วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาษีเบี้ยประกันชีวิต

แต่เดิมเราเคยได้ยินว่า เงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทฯ จ่ายให้กรรมการผู้จัดการตามมติที่ประชุมของบริษัทฯ หากเป็นกรณีที่บริษัทฯ ต้องจ่ายให้กับกรรมการทุกคนเป็นการทั่วไปตามระเบียบของบริษัทฯ แล้วบริษัทฯ มีสิทธินำเบี้ยประกันชีวิตที่ออกให้นั้นมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร และเพื่อความสะดวกในการแสดงหลักฐาน ให้บริษัทประกันภัยหมายเหตุไว้ในใบเสร็จรับเงินให้มีข้อความว่าเบี้ยประกันชีวิตที่รับนี้ จ่ายโดยบริษัท...

เงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทฯ ออกให้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นประโยชน์เพิ่ม ที่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ ได้รับ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินจากการจ้างแรงงาน ที่ต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไป โดยบริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ จ่ายจากเงินได้พึงประเมินดังกล่าวด้วย และหากกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป และบริษัทผู้รับประกันประกอบกิจการในประเทศไทย พนักงานหรือลูกจ้างมีสิทธินำเบี้ยประกันชีวิตดังกล่าวไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ได้ไม่เกิน 100,000 บาท

อย่างไรก็ตาม กรณีบริษัทฯ ทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร ซึ่งมีข้อกำหนดในสัญญากู้ยืมเงินให้บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้กู้ต้องทำประกันชีวิตกับบริษัทที่ประกอบกิจการประกันชีวิต โดยใช้กรมธรรม์ที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้ความคุ้มครองสินเชื่อของธนาคาร โดยกรมธรรม์ดังกล่าว จะกำหนดให้บริษัทฯ เป็นผู้เอาประกันแต่เพียงผู้เดียว และจะผูกเงื่อนไขการชำระค่าสินไหมทดแทนบนสาเหตุมรณ กรรมของกรรมการ ทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิตจะได้รับอนุมัติจากกรมการประกันภัยให้ออกกรมธรรม์โดยระบุชื่อบริษัทฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นผู้เอาประกันได้ และธนาคารฯ จะเป็นผู้ถือกรมธรรม์แต่เพียงผู้เดียว

ในกรณีที่กรรมการถึงแก่ความตาย และบริษัทประกันชีวิตได้รับหลักฐานการพิสูจน์มรณกรรมของกรรมการแล้ว บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ธนาคารฯ เท่ากับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระภายใต้สัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้รับประโยชน์ที่ 1 และผลประโยชน์ที่เหลือจะจ่ายให้แก่บริษัทฯ ในฐานะผู้รับประโยชน์ที่ 2 ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันชีวิตจะออกใบเสร็จในนามบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ เป็นคู่สัญญาภายใต้กรมธรรม์ และเป็นผู้เอาประกันตามกรมธรรม์

เช่นนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อประโยชน์ของบริษัทฯ โดยกรรมการหรือบุคคลในครอบครัวมิได้เป็นผู้รับประโยชน์ใดๆจากกรมธรรม์ ดังนั้น เบี้ยประกันภัยที่บริษัทฯ จ่ายไปให้กับบริษัทประกันชีวิต จึงเป็นการจ่ายเพื่อกิจการของบริษัทฯ และไม่ถือเป็นประโยชน์เพิ่มของกรรมการแต่อย่างใด (หนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/5745 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550)

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2555 เวลา 00:00 น,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...