วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ถ้าคิดว่าทำได้...ก็ต้องทำได้

ในชีวิตของคนหนึ่งคนต้องผ่านความอดทนอย่างแสนสาหัส ถึงจะพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จที่ต้องการได้

คนเราต่างมีฝัน แม้ว่าฝันนั้นจะดูเวอร์เพียงเพื่อตอบสนองปมในใจ เช่น อยากเป็นสุดยอดของโลก ที่สุดของประเทศไทย แต่เพราะชีวิตไม่ได้เกิดมาร่ำรวยเงินทอง ไม่มีโชค ไม่ถูกหวย หรือรวยโอกาสเหมือนคนอื่นที่พ่อแม่ผู้มีฐานะคอยประคบประหงม หาไอแพด แสวงหาเทคโนโลยีชั้นยอดมาให้ ส่งลูกไปเรียนนอกช่วงซัมเมอร์ มันก็ต้องปากกัดตีนถีบ จัดระเบียบชีวิตให้มั่น ปักหลักฝันอย่างมั่นคงไม่เลิกล้มไปกับความเหนื่อยยากในแต่ละวันที่ต้องคอยช่วงชิงกับผู้คนในสังคมรอบข้าง

โอกาสน้อย เงินก็แห้ง แต่ถ้ามุ่งมั่น คิดว่าทำได้ มันก็ต้องได้ นี่แหละเป็นของฟรีที่ไม่ต้องลงทุนให้เสียเงิน

ความฝันและเป้าหมายมีกันทุกคน แม้แต่คนรวยที่มีมากล้นเกินพอดี ก็ยังมีฝันและกิเลสไม่จบสิ้น แต่ชัยชนะไม่ได้ผูกขาดให้กับคนรวยที่มีความพร้อมมากกว่าคนอื่นเสมอไป

คำสอน หนังสือ ปรัชญาชีวิตในโลกใบนี้ บอกตรงกัน กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ ใครก็ตามไม่ว่ารวยหรือจน ถ้าเชื่อมั่นว่าเราทำได้ ต่อให้มีอุปสรรคยากแค่ไหนมาขัดขวางก็กั้นไม่อยู่

แต่น่าแปลก เวลาเราไม่อยากทำอะไร ก็เก่งที่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ทุกครั้ง

โดยเฉพาะข้ออ้าง “ไม่มีเวลา” ถามตัวเองอีกทีว่า ไม่มีเวลาจริงหรือจัดระเบียบชีวิตไม่ดี เวลาส่วนหนึ่งเราเสียไปกับการพูดคุย บันเทิง สมาคม มากเกินจนลืมงานหลักและเป้าหมายที่จะไปถึงฝันหรือไม่

ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เพิ่มเวลาเป็น 32 ชั่วโมง ใน 1 วัน ก็ไม่พอ เพราะเวลาที่เพิ่ม สำหรับคนที่ทิ้งเวลาไปวันๆ กลับยิ่งทำให้เราสบายโดยที่ไม่รู้ว่า นั่นแหละมันค่อยๆ ทำลายตัวเราไปทีละนิด มารู้อีกที เรายังนั่งแช่อยู่ป้ายรถเมล์เดิม ขณะที่เพื่อนๆ เกือบจะถึงปลายทางแล้ว

เวลามันเดินหน้าไปเรื่อยๆ ทีละวินาที สู่นาที สู่ชั่วโมง เป็น 1 วัน เป็น 12 เดือน จนผ่านมา 1 ปี กลับมามองตัวเอง เรายังนิ่งอยู่เฉย ก็เหมือนถอยหลังไปอีก 1 ปี ไม่ต่างจากยืนบนลู่วิ่งในฟิตเนส ถ้าไม่วิ่งไปกับมัน เราก็ต้องล้มหกคะเมนในที่สุด

หลายคนไม่เชื่อว่าเรามีศักยภาพที่จะพิชิตเป้าหมายนั้นได้ หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วทุกคนต่างมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเองทั้งนั้น

ถ้าเชื่อว่า “มี” และค้นหามัน ก็จะปรากฏขึ้นจนเราอาจประหลาดใจในพลังของเราเอง

พลังถ้าถูกใช้ในด้านมืด มันก็กลับมาทำลายตัวเองและสังคมรอบตัว แต่ถ้าแปรเปลี่ยนพลังเป็นบวก มันจะผลักไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก

เป้าหมายหรือความสำเร็จของบางคนอาจไม่ใหญ่โต ถึงขั้นมีเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน มีที่ดินต่างจังหวัด มีบ้าน คฤหาสน์หรู เพียงแต่ความสุขอาจอยู่ที่การได้พิชิตมัน จนช่วยสร้างความภาคภูมิใจว่า “เราทำได้เว้ย”

พลังในร่างกาย มาจากหลายทิศทาง จากความฝันในวัยเด็ก จากสิ่งที่ได้ ใจที่อยากเป็น รวมถึงคำดูถูกสารพัดระหว่างเรียน จากเพื่อนฝูง เจ้านายที่ทำงาน แม้แต่ครอบครัวเราเองว่า “เอ็งทำไม่ได้หรอก”

หลายคนบอก นี่เป็นพลังชิ้นดีที่ทำให้เรารีบกลับบ้านไปอาบน้ำ ชะล้างความรู้สึกเก่าๆ ที่ขังตัวเองในกรอบสี่เหลี่ยมมานาน ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กระชุ่มกระชวย กลับมาใช้ชีวิตให้คุ้มค่าทะยานสู่จุดมุ่งหมาย

ถ้าได้พลังเหล่านี้ รวบรวมให้เป็นหนึ่งเดียว จะมีอานุภาพรุนแรงพอที่จะปีนป่ายสู่ยอดความสำเร็จได้ ไม่ต่างจากแว่นขยายเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ รวมเป็นจุดเล็กๆ กลายเป็นความร้อนรวมศูนย์จนลุกเป็นไฟเผากระดาษได้อย่างน่าทึ่ง แต่ถ้าเชื่อว่า “เราทำไม่ได้หรอก” แค่เริ่มก็แพ้ไปครึ่งทาง

ผู้รู้บอก เราต้องลองก่อนถึงจะรู้ว่า “ทำได้-ไม่ได้” แต่การเริ่มต้นทุกอย่างมักยากเสมอ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เราถนัดมาก่อน จึงต้องเจออุปสรรค มารผจญ บทเริ่มต้นจึงมักเป็นด่านทดสอบจิตใจขั้นสูงว่า จะก้าวข้ามด่านแรกไปสู่เป้าหมายระยะยาวได้หรือไม่

ด่านสองระหว่างทางไปสู่ยอดภู ต้องผ่านการเดินเท้าในดงหญ้า กิ่งไม้ในป่าใหญ่ ยังเต็มไปด้วยสัตว์พิษนานาชนิด เหล่านี้คืออุปสรรคที่มีตามธรรมชาติ เดินครั้งแรก ถ้าไม่เตรียมพร้อม ย่อมต้องเจอปัญหาเป็นธรรมดา แต่ครั้งที่สอง เมื่อชำนาญทางขึ้นก็ช่วยหลบหลีกสู่ยอดภูได้คล่องแคล่วเร็วกว่าเดิม

การจะชำนาญสิ่งใด ต้องฝึกฝน ทำซ้ำๆ จนหลายครั้งรู้สึกเบื่อ ไม่สนุก ไม่ตื่นเต้นกับฝันนั้นแล้ว เพราะกว่าได้มา ต้องเจอสาระความเหนื่อยยากที่คาดไม่ถึง แต่ถ้ามั่นคง ไม่ท้อแท้กับมัน ท่องว่า ต้องทำได้ มันก็ต้องทำได้ซิ

ผู้ชนะ บอกเล่าประสบการณ์ว่า สิ่งที่เป็นยาชูกำลังชั้นดี ก็เมื่อเราผ่านด่านแรกสำเร็จ ด่านนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะพร้อมลุยต่อและถอยหลัง ด้านบวกของมัน ถ้าปีนบันไดขั้นแรกได้ ก็ช่วยให้เราเกิดพลังว่า ได้ทอดสะพานไปสู่ฝันแล้ว เมื่อสะพานอยู่ข้างหน้า คำถามคือ เราพร้อมจะก้าวเท้าเดินไปอย่างมั่นคงหรือไม่

เหมือนการเขียนหนังสือ บทความ ถ้าผ่านย่อหน้าแรกได้ ย่อหน้าที่สอง สาม สี่ ห้า จนจบก็จะตามมา

แต่ถ้าคิดใหญ่ทีเดียว ไม่แยกคิดทีละอย่าง ก็จะเจอกับความซับซ้อนของเรื่อง จนที่สุดต้องยอมยกธงล้มโครงการไปดื้อๆ ก่อน
เราทำได้ ลุกขึ้นมาทำซะ ขอให้เชื่อมั่นในตัวเราไม่น้อยกว่าพวกเด่นดัง ประสบความสำเร็จทั้งหลาย

แหล่งที่มา   เว็บไซต์โพสทูเดย์ โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม 4 มีนาคม 2555 เวลา 11:49 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...