นายรังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ทรัสต์เป็นเครื่องมือสำหรับธุรกรรมในตลาดทุนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในปี 2550 และตามกฎหมายเดิมก่อให้เกิดภาระภาษีที่ซ้ำซ้อน กรมสรรพากรจึงได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนให้การทำธุรกรรมในตลาดทุนผ่านทรัสต์มีภาระภาษีที่เท่าเทียมกับการลงทุนในตลาดทุนผ่านเครื่องมืออื่นๆ โดยออกพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 533 เพื่อยกเว้นภาษีให้ธุรกรรมดังกล่าวทั้งระบบ ดังนี้
- ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์และทรัสตีสำหรับการที่ผู้ก่อตั้งทรัสต์โอนทรัพย์สินให้ทรัสตีไปบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์ และเมื่อทรัสตีโอนทรัพย์สินกลับคืนให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ ก็ได้รับยกเว้นภาษีเช่นกัน
- เมื่อทรัสตีถือทรัพย์สินของกองทรัสต์และได้รับเงินปันผลเพื่อจ่ายต่อให้แก่ผู้รับประโยชน์ ทรัสตีจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเงินปันผลที่ได้รับเพื่อจ่ายต่อนั้น แต่หากทรัสตีได้รับค่าธรรมเนียมหรือประโยชน์อื่นใดจากการให้บริการ ก็ต้องเสียภาษีตามปกติ
- เมื่อทรัสตีจ่ายเงินปันผลที่ได้รับต่อให้ผู้รับประโยชน์ ผู้ได้รับผลประโยชน์สามารถเลือกให้ทรัสตีหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตอนปลายปีได้ เช่นเดียวกับกรณีเงินปันผลทั่วไป
- หากทรัสตีได้รับเงินปันผลในระหว่างการบริหารทรัพย์สินและได้จ่ายคืนให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ ผู้ก่อตั้งทรัสต์ก็อาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหากผู้ก่อตั้งทรัสต์เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง แต่หากไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ถึง 25% ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียงกึ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับการได้รับเงินปันผลจากบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลโดยตรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น