เว็บไซต์ซีบีเอสนิวส์ รายงานว่า ทีมนักวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศให้ทราบเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ได้คิดค้นเจลคุมกำเนิดสำหรับเพศชายได้สำเร็จแล้ว โดยมีประสิทธิภาพที่น่าพอใจมากในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ทางด้านด็อกเตอร์คริสติน่า หวัง หัวหน้าผู้นำการทดลองในครั้งนี้จากสถาบัน Los Angeles Biomedical Research กล่าวให้ทราบในงานแถลงข่าวว่า เธอและทีมนักวิจัยทำการพัฒนาเจลคุมกำเนิดออกมาสำเร็จแล้ว และถือว่าเป็นการค้นพบวิธีการคุมกำเนิดแนวใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้ชาย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองพบว่าเจลมีประสิทธิภาพที่ดีมาก นอกจากนี้ยังแทบจะไม่มีผลกระทบข้างเคียงต่อผู้ทดลองใช้เลย และไม่ได้ทำให้เป็นหมัน เพียงแต่เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวเท่านั้น
ทั้งนี้ เจลชนิดใหม่มีฮอร์โมนเพศชายอย่างเทสโทสเทอโรน และฮอร์โมนโพรเจสทิน หรือที่แบ่งเป็นกลุ่มย่อยเรียกว่า เนสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการคุมกำเนิด ผสมอยู่ในเจล ซึ่งทีมนักวิจัยได้นำเจลดังกล่าวไปให้กลุ่มทดลองเพศชายทั้งหมด 99 คน ได้นำกลับใช้ทาที่อวัยวะเพศของตัวเอง โดยการทดลองแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
- กลุ่มแรกคือเพศชายที่ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของเทสโทสเทอโรน และพลาเซโบ (ยาหลอกซึ่งไม่มีฤทธิ์หรือผลกระทบต่อการรักษา)
- ส่วนกลุ่มที่สองได้รับเจลที่มีส่วนผสมของเทสโทสเทอโรน และเนสโทสเทอโรนผสมอยู่ โดยให้ทดลองทาเป็นระยะเวลานาน 6 เดือน
เมื่อครบระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ นักวิจัยจึงตรวจจำนวนสเปิร์มของกลุ่มผู้ทดลองทั้งหมด ปรากฏว่า เจลตัวใหม่ซึ่งกลุ่มทดลองที่สองใช้สามารถลดจำนวนสเปิร์มได้ 88-89 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กลุ่มแรกที่ใช้เจลซึ่งมีส่วนผสมของเทสโทสเทอโรน และพลาเซโบมีปริมาณจำนวนสเปิร์มลดลงเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น จำนวนสเปิร์มจะลดได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณในการใช้แต่ละครั้งด้วย
ด็อกเตอร์คริสติน่า ยังออกมากล่าวเสริมอีกว่า "นี่เป็นงานทดลองที่ได้นำเอาฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนและเนสเทอโรนมาใช้กับผิวหนังของมนุษย์เป็นครั้งแรก เพื่อมาใช้ลดจำนวนสเปิร์มของเพศชายให้น้อยลง นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดยังสามารถนำเจลชนิดนี้ไปใช้ทาเองที่บ้านได้ ซึ่งต่างกับวิธีการคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นๆ (ไม่นับรวมการใช้ถุงยางอนามัย) ที่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ด้วยตัวเอง"
อย่างไรก็ดี ขณะนี้เจลคุมกำเนิดดังกล่าวยังไม่ได้มีการผลิตออกมาวางขายให้แก่ประชาชน เพราะทางทีมนักวิจัยยังต้องการเวลาที่จะพัฒนาเจลให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดเสียก่อน ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปี กว่าผลิตภัณฑ์จะพร้อมออกวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น