และอันดับหนึ่งก็ตกเป็นของ American Film Institute หรือ AFI สถาบันภาพยนตร์แห่งอเมริกานั่นเอง! หลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้มาจากการประกาศรางวัล AFI Award ที่มอบรางวัลด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ใช่มั้ย ในเมื่อสถาบันเขามีชื่อขนาดนี้ การรับนักเรียนเข้าเรียนที่นี่ก็ต้องยากขึ้นเป็นธรรมดา ยากแค่ไหนน่ะเหรอ? เอาเป็นว่า นอกจากจะต้องเป็นคนที่ทำงานในวงการภาพยนตร์ หรือจบมาทางนี้โดยตรงแล้ว ยังจะต้องมีผลงานที่เข้าตากรรมการอีกด้วย ไม่งั้นก็อด! อายุเฉลี่ยของนักเรียนที่นี่ก็เลยอยู่ที่ประมาณ 27 ปีเลยทีเดียว (เขาก็ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์และทำผลงานก่อน ถึงจะมาเรียนต่อที่นี่ได้นี่นา) แต่ถ้าลองได้เข้ามาเรียนแล้วล่ะก็ จะพบว่าอาจารย์ผู้สอนแต่ละคนของที่นี่มีแต่ที่พวกขั้นเทพทั้งนั้น! เรียกว่าสถาบันนี้ ถึงจะเล็กแต่ก็เล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนะจะบอกให้
ใครไม่เชื่อ ลองมาดูรายชื่อศิษย์เก่าคุณภาพของที่นี่กันดูได้เลย มีทั้ง
- David Lynch (ผลงาน เช่น The Elephant man และ Blue Velvet),
- Terrence Malick (กำกับเรื่อง The Tree of Life) และ
- Darren Aronofsky (คนนี้ผลงานที่ดังมากๆของเขาเลยก็คือเรื่อง Black Swan ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง และได้รับรางวัลจาก Oscar ในหลายสาขา และยังได้รับรางวัล Movie of the Year จาก AFI ในปี 2010 ด้วย )
ระดับการศึกษา: เป็น MFA (Master of fine arts) หรือปริญญาโทสาขาภาพยนตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตร 2 ปี
ค่าเล่าเรียน: $38,416 (ประมาณ 1,183,000 บาท) สำหรับปีแรก และ $37,112 (ประมาณ 1,143,000 บาท) ในปีที่สองเท่านั้น (นี่ยังไม่รวมค่าวิทยานิพนธ์อีก $8,033 หรืออีกประมาณ 247,000 บาท)
2. University of Southern California
อันดับที่สองได้แก่ USC สถาบันที่สาขาภาพยนตร์ชนะเลิศกว่าคนอื่นๆ ในเรื่องของ อุปกรณ์เครื่องมือ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งสาเหตุนั้นก็เพราะที่นี่มีศิษย์เก่าที่ทำงานในวงการเยอะมากๆค่ะ และแต่ละคนต่างก็หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาให้เงินสนับสนุนสถาบันของตัวเองกันอยู่ตลอดๆ เงินสนับสนุนแต่ละครั้งก็เบาๆ แค่ล้านกว่าเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ (โอ้โห! O.O) และเงินเหล่านี้เองที่ถูกนำไปช่วยสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆของสถาบัน ซึ่งสำหรับสาขาวิชาภาพยนตร์แล้ว (โดยเฉพาะในเรื่องของการผลิต) ต้องบอกเลยว่าอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆเป็นสิ่งสำคัญมากๆ (ทั้งกล้องเอย สตูดิโอเอย เครื่องมีตัดต่อและทำเอฟเฟ็คเอย โอ้… สารพัด) เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ USC จะมีความโดดเด่นในด้านเทคนิคการผลิต (ก็ได้รับเงินช่วยเหลือซะขนาดนั้น อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตภาพยนตร์ต่างๆเค้าก็ต้องเริดสุดๆเป็นธรรมดา)
ยิ่งเมื่อได้เห็นรายชื่อศิษย์เก่าแต่ละคน รับรองว่าคอหนังคอภาพยนตร์ได้ยินแล้วต้องตาโตกันแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็น
- George Lucas (ผลงานการกำกับเรื่อง Star Wars),
- Ron Howard (ผลงานเรื่อง A Beautiful Mind),
- Jon Landau (ผู้กำกับ Titanic และAvatar) และ
- ยัง Lee Unkrich (ผู้กำกับเรื่อง Toy Story 3)
ระดับการศึกษา: มีทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ในสาขาที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ภาพยนตร์, โทรทัศน์, ไปจนถึงแอนิเมชั่น และ ศิลปะรูปแบบดิจิตอลทั้งหลาย
ค่าเล่าเรียน: อยู่ที่ $42,000 (ประมาณ 1,290,000 บาท)
3. Beijing Film Academy
โอ้โหแฮะ สถาบันในเมืองจีนก็ติดโผด้วยเหมือนกัน! อันดับสามนี้ตกเป็นของ Beijing Film Academy แห่งเมืองปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถาบันหัวกะทิที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศจีนก็ว่าได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะในด้านการกำกับภาพยนตร์ การผลิตภาพยนตร์ และการเขียนบท ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่ธรรมดาเลย แต่เดี๋ยวก่อน…การจะเข้าเรียนที่นี่ได้ มันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะคะ! เพราะแต่ละปีจะมีนักศึกษาที่ได้รับเลือกให้เข้าเรียนแค่เพียง 500 คนจากผู้สมัครทั้งหมดเป็นแสน!! โอ้พระเจ้า อะไรมันจะแข่งขันสูงกันขนาดนี้นะเนี่ย!
มาลองดูรายชื่อศิษย์เก่าของที่นี่ ผู้ที่เคยผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น จากคนเข้าสอบนับแสนเค้นเหลือเพียงแค่ห้าร้อยคนในอดีตได้นั้น ก็มี
- จาง อี้โหมว (เจ้าของผลงานเรื่อง House of flying daggers และ
- Curse of the Golden flower) และ เฉิน ข่ายเกอ (ผู้กำกับเรื่อง The Promise) ซึ่งทั้งสองคนต่างก็มีผลงานเป็นที่ยอมรับไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศจีน แต่เป็นที่โด่งดั่งไปทั่วโลกเลย! แค่ได้ยินชื่อศิษย์เก่าของสถาบันนี้ก็ชักจะหนาวๆ ขึ้นมาเลยใช่มั้ย รู้แล้วล่ะว่าสถาบันเค้าคัดแต่คุณภาพจริงๆ
ระดับการศึกษา: มีตั้งแต่ปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาเอก ในสาขาที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ การแสดง การกำกับ ไปจนถึงแอนิเมชั่น โดยการเรียนการสอนที่นี่จะใช้ภาษาจีนเป็นส่วนใหญ่ (มีคอร์สภาษาอังกฤษให้เลือกอยู่บ้าง)
ค่าเล่าเรียน: สำหรับนักเรียนชาวต่างชาตินั้นคิดราคาอยู่ที่ $6,665 ถึง $7,905 ต่อปี (ประมาณ 205,000 ถึง243,000 บาท)
4. New York University Tisch School of the Arts
อันดับสี่ได้แก่ Tisch School of Arts แห่ง NYU ต้องขอบอกเลยว่า ที่นี่ไม่ธรรมดา! เพราะผู้กำดับดังๆ ของอเมริกา เช่น Martin Scorsese, Oliver Stone และ Vince Gilligan ต่างก็เป็นศิษย์เก่าของที่นี่ แต่ละคนก็มีฝีไม้ลายมือที่เป็นเอกลักษณ์ และได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการภาพยนตร์ แถมคลาสเรียนต่างๆก็แสนจะน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น คลาสเรียนของ James Franco (นักแสดงหนุ่มสุดหล่อ ที่รับบทเป็น แฮร์รี ออสบอร์น ในหนังเรื่อง Spiderman ที่จะมีนักศึกษาในห้องเรียนหนึ่งๆ แค่เพียง 12 คนมานั่งเรียนด้วย เรียกได้ว่าได้ใกล้ชิดผู้สอนสุดหล่อกันสุดๆ! นอกจากนี้ วันดีคืนดีอาจจะได้เรียนกับผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังด้วยก็ได้นะคะ ว้าววว แต่ยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ เพราะหากใครสนใจทำภาพยนตร์แต่ไม่มีทุน ทางสถาบันเค้าก็มีทุนแจกตั้ง $200,000 !!! (แต่อาจต้องสู้รบแย่งชิงกันหน่อยนะ)
James Franco |
- Todd Phillips (กำกับเรื่อง The Hangover),
- Joel Coen (กำกับเรื่อง No Country for Old Men)
- Charlie Kaufman (กำกับเรื่อง Being John Malkovich) และ
- Chris Columbus (ผู้กำกับและเขียนบท Harry Potter and the Chamber of Secrets) เป็นยังไง แต่ละท่านนี่ถือว่าไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ !
ระดับการศึกษา: มีตั้งแต่ปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาเอก มีทั้งสาขาภาพเคลื่อนไหว สาขาการแสดง และสาขาภาพยนตร์
ค่าเล่าเรียน: $45,674 (ประมาณ 1,407,000 บาท)
5. University of California Los Angeles
เริ่มต้นอันดับห้า กับสถาบัน UCLA สถาบันชั้นนำของสหรัฐฯที่มีมายาวนาน และหลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อกันบ่อยๆ (ก็เขาดังตั้งหลายด้านนี่เนอะ) ในด้านสาขาภาพยนตร์ที่นี่ก็มีชื่อเสียงใช่ย่อยเหมือนกันนะคะ เพราะจุดเด่นของที่นี่ เขามีดีอยู่ที่แหล่งศูนย์รวมข้อมูลทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ อย่าง “UCLA Film & Television Archive” ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีมากๆ เพราะมีภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์มากกว่า 220,000 รายการ ขนาดคณะบดีของมหาวิทยาลัยบอกเองเลยว่า “จะเป็นรองก็เพียงแต่หอสมุดรัฐสภาเท่านั้น” โอ้โห อะไรมันจะเจ๋งขนาดนั้นเนี่ย!
UCLA Film & Television Archive |
- Francis Ford Coppola (กำกับเรื่อง The Godfather),
- Tim Robbins (ผู้กำกับ Dead Man Walking),
- Alexander Payne (ผู้กำกับเรื่อง Sideways) และ
- Justin Lin (ผู้กำกับเรื่อง Fast Five)
ระดับการศึกษา: มีตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
ค่าเล่าเรียน: ปริญญาตรี อยู่ที่ $35,720 (ประมาณ 1,100,000 บาท) ส่วนปริญญาโทหรือปริญญาเอกอยู่ที่ $28,651 (ประมาณ 882,000 บาท)
ความฝันไม่ไกล ถ้าเพื่อนๆ ตั้งใจที่จะทำความฝันให้เป็นจริง เดี๋ยวนี้เมืองไทยของเราก็ได้พัฒนาการศึกษาด้านนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เป็นที่สนใจของเด็กไทยด้วย ที่เห็นๆ กันก็มีการประกวดหนังสั้น ภาพยนตร์ โฆษณามากมาย แล้วก็ได้รางวัลระดับโลกอีกด้วย แบบนี้แหละที่แสดงให้เห็นเด็กไทยเรามีความสามารถ อยากผลิตผลงานออกมาสู่สายตาทั่วโลกอยู่แล้ว
แหล่งที่มา เว็บไซต์ MTHAI เขียนโดย pornphanh เมื่อ June 12, 2012 at 10:38
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น