ณ ใจกลางของเมืองหลวงแห่งสหภาพยุโรป ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไร้ซึ่งแสงแห่งตะวัน พนักงานออฟฟิศสวมเสื้อสูทสีดำทะมึน เดินอย่างรวดเร็วริมถนนบนฟุตปาท มุ่งหน้าสู่จุดหมายที่ใดสักแห่ง ช่างขัดกับบรรยากาศของตึกรามบ้านช่องที่ดูแล้วรื่นรมย์และสวยงามไม่แพ้ใครในยุโรป ทำให้บรัสเซลส์ในวันนี้ แม้ไม่เด่นไม่ดังแต่น่ารักน่าชังและชวนให้ค้นหา
หากใครที่ติดตามชมข่าวต่างประเทศเป็นประจำก็มักจะคุ้นชินกับภาพของกรุงบรัสเซลส์ในฐานะศูนย์กลางในการบริหารจัดการของสหภาพยุโรป ดังนั้นภาพที่ปรากฏตามสื่อส่วนใหญ่จะเป็น
- ภาพของการประชุมที่เคร่งขรึม
- การเจรจาระหว่างผู้นำประเทศที่ดูเคร่งเครียดและ
- การประท้วงรูปแบบต่างๆ ของนักเคลื่อนไหว
เขตเมืองเก่าของกรุงบรัสเซลส์ถือว่าเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะในอาณาบริเวณทั้งหมดเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และร้านอาหารทั้งคาวหวานมากมาย ซึ่งในเขตเมืองเก่านี้ถนนหนทางค่อนข้างมีความคับแคบ และเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย จึงไม่สะดวกในการขับรถเข้ามาในเขตนี้ ดังนั้น ผู้คนจึงนิยมใช้วิธีการเดินเท้า แต่อย่างไรก็ตาม ถนนในเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นถนนที่ปูด้วยก้อนหิน ดังนั้น การสวมใส่รองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าหนังที่มีพื้นบางและแข็ง อาจทำให้รู้สึกไม่สะดวกหากใส่มาเดินบนเท้าถนนแบบนี้ ทางที่ดีควรสวมรองเท้าผ้าใบจะสะดวกและคล่องตัวที่สุด
สถานที่แรกสุดที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมาเริ่มต้นท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่า นั่นก็คือรูปปั้นเด็กน้อยนามว่า “แมนเนเกนพิส” ที่กำลังยืนถ่ายเบาอย่างสบายใจท่ามกลางผู้คนมากมายที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยีอนปีละกว่าหลายล้านคน ซึ่งหนูน้อยแมนเนเกนพิสมีประวัติที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ราวศตวรรษที่ 14 กรุงบรัสเซลส์ถูกกดดันจากข้าศึกอย่างหนัก ในขณะที่ชนวนระเบิดของข้าศึกกำลังลุกไหม้เพื่อหวังทำลายกำลังแพงเมือง หนูน้อยนามว่า “จูเลียนสกี” บังเอิญผ่านมาพบเห็น ซึ่งจะด้วยความซุกซนหรือความตั้งใจ หนูน้อยได้ปัสสาวะรดสายชนวนดังกล่าว ส่งผลให้ระเบิดไม่ทำงานและช่วยให้กำแพงเมืองบรัสเซลส์รอดพ้นจากการทำลาย ชาวเมืองจึงยกย่องให้หนูน้อยเป็นดั่งวีรบุรุษ จึงได้มีการสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นพร้อมกับตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาดัตช์ให้ว่า “แมนเนเกนพิส” แปลตรงตัวได้ว่า “เด็กชายกำลังยืนปัสสาวะ” นั่นเอง อยู่มาวันหนึ่งที่อากาศหนาวเหน็บ จะด้วยความหวังดีหรือความมีอารมณ์ขัน ได้มีคนนำเสื้อผ้าไปสวมใส่ให้หนูน้อยแมนเนเกนพิส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นประเพณีสวมเสื้อผ้าให้หนูน้อย จนปัจจุบันมีจำนวนมากมายจนต้องเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เสื้อผ้า และครั้งหนึ่งหนูน้อยแมนเนเกนพิสเคยสวมใส่เสื้อราชปะแตนของไทยเราอีกด้วย
ไม่ไกลกันมาจากแมนเนเกนพิส เดินผ่านตรอกซอกซอยและบ้านเรือนในแบบอาร์ตนูโว ก็จะพบกับสถานที่ที่ชาวบรัสเซลส์ภาคภูมิใจที่สุด นั่นก็คือ ที่จัตุรัสกองปลาซ หรือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Grand Place” จัตุรัสที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นจัตุรัสที่มีความสวยงามที่สุดในยุโรป เพราะประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมกอธิก ซึ่งเป็นศิลปะที่แพร่หลายมาจากประเทศฝรั่งเศส
อาคารที่โดดเด่นและสวยงามที่สุดคือ City Town Hall หรือศาลาว่าการประจำเมือง เพราะเป็นอาคารสูงที่สุด สูงถึง 92 เมตร มีหลังคาสูงทรงสามเหลี่ยมแหลมในแบบฉบับศิลปะกอธิก รอบๆ อาคารประดับด้วยรูปปั้นนักบุญกว่า 203 ชิ้น ในอดีตจัตุรัสแห่งนี้เคยโดนเผาทำลายโดยกองทัพฝรั่งเศส แต่ชาวบรัสเซลส์ได้ร่วมมือฟื้นฟูและบูรณะกลุ่มอาคารทั้งหมดให้กลับมาสวยงามดังเดิม จนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงบรัสเซลส์ที่หลายคนใฝ่ฝันว่า หากได้มีโอกาสมากรุงบรัสเซลส์ก็จะต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้
นอกจากนี้แล้ว กรุงบรัสเซลส์ก็ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากเขตเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็น
- ประตูชัยกรุงบรัสเซลส์ สร้างขึ้นเพื่อฉลองการเป็นเอกราชของเบลเยียม หรือ
- จะเป็น The Royal Palace of Brussels พระราชวังสำหรับทรงงานของสมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม และ
- อะตอมเมียม (Atomium) หนึ่งในสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ ที่มีความยิ่งใหญ่ของประเทศเบลเยียม ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงาน World Expo เมื่อปี 1958 โดยตัวอาคารได้มีการจำลองลักษณะของโครงสร้างอะตอม วัดความสูงจากพื้นถึงยอดสุดได้ 102 เมตร มีน้ำหนักรวมกันถึง 2,400 ตัน คิดเป็นสัดส่วนใหญ่กว่าอะตอมจริงถึง 1.65 แสนล้านเท่า และ
- การทัวร์อาคารรัฐสภาอียู ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมการทำงานของคณะกรรมาธิการยุโรปได้อย่างใกล้ชิดติดขอบสภาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
เสน่ห์ของการเที่ยวในกรุงบรัสเซลส์คือการเดิน เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเหนื่อยล้าเราจึงขอแนะนำร้านอาหารสำหรับการแวะเติมพลัง
- โดยเริ่มต้นจากอาหารคาวก่อนที่ตรอก Rue des Bouchers ที่นี่มีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล ซึ่งหากมาแล้วไม่ควรพลาดที่จะชิมเมนูหอยแมลงภู่อบไวน์ขาว ขอบอกว่าอร่อยมาก กินคู่กับมันฝรั่งทอดเฟรนช์ฟรายด์ที่ชาวบรัสเซลส์ภาคภูมิใจและการันตีว่า บรัสเซลส์คือต้นกำเนิดที่แท้จริงของเฟรนช์ฟรายด์ไม่ใช่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด และจุดเด่นของเฟรนช์ฟรายด์ที่นี่คือต้องทอดซ้ำสองครั้งเลยทำให้กรอบนอกนุ่มในและไม่อมน้ำมัน เสร็จสิ้นไปกับเมนูอาหารคาวกันไปแล้ว
- ก็ต้องไม่พลาดกับเมนูของหวาน เมื่อพูดถึงกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ก็จะต้องนึกถึงช็อกโกแลตเบลเยียม ที่นี่ก็มีร้านจำหน่ายช็อกโกแลตมากมายทั่วทุกมุมเมือง สนนราคาไม่กี่ยูโรไปจนถึงหลักร้อยยูโรก็มี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรสชาติ นอกจากนี้ที่นี่ขนมวาฟเฟิลดังมากเพราะเป็นต้นกำเนิด แถวๆ จัตุรัสกองปลาซมีร้านขนมวาฟเฟิลมากมายที่ขายคู่กับเครื่องดื่มจำพวกชาและกาแฟ หากใครที่ไปเยือนกรุงบรัสเซลส์ในวันที่อากาศหนาวๆ แนะนำให้สั่งวาฟเฟิลอบใหม่สดๆ ราดด้วยช็อกโกแลตร้อนๆ รับประทานคู่กับชาหรือกาแฟท่ามกลางอากาศหนาวเข้ากันเป็นที่สุด แหม่ใครว่าท่ามกลางเมืองหลวงแห่งสหภาพยุโรปที่มีแต่เรื่องการเมืองเครียดๆ ก็มีหลากหลายมุมให้ได้เพลิดเพลินไม่แพ้กันที่กรุงบรัสเซลส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น