้ำมักกินสุก เช่น 
นำมาผัดผักบุ้งหมูสับ ใส่ในแกงเทโพ แกงส้ม
ใส่ในก๋วยเตี๋ยว เช่น ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 
ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก หรือซอยเฉียงส่วนก้านบางๆ 
ผัดกับน้ำมัน นำใบมาชุบแป้งทอดแล้ว
กินแนมกับขนมจีนน้ำพริก บ้างก็นำก้านมาซอย
เป็นเส้นยาวชุบแป้งทอด ทำเป็นยำผักบุ้งทอดกรอบ 
 
8) ต้มจืดเต้าหู้ไข่หมูสับ
เมนูแสนง่ายที่ใครๆ ก็ทำได้ 

ต้มจืดเต้าหู้ไข่หมูสับ ทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และได้คุณค่าทางอาหารแบบครบถ้วน

ส่วนผสม
* หมูบด 
* เต้าหู้ไข่แบบหลอด 
* น้ำซุป 
* รากผักชี กระเทียม พริกไทยเม็ด ต้มหอม คื่นฉ่าย 
* ซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย 

วิธีทำ
* กระเทียม พริกไทยเม็ด รากผักชี โขลกละเอียดให้เข้ากัน
* แล้วนำไปหมักกับหมูบดที่เราเตรียมไว้
* เติมซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว และน้ำตาลทราย 
* หมักหมูไว้ซักพัก หั่นคื่นช่าย ต้นหอม และเต้าหู้ไข่เตรียมไว้
* ตั้งน้ำซุปต้มจืดในหม้อไว้ให้เดือด 
* จากนั้นปั้นหมูบดที่เราหมักไว้ให้เป็นก้อน? 
* นำลงไปต้มในหม้อซุป รอจนหมูสุก 
* ใส่เต้าหู้ไข่ที่เราเตรียมไว้ลงไป 
* รอให้น้ำซุปเดือดอีกครั้ง 
* ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย ให้ได้รสตามชอบ 
* นำคื่นช่ายและต้นหอมใส่ลงหม้อ 
* แล้วปิดไฟ ตักต้มจืดใส่ชามเสิร์ฟร้อนๆ 

9) เส้นหมี่น้ำใส

ส่วนผสม 
1. น้ำซุบกระดูกหมู  (ถ้าไม่มีอาจใช้เป็นซุปก้อน หรือซุบผงแทนได้)
2. เส้นหมี่ ไม่มีใช้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แทนก็ได้
3. ผักตามชอบ (เช่น กวางตุ้ง)
4. หมูสับ ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว พริกไทยป่น คนให้เข้ากัน หมักเตรียมไว้
5. กระเทียมเจียว
6. ถั่วคั่วเองแล้วนำมาบดหยาบ ๆ  (ถ้าไม่ชอบไม่ต้องใส่จ้า..) 
 
วิธีทำ
1. เริ่มจากทำน้ำซุบกระดูกหมูก่อน
นำกระดูกหมูประมาณ 300 กรัม ต้มกับน้ำสะอาด ½ หม้อ 
(ดูหม้อด้วยนะว่าใหญ่อะป่าว^^”) 

แล้วก็ใส่กระเที่ยมสด (บุ ๆ ทุบๆ หน่อย) 
ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว พริกไทยป่น

2. เคี่ยวประมาณ 30 นาที ให้กระดูกหมูเปื่อยหน่อย 
แนะความหวานของน้ำกระดูกออกมา  
หากมีฟองให้ช้อนฟองทิ้งด้วย

หากใครมีรากผักชีเหลือ ๆ จะใส่เพิ่มลงไปให้หอม ๆ 
พอได้ที่แล้วก็ก็นำหมูสับที่เราหมักเตรียมไว้ 
มาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่ลงไปในหม้อน้ำซุบเลย
(ถ้าน้ำแห้งหรือน้ำน้อยไปเพิ่มน้ำได้นะจ๊ะ) 
ต้มจนหมูสับสุกลอยขึ้น เป็นอันใช้ได้ จากนั้นก็พักไว้ก่อน

3. เตรียมเครื่องปรุงตัวหลักกัน
ก็มีเส้นหมี่ขาว ส้มใช้ 2 ก้อน
ผักกวางตุ้ง ประมาณ 3-4 ต้น หั่นท่อน  
แล้วก็มีน้ำปลา น้ำตาล  ถั่ว  พริกป่น 

4. เตรียมลวกเส้นหมี่โดย ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นนำเส้นหมี่ใส่ลงไป 

5. ต้มจนหมี่เริ่มสุก เทน้ำทิ้งให้หมด 
แล้วนำเส้นหมี่ลงแช่น้ำเย็น ประมาณ 2 นาที    

6. จากนั้นเทน้ำออก พักหมี่ให้สะเด็ดน้ำ 

7. เตรียมชาม หรือจานใบใหญ่หน่อย  ใส่กระเทียมเจียวลงไป 

8. นำเส้นหมี่ที่เราพักให้สะเด็ดน้ำไว้แล้ว
ลงไปคลุกกับน้ำมันกระเทียมเจียว
คลุกให้ทั่ว เส้นจะไม่ติดกัน แถมหอมกระเทียมเจียวด้วย  
พักไว้รอประกอบร่างได้เลย 

9. น้ำซุบพร้อมแล้ว
  
10. เตรียมลวกผักไว้ด้วยเลย
นำน้ำสะอาดใส่หม้อ เติมเกลือป่นลงไปเล็กน้อย 
ผักจะได้เขียวสด  ตั้งไฟกลาง จนน้ำร้อน 

11. แล้วก็ใส่ผักลงไปลวก
โดยให้ใส่ก้านแข็ง ๆ ลงไปก่อน
ประมาณ 1-2 นาทีแล้วค่อยตามด้วยใบ 
ประมาณ 1 นาที จากนั้นก็ปิดไป ทิ้งไว้สักครู่นึง 

12. เทน้ำลวกผักทิ้งคะ นำผักแช่น้ำเย็นอีกครั้ง 
แล้วกรองน้ำออกให้สะเด็ดน้ำ ผักไว้ 

13. เครื่องปรุงพร้อมแล้วเตรียมทานกันดีกว่า

10) ก๋วยเตี๋ยวเรือหมูน้ำตก
เคล็ดลับของก๋วยเตี๋ยวเรือ คือ น้ำซุปต้องหอม 
รสชาติต้องกลมกล่อมสมดุลกัน 
ตักราดลงบนเส้นแล้วต้องไม่จืดชืด

ผักทุกชนิดที่ใช้ต้องสด 
เนื้อสัตว์ต้องใหม่ไม่มีกลิ่นตุ 
เพราะทุกองค์ประกอบล้วนส่งผลต่อกลิ่น
และรสชาติของอาหารทั้งหมดทั้งสิ้น...

ส่วนผสม น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว
           น้ำเปล่า 10 ลิตร
           กระดูกเอียวเล้ง 1 ก.ก.
           เครื่องตุ๋นหมูน้ำข้น 2 ชุด
           กระเทียมดอง 5 หัว
           น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วยตวง
           ข่าแก่ (ยาว 2 นิ้ว) บุบพอแตก 1 ท่อน
           รากขึ้นฉ่าย 5 ราก
           ใบเตย 8 ใบ
           เกลือป่น 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลมะพร้าว 150-200 กรัม
           เต้าหู้ยี้ 10 ก้อน
           ซีอิ๊วดำ 7-8 ช้อนโต๊ะ
           ซีอิ๊วขาว (สูตร 1) 1/2 ถ้วยตวง
           ซอสปรุงรสฝาเขียว 1/2 ถ้วยตวง
           เลือดหมูสด 2 ถ้วยตวง
           ใบตะไคร้
           เหล้า 2 ช้อนโต๊ะ
           ลูกกระวานไทย 5 ลูก
           ใบกระวาน 3 ใบ

 ส่วนผสม เนื้อหมูกหมัก
           เนื้อสะโพกหมู 1 ก.ก.
           ไข่แดง 2 ฟอง
           แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
           ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 
           ซอสปรุงรส 1/2 ช้อนโต๊ะ

 เครื่องก๋วยเตี๋ยวอื่น ๆ
           เส้นก๋วยเตี๋ยวตามชอบ
           ลูกชิ้นหมูอย่างดี
           ขึ้นฉ่ายซอย
           ถั่วงอก
           ใบโหระพา
           กากหมูเจียวกรอบ
           ผักชีฝรั่งซอย
           พริกไทยป่น
           ตับหมูหั่นบาง ๆ

วิธีทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว
สำหรับน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวสูตรนี้
จะใช้ส่วนผสมต่ออัตราส่วนของน้ำเปล่า 10 ลิตร
คือถ้าใช้น้ำในปริมาณที่มากขึ้น สัดส่วนของเครื่องปรุง
และส่วนผสมต่าง ๆ ของการทำน้ำก๋วยเตี๋ยว 
ก็ต้องคูณเพิ่มไปด้วยเช่นกัน


ก๋วยเตี๋ยวเรือหมูน้ำตก
* ใส่น้ำ 10 ลิตรลงในหม้อก๋วยเตี๋ยว นำขึ้นตั้งไฟแรง ใส่เครื่องตุ๋นหมูน้ำข้นลงไป 2 ห่อ ตามด้วยลูกกระวาน และใบกระวาน ตามด้วยเกลือป่น ปิดฝาต้มให้เดือด

          หมายเหตุ : เครื่องตุ๋นหมูน้ำข้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายของชำในตลาด หรือร้านที่ขายวัตถุดิบสำหรับทำก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจากภาพดิฉันได้แยกส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในซองเครื่องตุ๋นออกจากกัน เพื่อให้เห็นว่า ด้านในประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และก่อนที่จะใส่เครื่องตุ๋นลงไปในหม้อ ทางที่ดีเราควรจะนำไปล้างน้ำเสียก่อน เพื่อชำระล้างเอาเชื้อรา ฝุ่น หรือเม็ดทราย ที่อาจมีปนเปื้อนอยู่ออกไป นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องเทศอีกสองชนิดที่ต้องใส่ลงไปเพิ่มเพราะในชุดหมูตุ๋นนั้นไม่มี นั่นก็คือ ลูกกระวาน 5 ลูก และใบกระวานอีก 3 ใบ 

* เมื่อน้ำเดือดพล่านแล้วจึงใส่กระดูกเอียวเล้งลงไป ปิดฝาหม้อต้มจนเดือด แล้วจึงหรี่ไฟให้เหลือไฟอ่อนๆ 

ใส่กระเทียมดองและน้ำกระเทียมดองลงไป 
ตามด้วยรากขึ้นฉ่าย ข่าแก่ และใบเตย 
ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลมะพร้าว 
และซีอิ๊วดำ แล้วปิดฝาหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนต่อไปเรื่อย ๆ

          หมายเหตุ : เครื่องปรุงแต่ละยี่ห้อจะให้รสและสีที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรใช้วิจารณญาณในการกะปริมาณเครื่องปรุงให้เหมาะสมด้วยตัวเอง แต่สำหรับสูตรนี้ดิฉันใช้ซีอิ๊วขาวสูตร 1 และซอสปรุงรสฝาเขียวค่ะ ส่วนน้ำตาลมะพร้าวก็ใช้น้ำตาลมะพร้าวแท้ที่มาจากจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะให้กลิ่นหอมและช่วยให้รสน้ำซุปกลมกล่อมโดยที่ไม่ต้องใส่ผงชูรสเลย แต่ถ้าใครอยากจะใส่ผงชูรสก็สามารถใส่ได้ตามความชอบ 

           น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวที่หวานหอม ควรใช้เวลาในการต้มอย่างน้อยๆ 1 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ความหวานตามธรรมชาติในกระดูกนั้นละลายออกมากับน้ำซุป ยิ่งต้มนานก็ยิ่งอร่อย

           เมื่อน้ำซุปเดือดได้ที่แล้ว โขลกเต้าหู้ยี้ให้ละเอียดละลายใส่ลงไป  

           นำเลือดหมูสดมาขยำกับใบตะไคร้ในภาชนะสักครู่ขยำเสร็จแล้วนำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ ๆ จากนั้นตักน้ำก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาสักกระบวย ใส่ลงไปในภาชนะที่ใส่เลือดหมู ใช้ช้อนคนเร็ว ๆ ให้เข้ากัน 

           เร่งไฟแรง จากนั้นจึงละลายเลือดใส่ลงไปในหม้อน้ำซุป คนเล็กน้อยให้พอเข้ากัน แล้วหรี่ไฟอ่อนตามเดิม (ภาพการคั้นเลือดหมูไม่ได้ถ่ายเอาไวจึงไม่มีนะคะ คิดว่าน่าจะพอจินตนาการได้)


วิธีหมักหมูนุ่ม (ด้วยวิธีธรรมชาติ)

ขั้นตอนต่อไปนี้จะบอกวิธีการหมักหมูให้เนื้อนุ่มด้วยวิธีธรรมชาติ 
คือ ให้ใช้เนื้อหมูส่วนสะโพก หั่นสไลซ์เป็นชิ้นบาง 
โดยมีอัตราส่วนในการหมักดังนี้... 

            คลุกเคล้าเนื้อหมูกับไข่แดง แป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และซอสปรุงรส ให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เราก็จะได้เนื้อหมูที่นุ่มและไม่เหนียวค่ะ

ขั้นตอนการเตรียมเครื่องก๋วยเตี๋ยวอื่น ๆ
           วัตถุดิบอื่น ๆ นั้นก็สำคัญมิใช่น้อย ผักต้องสดและล้างให้สะอาดไม่มีคราบดินติด

           กากหมูเจียว ต้องสดใหม่หรือถ้าไม่มีกากหมูก็สามารถใช้แคบหมูแทนได้ 

           กระเทียมเจียว ควรใช้กระเทียมไทยกลีบเล็ก โขลกแล้วเจียวเองจะหอมอร่อยมากกว่า

           ลูกชิ้นหมู ก็ควรใช้ลูกชิ้นอย่างดี ลูกค้าจึงจะชื่นชอบ อย่าประหยัดงบด้วยการใช้ลูกชิ้นเกรดต่ำราคาถูกที่มีไว้สำหรับย่างขายนำเอามาทำก๋วยเตี๋ยวอย่างเด็ดขาด !!! 

           แม้แต่พริกป่น ก็ควรคั่วเอง โขลกเองจึงจะหอมหวลชวนรับประทานมากกว่าพริกป่นเก่าๆที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปค่ะ

ขั้นตอนประกอบร่างก๋วยเตี๋ยวเรือ
           ลวกถั่วงอก และลวกเส้นในน้ำเดือด ๆ ใส่ไว้ในชาม (การที่จะลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวให้อร่อย ได้เส้นไม่ดิบไม่แฉะนั้นจะต้องลวกในน้ำที่ร้อนจัด ๆ นะคะ และลวกเร็ว ๆ) ก่อนใส่ลงชามก็สะบัดตะกร้อสักหน่อยเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ตักน้ำมันกระเทียมเจียวสักเล็กน้อยนำลงไปคลุกเคล้ากับเส้น

           โรยพริกไทยป่น ตามด้วยขึ้นฉ่ายและผักชีฝรั่งซอยอย่างละเล็กอย่างละน้อย 

           ลวกหมูที่เราหมักเอาไว้ ตามด้วยตับหมูกับลูกชิ้นลงใส่ (แต่สูตรนี้ดิฉันไม่ได้ใส่ตับหรอกค่ะ เนื่องจากสมาชิกที่บ้านค่อยไม่ชอบตับกัน)
จากนั้นก็ตักน้ำซุปลงราด

           ตบท้ายด้วยการโรยหน้าด้วยเนื้อกระเทียมเจียวหอม ๆ กับกากหมูกรอบ ๆ สักหน่อย เสิร์ฟพร้อมถั่วงอกดิบและใบโหระพาค่ะ

11) กระเพาะปลา

ส่วนผสมและสัดส่วน 
1. กระเพาะปลา 200 กรัม
2. เนื้อไก่ฉีก 100 กรัม
3. เห็ดหอมสด 200 กรัม
4. หน่อไม้สด 100 กรัม
5. โครงไก่ 2 โครง
6. ขิงฝาน 10 ชิ้น
7. รากผักชี 6 ราก
8. พริกไทยเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
9. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
10. ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
11. เหล้าจีน 2 ช้อนโต๊ะ
12. น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา
13. เกลือป่น 1 ช้อนชา
14. แป้งมันละลายน้ำ 1 ถ้วย
15. พริกไทยป่น
16. ผักชีสับ

วิธีปรุง
1. แช่กระเพาะปลาให้นิ่ม แล้วบีบน้ำออก ล้างให้สะอาด
2. ต้มน้ำเปล่ากับโครงไก่ให้เดือด
3. ใส่พริกไทยเม็ด รากผักชีลงไปเคี่ยวจนไดซุปที่หอม
4. นำซุปมากรอง เอาแต่น้ำ
5. ใส่เห็ดหอม เนื้อไก่ฉีก หน่อไม้ กระเพาะปลาลงในน้ำซุป ต้มจนเดือด
6. ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม เกลือ น้ำตาล จนได้รสตามชอบ
7. เติมเหล้าจีนเล็กน้อย ค่อยๆเทแป้งมันละลายน้ำลงไป คนให้เข้ากันจนเหนียว
8. ตักกระเพาะปลาใส่ชามโรยพริกไทยป่นและผักชีสับ ทานกับซอสเปรี้ยวและน้ำส้มพริกดอง

เคล็ดลับน่ารู้

กระเพาะปลาไม่ใช่กระเพาะปลา

กระเพาะปลา คือชื่อที่นิยมใช้เรียกถุงลมของปลาซึ่งสามารถนำมาประกอบอาหารต่างๆได้หลากหลายรูปแบบ ระดับราคาขึ้นอยู่กับชนิดของกระเพาะปลาที่มีหลากหลายชนิดโดยเฉพาะกระเพาะปลาที่ได้มาจากปลาน้ำลึกที่อยู่ในตระกูลของปลากุเลาจะมีราคาแพงมาก กระเพาะปลานอกจากจะอยู่ในรูปแบบกระเพาะปลาแห้งแล้วยังอยู่ในรูปแบบของกระเพาะปลาสดอีกด้วยรูปแบบของอาหารที่นิยมปรุงกันเช่น กระเพาะปลาน้ำแดง กระเพาะปลาผัดแห้ง ฯลฯ

12) โจ๊กหมู

สิ่งที่ต้องเตรียม

           ปลายข้าว 1 ถ้วย
           น้ำ 5 ถ้วย
           หมูสับ 200 กรัม
           กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
           ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
           พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
           น้ำซุปหมู 3 ถ้วย
           ตับหมูลวกสุกหั่นบาง 100 กรัม
           ไข่ลวกสำหรับรับประทานคู่
           ต้นหอมซอย สำหรับโรยหน้า
           ขิงซอย สำหรับโรยหน้า
           พริกไทยป่น สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

           1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ จากนั้นใส่ปลายข้าวลงต้มนานประมาณ 10-20 นาที คนผสมตลอดเวลาจนข้าวสุก และข้น เตรียมไว้

           2. นวดผสมเนื้อหมูกับกระเทียมสับ ซีอิ๊วขาว และพริกไทยป่นให้เข้ากันดี เตรียมไว้

           3. ใส่น้ำซุปหมูลงในหม้อ ตามด้วยส่วนผสมโจ๊กที่ต้มเตรียมไว้ ใช้ไฟปานกลางต้มจนเดือด ตักหมูสับ และตับหมูลวกลงต้มจนสุก ตักใส่ถ้วยที่มีไข่ลวก โรยหน้าด้วยต้นหอม ขิงซอย และพริกไทยป่นเล็กน้อย พร้อมรับประทาน

แหล่งที่มา    Facebook : ‎MONO29‬

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...