ยกระดับวิศวกรไทย ... เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

นักวิชาการเตือนรัฐบาลควรยกระดับวิศวกรไทย ทั้งคุณภาพ ประสบการณ์ และเพิ่มจำนวน เพื่อเตรียมรับ AEC

ที่อาคารเจริญวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเวทีสัมมนาหัวข้อ “เจาะลึก AEC กับวิชาชีพวิศวกรรม: ความท้าทายและโอกาส”  โดย นายบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ผู้อำนวยการสำนักการค้าบริการและการลงทุน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุม เห็นว่า นักวิศวกรไทยที่มีคุณภาพมีจำนวนน้อยเกินไป และศักยภาพในการแข่งขันน้อยกว่าของต่างประเทศ รัฐบาล และ หน่วยงานอื่นๆ ควรยกระดับนักวิศวกรไทยให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเตรียมการแข่งขัน หลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)      

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นักวิศวกรไทยเมื่อเทียบด้านศักยภาพกับนักวิศวกรจากประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศมาเลเซีย นักวิศวกรไทยยังมีคุณภาพที่ต่ำกว่า และ มีจำนวนน้อยกว่า ทั้งนี้รัฐบาลสิงคโปร์ และ รัฐบาล มาเลเซีย มีการจัดทำแผนให้ลำดับความสำคัญ เพื่อกำหนดนโยบายสนับสนุนวิศวกรของประเทศตัวเอง โดยยื่นมือช่วยเหลือ และ ให้ทุนสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอในทุกๆด้าน ในขณะที่รัฐบาลไทยไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้เท่าที่ควร

“จากการคาดการณ์ว่าเมื่อเปิด AEC แล้วจะมีนักวิศวกรไทยจำนวนหนึ่งไปทำงานที่ต่างประเทศ หรืออาจถูกเชิญตัวให้ไปร่วมงานกับรัฐบาลต่างชาติ จึงเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะความต้องการวิศวกรในประเทศไทยมีมากกว่าจำนวนวิศวกรไทยที่มีอยู่ สำหรับปัจจัยในการไปทำงานหรืออาศัยในต่างประเทศของวิศวกรไทย อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานเพราะ วิศวกรไทยยังอ่อนประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ของการแข่งขัน ควรที่จะมีการพัฒนายกขีดความสามารถของวิศวกรไทย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น” นายพยุงศักดิ์ กล่าว

นายพิสิฐ พุฒิไพโรจน์ นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการพัฒนาวิศวกรไทย ปัญหาเรื่องของจำนวนและคุณภาพของวิศวกรอาจมิใช่ปัญหาอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม วิศวกรไทยควรสะสมประสบการณ์ให้มากพอหากต้องการไปทำงานในต่างประเทศ

ที่ประชุม ต่างมีความเห็นร่วมกันว่าการพัฒนาวิศวกรให้มีคุณภาพ และ การเพิ่มจำนวนวิศวกรให้เพียงพอเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับ AEC ที่จะเริ่มใช้ในปี 2558 นี้ จะสำเร็จผล และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการสนับสนุนอย่างจริงจังของรัฐบาล

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ 27 กรกฎาคม 2555 เวลา 18:15 น.