วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มี..ยาเหลือใช้ หรือ ยาขยะ...ที่บ้าน ควรทำอย่างไรดี?

ยานับเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญ ทุกบ้านจึงมักมียาไว้ประจำบ้านทั้งเพื่อรักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้นเล็กๆ น้อยๆ หรือ สำหรับการรักษาโรคประจำตัวของสมาชิกในครอบครัว

ในบรรดายาที่มีไว้ในบ้านนี้ บ่อยครั้งที่เก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้ อาจเป็นเพราะว่า
  • ผู้ป่วยที่เคยใช้ยาชนิดนี้ได้ถูกแพทย์เปลี่ยนแปลงการรักษามีการเปลี่ยนยาชนิดใหม่ ทำให้ยาเดิมที่เหลืออยู่ไม่ได้ใช้ หรือ
  • อาจเกิดจากผู้ป่วยที่เคยใช้ยานี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เหลือยาของผู้ตายคนนี้อยู่ หรือ
  • ยากลุ่มที่ใช้บรรเทาอาการ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ฯลฯ เมื่อหายปวดแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ยา จึงมียาที่เหลืออยู่เช่นกัน
จะขอเรียกยาเหล่านี้ว่า ยาเหลือใช้
ส่วนยาขยะ มีความหมายคล้ายคลึงกันกับยาเหลือใช้ แต่จะแคบกว่าโดยเน้นว่า “ขยะ” เป็นยาที่ไม่มีประโยชน์แล้วไม่ควร หรือไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก ในขณะที่ยาเหลือใช้ อาจหมายถึง ยาที่ยังใช้ได้ผลดีอยู่ (ยังไม่เสื่อมสภาพ หรือ ยังไม่หมดอายุ) หรือ ใช้ไม่ได้แล้วก็ได้  (ยาที่เสื่อมสภาพหรือ หมดอายุแล้ว)
ยาเหลือใช้ จึงมีความหมายกว้างกว่า ยาขยะ คือ ครอบคลุมทั้งยาที่ยังใช้ได้และใช้ไม่ได้ แต่ ยาขยะ จะหมายถึง ยาที่ใช้ไม่ได้แล้ว
ถ้าสำรวจกันจริงๆ ก็จะพบว่า เกือบทุกหลังคาเรือนจะมียาเหลือใช้อยู่ไม่มากก็น้อย ยาเหลือใช้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงชนิดของยาในการรักษา ทำให้มียาเดิมเหลืออยู่และผู้ป่วยไม่ได้ใช้ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังไม่ได้ใช้ยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง หรือ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงหยุดยาเอง (ซึ่งไม่ควรหยุดยาเอง ควรใช้ยาอย่างส่ำเสมอตามสั่ง) นอกจากนี้อาจหยุดยาเนื่องจากเกิดผลข้างเคียงหรืออาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา หรือ ผู้ป่วยเสียชีวิต ทำให้เกิด

ยาเหลือใช้ได้
ยาเหลือใช้ (หรือ ยาขยะ) ..เป็นเงิน..ทั้งนั้น
มีรายงานในต่างประเทศว่า ยาที่เหลือใช้นี้มีประมาณร้อยละ 3 ถึง 20 ของยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับมาจะจากโรงพยาบาลหรือร้านยาก็ตาม ในบางคนยาเหลือใช้อาจมีค่าเพียงไม่กี่บาท แต่บางคน อาจมีค่าสูงเป็นหมื่นๆบาทได้ เม็ดเงินที่ใช้จัดหายาเหล่านี้อาจเป็นเงินจากกระเป๋าของเรา (ที่ต้องจ่ายไปเอง) หรือ ของหน่วยงาน หรือ ของรัฐบาล (ที่มีคนอื่นๆ จ่ายแทนให้ก็ตาม) แต่ผลโดยรวมแล้วก็เป็นเงินของชาวไทย และเป็นเงินของประเทศชาติทั้งหมด
ในการสำรวจยาเหลือใช้ที่บ้านของประเทศอังกฤษ พบว่า ยาเหลือใช้คิดเป็นเงินมีมูลค่าสูงถึง200 ล้านปอนด์ต่อปี (ถ้าอัตราแลกเปลี่ยน 50 บาทต่อปอนด์ จะเป็นเงินถึง 10,000 ล้านบาท) ซึ่งมีมูลค่าเป็นร้อยละ 3 ของค่าใช้จ่ายด้านยาทั้งหมด และถ้านำเงินก้อนนี้ไปเป็นค่าจ้างให้กับพยาบาลจะสามารถจ้างพยาบาลได้ถึง 15,000 คน หรือ ถ้าจะนำไปจ้างแพทย์จะได้กว่า 2,000 คนต่อปีเชียว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ยาเหลือใช้ มีเป็นจำนวนมากและมีความสำคัญต่อค่าใช้จ่ายของทุกคน และส่งผลต่องบประมาณของชาติอีกด้วย จึงต้องช่วยกันทุกฝ่ายใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัด

จะสังเกตว่า..ยาเหลือใช้..ยังใช้ได้หรือไม่?
ดั่งที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว่า ยาเหลือใช้ จะประกอบด้วย ยาที่ยังใช้ได้ กับ ยาที่ใช้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น จึงขอแนะนำง่ายๆ ในการสังเกตด้วยตนเองว่า ยาชนิดนั้นยังใช้ได้หรือไม่ ซึ่งมีหลักในการสังเกตง่ายๆ ดังนี้
  1. การเก็บยา
  2. ฉลากยา
  3. วันหมดอายุ
  4. ลักษณะภายนอกของยา
การเก็บรักษายา
การเก็บรักษายาที่ดี ควรจัดเก็บในภาชนะที่เหมาะสม เช่น กระปุกยา ซองยา ฯลฯ และไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เช่น ในตู้ยา ในกล่อง ในถุง ในลิ้นชัก หรือ ในตู้ เป็นต้น ซึ่งมีสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงทั้งแสง ความร้อน และความชื้น เพราะทั้งสามประการจะส่งผลต่อความคงตัวของยา จึงควรเก็บยาให้พ้นแสง อย่าให้ร้อนเกินไป และไม่ควรมีความชื้นสูง ซึ่งจะส่งผลทำลายคุณภาพของยาได้ นอกจากนี้ควรเลือกสถานที่เก็บยาให้พ้นมือเด็กและไกลจากสัตว์เลี้ยง

ฉลากยา
ควรรักษาฉลากยาให้ครบถ้วน เพื่อง่ายต่อการนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ในการใช้ยาทุกครั้งควรอ่านฉลากยา โดยเฉพาะวิธีการใช้ยา และใช้อย่างถูกต้อง ถูกคน ถูกโรค ถูกเวลา จะได้เกิดผลดีในการรักษา และไม่เกิดการลืมใช้ยา
วันหมดอายุ
สิ่งหนึ่งที่จะปรากฏในฉลากยา คือ วันหมดอายุ ซึ่งมักจะระบุเป็นภาษาไทยว่า “วันหมดอายุ”หรือ“ยาสิ้นอายุ” หรือในภาษาอังกฤษว่า“Exp. Date” หรือ“Expired Date” หรือ“Expiry Date” หรือ“Use before” เป็นต้นวันหมดอายุนี้มักจะระบุควบคู่กับวันที่ผลิตยาโดยจะเรียงวันที่ผลิตมาก่อนแล้วจึงตามด้วยวันหมดอายุเสมอซึ่งอาจจะระบุปีเป็นปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. ก็ได้
ลักษณะภายนอกของยาเมื่อพิจารณาวันหมดอายุไปแล้วก็พิจารณาลักษณะของยาจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นสีกลิ่นรสซึ่งสังเกตด้วยตาจมูกและลิ้นตัวอย่างเช่นสีของยาเม็ดถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ควรใช้ยายาบางอย่างจะมีสีเข้มขึ้นหรือเยิ้มเมื่อมีความชื้นเป็นต้นถ้ารูปลักษณ์ของยาเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ควรใช้ยาแล้วทั้ง4 ข้อนี้เป็นวิธีการง่ายๆที่จะสังเกตว่ายายังดีอยู่ยังไม่เสียยังใช้ได้ถ้าเก็บยาไว้ในที่ๆเหมาะสมไม่ร้อนเกินไปไม่ถูกแสงและไม่ชื้นมากรวมถึงฉลากยายังสมบูรณ์ชัดเจนมีชื่อยา ชื่อผู้ป่วยวิธีใช้อย่างชัดเจนและยังไม่หมดอายุประกอบกับมีสภาพรูปลักษณ์สีสันภายนอกเหมือนเดิมก็ถือว่ายาดีอยู่และใช้ได้ไม่ถือเป็นยาขยะแล้วจะจัดการกับ.ยาเหลือใช้.อย่างไร
เมื่อมียาเหลือใช้อยู่ในบ้านนับวันจะมากขึ้นๆจากกองเล็กๆก็จะขยายใหญ่ขึ้นหรือถ้าใส่ในกระจาดเล็กๆก็จะค่อยๆขยายมากขึ้นจนลันกระจาด
อย่างไร
แล้วจะจัดการกับ.ยาเหลือใช้.ลองมาช่วยกันคิดซิว่าจะทำอย่างไรดี
คำถามที่ 1 ควรทิ้งยาเหลือใช้ลงในชักโครกหรือไม่
ข้อเสนอแนะข้อแรกนี้เป็นสิ่งที่กำจัดได้ง่ายที่สุดแถมยังสะดวกสบายที่สุดโดยการนำยาเหลือใช้ทั้งหมดไปเทลงในชักโครกแล้วก็กดให้น้ำล้างก็เสร็จเรื่องกันเสียที.วิธีนี้.จะดีจริงหรือ
ยาทั้งหมดก็จะถูกละลายลงไปอยู่ในบ่อเกรอะ บางส่วนก็จะละลายซึมออกไปกับน้ำ โดยเฉพาะส้วมซึมแบบที่นิยมกันมากในเมืองไท ยสุดท้ายยาเหล่านี้ก็จะละลายไปสะสมอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆ ตามธรรมชาติดังปรากฏเป็นข่าวในต่างประเทศว่าพบยาปนเปื้อนในแหล่งน้ำต่างๆ พบในตัวปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆ ทั้งยังเพิ่มการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และที่ร้ายที่สุดคือยาละลายปนเปื้อนอยู่น้ำดื่มน้ำใช้ของประชาชน
ดังนั้น จึงไม่ควรทิ้งยาเหลือใช้.ลงในชักโครกนะ
คำถามที่ 2 ควรทิ้งยาเหลือใช้ ลงในอ่างล้างจานหรือไม่
ในเมื่อทิ้งในชักโครกหรือคอห่านไม่ได้ จะขอทิ้งในอ่างล้างจานจะได้ไหม ประเด็นนี้คงพอเดาได้แล้วว่าไม่ดีแน่นอนเพราะยาที่ถูกเททิ้งลงไปในท่อของอ่างล้างจานก็จะละลายและไหลไปรวมกันในแหล่งน้ำซึ่งยังไม่มีวิธีการกำจัดยาออกจากน้ำเสียยาก็จะไปสะสมหมุนเวียนในลักษณะเดียวกันกับประการแรกเกิดการสะสมปนเปื้อนในสัตว์น้ำเกิดแบคทีเรียดื้อยาและอาจปนเปื้อนในน้ำดื่มน้ำใช้ของเราได้เช่นกัน
คำตอบจึงไม่ควรทิ้งยาเหลือใช้ลงในอ่างล้างจาน

คำถามที่ 3 ควรนำไปให้เพื่อนใช้หรือไม่
ประเด็นที่สามเมื่อยาเหลือก็เอาไปให้เพื่อน หรือญาติพี่น้องที่เป็นโรค หรือมีอาการเดียวกันกับเราใช้จะได้ประโยชน์ไม่เสียของเปล่าๆ ฟังดูดีแถมยังมีคุณธรรม ได้ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย ในกรณีเช่นนี้จะใช้ได้จริงๆ ก็ต้องเป็นยาชนิดเดียวกันและขนาดเดียวกันเท่านั้น จึงจะใช้แทนกันได้ แต่ถ้าเป็นโรคหรืออาการเหมือนกัน ยังไม่แนะนำให้ไปให้เพื่อนใช้เพราะโรคเดียวกันหรืออาการที่คล้ายกันแต่ระดับความรุนแรง หรือลักษณะอื่นๆ อาจแตกต่างกัน  นอกจากนี้การจ่ายยาให้ผู้ป่วยนั้นแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาจะพิจารณาลักษณะของแต่ละคน และเลือกยาให้เหมาะสมที่สุดยา  ที่ได้ผลดีกับคนที่หนึ่งอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลเลยกับคนที่สองแถม อาจจะเกิดผลเสียภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้ เช่น แพ้ยา เป็นต้น ดังนั้น จึงควรนำไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา อยากคิดเอง เออเอง
คำถามที่ 4 ควรนำไปหาแพทย์หรือเภสัชกรหรือไม่
ส่วนประเด็นคำถามสุดท้ายนี้ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะแพทย์หรือเภสัชกรจะช่วยกันตรวจเช็คความพร้อมของยาเหลือใช้เหล่านั้นว่ายังใช้ได้อยู่หรือไม่ ถ้าใช้ได้จะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยอาจจะเป็นคนเดิมที่เป็นเจ้าของ หรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยคนอื่นตามความเหมาะสมต่อไปจะได้ไม่เสียของเปล่าๆ
ดังนั้น เมื่อมี..ยาเหลือใช้...จึงควรนำกลับไปปรึกษาเภสัชกร เป็นดีที่สุด
“ยามีคุณอนันต์มีโทษมหันต์” ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และควรใช้อย่างพอเพียง ใช้ด้วยเหตุด้วยผล ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อเกินจำเป็น เพราะยาล้วนเป็นสารเคมีที่อาจจะเกิดอันตรายกับผู้ใช้ยาได้ทุกเมื่อ จึงความพินิจพิจารณาถ้วนถี่ดีแล้วจึงใช้ยาและใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ที่สุด

แหล่งที่มา   เว็บไซต์ OkNation by BATTY  วันศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน 2553  11:06:52 น. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...