สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปี 2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อปี 2538 ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกในปี 2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อปี 2542 ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ
ประชาคมอาเซียน เกิดจากการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม 2546 ที่บาหลี ผู้นำอาเซียนได้ตอบสนองต่อการบรรลุวิสัยทัศน์อาเซียน โดยได้ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เห็นชอบให้มีการจัดตั้ง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงให้ร่นระยะเวลาเร็วขึ้นเป็น พ.ศ.2558 (ค.ศ. 2015)
- ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
- ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ
- ประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน
“คนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจด้านเศรษฐกิจ การเมือง มากกว่าด้านวัฒนธรรม แต่ผมเห็นว่าความเป็นอาเซียนมีความหมายมากกว่านั้น ประชากร 600 ล้านคน 10 ประเทศ มีพื้นที่ยืนอยู่อย่างเท่าเทียมกัน เป็นสังคมเอื้ออาทร พร้อมจะแบ่งปันกัน แต่สังคมเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีขันติธรรมและการยอมรับในความแตกต่างทั้งในแง่ความคิด วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภาษา ศาสนา และที่สำคัญ คือ ยอมรับในความหลากหลาย เพราะในอาเซียนมีทั้งพุทธเถรวาทในไทย ลาว กัมพูชา พม่า คาทอลิกในฟิลิปปินส์ มีชุมชนมุสลิมใหญ่ที่สุดในเอเชียอยู่ที่อินโดนีเซีย มีชุมชนฮินดูโบราณที่เกาะบาหลี ทั้งหมดต้องอยู่ร่วมกันได้
อาเซียนเห็นว่าความหลากหลายเหล่านี้ เป็นปัจจัยมีค่านำไปสู่ประชาคมอาเซียน ไม่ต้องการมีช่องว่าง ระยะห่างระหว่างประเทศสมาชิกมากเกินไป อย่างไรก็ตาม รูปแบบการปกครองแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน ยังไม่ไว้วางใจที่จะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนหลากหลายเชื้อชาติ
อย่างแท้จริง อีกทั้งแต่ละรัฐมักจะมีกลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียวมากยิ่งขึ้น เช่น เรื่องการศึกษา ยา สิ่งแวดล้อม แล้วแต่ละรัฐจะวางตัวอย่างไร หน้าที่ของเลขาธิ
การอาเซียนจึงต้องทำให้แต่ละประเทศเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้ โดยต้องมีการบริหารความแตกต่างหลากหลายนี้ทั้งภายในอาเซียน และโลกสังคมภายนอก ทั้งวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์” ดร.สุรินทร์ อธิบายถึงการอยู่ร่วมกันของอาเซียนในอนาคต
ในขณะเดียวกันยังมีข้อเสนอแนะที่ดี จากเลขาธิการอาเซียน อีกว่า มีเรื่องเดียวที่อยากจะขอ คือ ประเทศสมาชิกอาเซียนอย่าทะเลาะกัน เช่น ประเทศที่เป็นพุทธเถรวาทด้วยกันอย่างไทยกับกัมพูชา กลับมาทะเลาะกันเรื่องวัดโบราณอย่างปราสาทพระวิหาร สุดท้ายต้องให้ประเทศมุสลิมอย่างอินโดนีเซียมาช่วยแก้ไข จนเรื่องต้องไปถึงสหประชาชาติ
- เราต้องถอยหลังไปช่วงก่อนอาณานิคม ก่อนมีแผนที่ ก่อนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของและทะเลาะกัน ทั้งสองประเทศเรามีวัฒนธรรมร่วมกัน และ
- รอให้อาเซียนเป็นประชาคม เส้นเขตแดนเหล่านี้จะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป แต่จะมีการแลกเปลี่ยนกันได้หมดทุกเรื่อง บนพื้นฐานในการเคารพสิทธิแต่ละประเทศ โดยจะต้องยอมรับความแตกต่างในเชื้อชาติ บริหารความแตกต่างเหล่านั้นให้ได้ ไม่ใช่แอบซ่อนอัตลักษณ์ของตัวเองไว้ ความหลากหลาย คือ สิ่งที่มีค่า เราต้องพยายามใช้ความหลากหลายนี้อยู่ร่วมกันภายใต้ประชาคมเดียวกันให้ได้ ไม่นำมาเป็นข้อขัดแย้งกัน” ดร.สุรินทร์ ให้ข้อคิด
“จากนี้ไปเราจะประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการนำเสนอโครงการดังกล่าวต่อกรมอาเซียน และนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อมติครม. เห็นชอบแล้ว ขั้นตอนต่อไปเสนอให้ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน รับทราบและประสานความร่วมมือกับประเทศกลุ่มอาเซียน ในการใช้มิติวัฒนธรรมเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกันโดยไม่มีเส้นเขตแดนมาขวางกั้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ โครงการค่ายเยาวชนไทยและอาเซียน โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้านให้กับเยาวชน โครงการค่ายศิลปะเพื่อมวลมนุษย์อาเซียน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนแม่บทความร่วมมือด้านวัฒนธรรมกับกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้น”
ปลัดสมชาย ยังย้ำอีกว่า กระทรวงวัฒนธรรมจะยกระดับกิจกรรมระดับประเทศไปสู่กลุ่มประเทศอาเซียนโดยนำมิติทางวัฒนธรรมที่ไม่สร้างความขัดแย้งมาให้ประชาชนใน 10 ประเทศอาเซียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน จะต้องได้ศึกษาความเป็นเพื่อนบ้านกันและเรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยไม่มีเส้นแบ่งเขตแดนมาขวางกั้นความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ดีระหว่างกัน
“ผมเชื่อว่าหากโครงการนี้ยกระดับความร่วมมือจากกลุ่มอาเซียน จะทำให้วัฒนธรรมของกลุ่มอาเซียนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความขัดแย้งด้านต่าง ๆ ก็จะลดลงด้วยการเชื่อมสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม” ปลัด วธ.กล่าวถึงการสร้างความสัมพันธ์อาเซียนด้วยมิติวัฒนธรรมเหลือเวลาจริง ๆ ไม่ถึง 3 ปีแล้วที่เราจะต้องเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ลองถามตัวเรา ประเทศเราว่าพร้อมหรือยังกับการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีเส้นเขตแดน ถามต่อถึงรัฐบาลในการพัฒนาบ้านเมือง บุคลากรของประเทศไว้แข่งขัน เราได้เตรียมพร้อมหรือยัง ให้หันไปมองเพื่อนบ้าน จะเป็นกระจกสะท้อนดูเราได้เป็นอย่างดี ว่าเราจะอยู่อย่างไร จะสู้เขาได้หรือไม่ ตัวเราย่อมรู้ดีที่สุด
แหล่งที่มา เว็บไซต์เดลินิวส์ โดย มนตรี ประทุม วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2555 เวลา 00:00 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น