หลังหมดประจำเดือน คุณผู้หญิงเคยรู้สึกปวดท้องน้อย ปวดหน่วงๆ ตลอดเวลาบ้างไหม เพราะถ้ากำลังเป็นอยู่ คุณอาจมีลาภอันไม่ประเสริฐจากการเป็น "มดลูกอักเสบ"
มดลูกอักเสบคืออะไร
มดลูกอักเสบ โรคที่ได้ยินชื่อบ่อยๆ จนคุ้นหู มักเกิดขึ้นในผู้หญิงอายุระหว่าง 15-45 ปี เกิดจากการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Desease) คือการอักเสบแบบเฉียบพลันในบริเวณมดลูก และอาจแพร่กระจายไปสู่บริเวณช่องท้องได้ โรคนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเป็นการติดเชื้อในบริเวณใด
- ถ้าติดเชื้อและเกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก ก็จะเรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
- ถ้าติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่ปีกมดลูก จะเรียกว่าปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis)
คนที่เป็นมดลูกอักเสบจะมีอาการอย่างไร
- มีไข้เกิน 38 องศา หนาวสั่น ซึ่งอาการไข้จะเกิดขึ้นพร้อม หรือใกล้เคียงกับอาการปวดท้องน้อย
- ปวดท้องน้อย ส่วนใหญ่มักเริ่มปวดก่อน และหลังมีประจำเดือน (ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 14 วันหลังมีประจำเดือน) เป็นอาการปวดหน่วงตลอดเวลา ร่วมกับปวดเกร็งเป็นระยะ และจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
- ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย แสดงว่าโรคได้ลามไปถึงเยื่อบุช่องท้องแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายได้
- ตกขาวมีกลิ่น
สาเหตุของการเป็นมดลูกอักเสบ
มักเกิดจากการติดเชื้อในบริเวณอวัยวะเพศ และเกิดการอักเสบ แล้วลามขึ้นมายังส่วนบน
- การติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นเชื้อหนองใน (Neisserea Gonorrhoea) และเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis) ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่ชอบเที่ยว และมีคู่นอนหลายคน
- ภาวะขาดสมดุลของสิ่งแวดล้อมในช่องคลอด เช่น มีเลือดออกในช่องคลอดเรื้อรัง การบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย เช่น Peptococci, Peptostreptococci, Gardnerella Vaginalis, etc.
- การติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal Infection) มักเกิดปัจจัยที่มากระทบทำให้เกิดการกระตุ้นเชื้อที่มีอยู่แล้วในช่องคลอดอย่างเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส และเชื้อสเตรปโตค็อกคัสจนเกิดเป็นโรค โดยมักมีปัจจัยจากการคลอดที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจาง คลอดยาก การบาดเจ็บ เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ถุงน้ำคร่ำแตกรั่วอยู่นานก่อนคลอด ฯลฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
- การทำแท้ง หากไม่ได้ทำอย่างสะอาด อาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้น และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้
ใครที่เสี่ยงต่อโรคนี้
- ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ๆ หญิงบริการ หรือนอนกับผู้ชายที่มีเสี่ยงต่อการมีโรคหนองใน หรือหนองในเทียม
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย เนื่องจากมีภูมิป้องกันตัวเองต่ำ และมูกของปากมดลูกยังไม่สามารถป้องการการลุกลามของเชื้อแบคทีเรียได้ดีพอ
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน หรือในช่วงหลังคลอดได้ไม่นาน เนื่องจากในช่วงนี้ สภาพของมดลูกยังไม่มีกลไกในการป้องกันการติดเชื้อได้ดีพอ จึงอาจทำให้ติดเชื้อ และเกิดการลุกลามได้
- ผู้ที่ใช้การคุมกำเนิดแบบห่วงอนามัย
- ผู้ที่สวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ เนื่องจากการสวนล้างช่องคลอดทำให้การสมดุลของเชื้อโรคตัวที่ควรจะมีในช่องคลอด และบริเวณมดลูกเสียไป
จะป้องกันอย่างไรดี
- งดการร่วมเพศกับผู้ที่มีความเสี่ยง
- หลังการคลอดบุตร ขูดมดลูก หรือแท้งบุตร ควรงดการร่วมเพศ หรือสวนล้างช่องคลอดเป็นเวลา 6 อาทิตย์
- ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองใน ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีก่อนที่จะลุกลามไปมากขึ้นจนกลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ
- ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ
รักษาอย่างไร
ถ้าดูตามอาการแล้วสงสัยว่าอาจจะเป็นมดลูกอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันการลุกลามไปส่วนอื่น ถ้าถึงขั้นมีไข้สูง และกดแล้วเจ็บ หรือปวดบริเวณท้องน้อย ควรรีบมาโรงพยาบาลทันที โดยแพทย์จะหาสาเหตุจากการตรวจ
- ปัสสาวะ
- เม็ดเลือดขาว
- นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ หรืออัลตราซาวด์
- ผู้ป่วยอาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องดูตามอาการของผู้ป่วย เช่น การให้ยาแก้ปวด การลดไข้ การให้น้ำเกลือ และอาจต้องให้เลือดถ้าผู้ป่วยมีอาการซีด และต้องให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น