สมัยหนึ่งการเคี้ยวหมากของคนไทยรุ่นย่ารุ่นยายกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป เพราะถือว่าการที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเทียบกับอารยชนชาติตะวันตกได้นั้น ประชาชนคนไทยต้องกระทำตนให้ทันสมัยตามไปด้วย และสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องไม่กินหมากแต่อารยชนชาติตะวันตกก็เคี้ยวหมากเหมือนกัน เพียงแต่เป็นหมากคนละชนิดกัน
หมากฝรั่งที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดีจะอยู่ในรูปแบบของขนมลักษณะคล้ายลูกอม เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ใช้เคี้ยวแต่ห้ามกลืน ประเทศต้นกำเนิดหมากฝรั่งก็คือ เม็กซิโก ธรรมเนียมการเคี้ยวหมากฝรั่งของชาวเม็กซิโก เริ่มมาตั้งแต่สมัยชาวมายันโบราณ ที่ทำหมากฝรั่งจาก chicle resin ที่คล้ายกาวลาเท็กซ์ โดยชาวมายันเก็บมาจากต้นไม้ที่เรียกว่าต้น Sapodilla ชาวมายาจะเคี้ยว chicle ซึ่งไม่มีรสเพื่อทำความสะอาดฟันให้สะอาด
ชาวเม็กซิโกยุคใหม่ลืมเลือนยางจากธรรมชาติที่ชาวมายันเคยเคี้ยวไปหมดแล้ว และอ้าแขนยอมรับหมากฝรั่งยางสังเคราะห์จากสหรัฐฯ อย่างเต็มอกเต็มใจ ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้วชาวเม็กซิโกเคี้ยวหมากฝรั่งกันคนละ 1.2 กิโลกรัม/ปี หรือครึ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันเคี้ยว แต่ก็ยังถือว่ามีอัตราส่วนสูงสุดในประเทศแถบลาติน อเมริกา
การเคี้ยวหมากฝรั่งในโลกยุคใหม่เริ่มมาจากช่วงทศวรรษที่ 1860 เมื่อนายพลเม็กซิโชื่อ Antonio Lopez de Santa Anna นำยาง chicle ของเม็กซิโก ไปให้นักประดิษฐ์สหรัฐชื่อ Thomas Adams และตอนแรกเขานำไปทดลองเพื่อดูว่าสามารถนำไปใช้งานแทนยางพาราได้หรือไม่ แต่ในตอนหลัง กลับเติมรส เติมกลิ่น และนำออกขายในฐานะเป็นของขบเคี้ยวเพื่อความบันเทิง
ฝรั่งถือว่าการเคี้ยวหมาก (ฝรั่ง) เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อกราม ช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผ่อนคลายร่างกาย เพราะบ้านเมืองเขาเป็นเมืองหนาวร่างกายส่วนอื่นๆ ยังหาอะไรให้ความอบอุ่นได้ แต่บริเวณใบหน้านี่ต้องทนเอา
หมากฝรั่งยุคแรกๆ ของโทมัส อดัมส์ ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ยังไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็นรัฐนิวเจอร์ซี่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1871 โดยขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี ต่อมาจึงได้ดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ
บุคคลแรกที่เติมรสชาติให้หมากฝรั่งคือเภสัชกรจากหลุยส์วิล รัฐเคนตักกี้ ชื่อ John Colgan ในราวปี ค.ศ.1875 เขาไม่ได้เติมรสแบบลูกอมรสเชอร์รี่ รสเปปเปอร์มินต์ หรืออื่นๆ อย่างในสมัยนี้ รสชาติที่เขาเติมให้หมากฝรั่งคือตัวยาทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คอลแกนเรียกหมากฝรั่งของเขาว่า "แทฟฟี-ทูโล" เป็นหมากฝรั่งที่ประสบความสำเร็จกว่าหมากฝรั่งอื่นๆ ที่เติมรสชาติแล้วในสมัยนั้น
ต่อมาโทมัส อดัมส์ ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อสินค้าของเขาว่า "แบลคแจค" ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาด (ของอเมริกา) ส่วนรสเปปเปอร์มินต์ซึ่งเป็นรสยอดนิยมเริ่มมีในปี ค.ศ.1880
หมากฝรั่งที่วางขายอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ยางไม้ที่ทำเลียนแบบทอฟฟี่อย่างหมาก ฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่มๆ ซึ่งโดยตัวมันเองแล้วไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ชื่อก็ไม่ชวนกิน แต่คนอเมริกันก็เคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้กันถึงปีละ 10 ล้านปอนด์
สำหรับหมากฝรั่งที่ใช้เป่าเป็นลูกโป่งได้ ผู้คิดค้นคือ สองพี่น้อง Frank Fleer และ Henry Fleer แต่คุณภาพของหมากฝรั่งที่ Frank ผลิตให้เป่าได้ในตอนนั้นยังมีปัญหา คือไม่ยืดหยุ่นพอลูกโป่งยังไม่ทันโตก็แตก และเมื่อแตกแล้วจะติดแก้มติดจมูก จนปี ค.ศ.1928 Frank ก็สามารถผลิตหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่งได้ขนาดโตเป็น 2 เท่าของที่ทำได้ในช่วงแรกๆ
หมากฝรั่งไม่ได้แพร่หลายเฉพาะแต่ในอเมริกาเท่านั้น ในหมู่ชาวเอสกิโมก็เคี้ยวหมากของฝรั่งแทน "หมาก" จากไขปลาวาฬ ซึ่งใช้เคี้ยวมานานหลายศตวรรษ โดย จี.ไอ. สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำไปเผยแพร่
แหล่งที่มา เว็บไซต์ THAIZA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น