วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฉายาเด็ดรัฐบาลในมุมขำๆ

รอบปีจึงมักมีประเพณีหยิกแกมหยอกในหมู่สื่อมวลชนที่ได้สัมผัสการทำงานของตัวละครเหล่านี้ ผ่านการตั้งฉายาแบบขำขำ เช่นเดียวกับในมุมมองของ…อสนีบาต…สดับตรับฟังเพื่อนพ้องสื่อมวลชนและเพื่อนฝูงรวมถึงประชาชนแลกเปลี่ยนความเห็นถึงบุคคลทางการเมืองเด่น- ดัง - ลืม  สะท้อนออกมาเป็นฉายาแสบๆ คันๆ ไว้ ดังนี้

ยิ่งลักษณ์ : “แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม”

นับตั้งแต่แสงประชาธิปไตยสาดส่องมาที่พรรคเพื่อไทยเปิดทางสู่อำนาจรัฐ  ตัวชูโรงตำแหน่งนายกฯกำหนดไปที่  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี   ท่ามกลางเสียงอื้ออึง ประเทศไทยจะได้สุภาพสตรีเป็นนายกรัฐมนตรี 

ภาพของการหาเสียงเลือกตั้งเต็มไปด้วยความคึกคัก เพราะพรรคเพื่อไทยขับเน้นความสวยงามทางใบหน้าและเรือนร่างออกมาเป็นจุดขายมากกว่าโชว์กึ๊นแสดงวิสัยทัศน์ต่อการกำหนดทิศทางประเทศไทย ป้ายหาเสียงหวานแหวผสมลีลาบ๊องแบ๊วต่อหน้าสื่อโดดเด่นกว่าการให้น้ำหนักแข่งขันทางนโยบายแต่ละพรรคเสียสิ้น  การเมืองไทยช่วงเลือกตั้งจึงหนักไปทางเอ็นเตอร์เทน ชาวบ้านร้านตลาดโขมงโฉงเฉงแต่เรื่องความสวย-ความหล่อ ท้าประลอง

ครั้นเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลายคนได้ประจักษ์ชัดต่อวิธีการบริหารประเทศชนิดพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพราะแต่ละความมุ่งมั่นถ่ายทอดออกมาทำเอาคนในชาติสรวลเสเฮฮา ไม่เพียงแต่อารมณ์ขันยังผสมอาการสะเทือนใจแม้แต่เรยาต้องอาย จากบทบาทลงพื้นที่สัมผัสผู้ยากไร้ ประสบปัญหาภัยพิบัติต้องน้ำตาร่วงทุกเวที

หรือแม้แต่ ลีลาตอบคำถามสะท้อนถึงก้อนเนื้อทางความคิดที่เป็นลักษณะถามช้างตอบม้า  ถามม้าตอบลา   บ่อยครั้งที่ฉากหน้าได้ยินเสียงเพรียกหาความปรองดองแต่ทว่าหลังฉากกลับมีคนในพรรคขมักเขม้นเล่นกลการเมือง หาทางแก้กฎหมาย เอื้อประโยชน์ นิรโทษกรรมให้คนคนเดียว   ทั้งที่คนเป็นนายกฯสวมใส่เสื้อพรรคเพื่อไทย นั่งประชุมในพรรคด้วยแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ตอกย้ำผ่านการสัมภาษณ์  “ ดิฉันไม่ทราบ”  “เรื่องนี้ต้องขอศึกษาก่อน”  จนถูกแซวในเวลาต่อมาสงสัยจะเป็นแฟนธุ์พันธุ์แท้พุ่มพวงจึงถนัดแต่ร้องเพลง “หนูไม่รู้”      

แม้กระทั่งการออกงานราชการ ตรวจแถวสวนสนาม ก็สามารถฝึกกายได้รวดเร็วแปลงร่างเป็นโรบ็อท ทำให้แม่ทัพนายกองลงมาถึงพลทหารต่างอมยิ้มเป็นทิวแถวมิพักพูดถึงลีลาพบปะผู้นำต่างประเทศ ต้องได้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ชายปูทางไว้ก่อนไม่งั้นหนูเอาไม่อยู่ เพราะหนูไม่เป็นตัวของตัวเองต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยกำกับ

ถ้าลองปล่อยให้บรรเลงเองโดยลำพังก็เห็นฝีมือกันมาแล้ว ยอดเยี่ยมไหมหล่ะพี่ชายจ๊า  อย่างเหตุการณ์ท่องบทออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ผ่านรายการน้องปูพบประชาชน สงสัยจะเล่นตลกให้ผู้ฟัง จากหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก จากพฤศจิกายน เป็น พฤศจิกาคม นี่ไม่จุใจยังโชว์คาเฟ่บนโต๊ะครม. จากเรือดำน้ำเป็นเรือดันน้ำ หรือถ้าจะโกอินเตอร์ก็เห็นจะเป็นในวันเปิดแถลงข่าวร่วมกับฮิลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ ที่ทำเนียบฯ  จนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังเกาหัวแกรกๆเพราะแปลคำพูดนายกฯ( inaudible))ไม่ออก!!

เดิมทีผู้คนที่ได้ฟังเกิดอาการตึงเครียด แต่ความผิดพลาดเป็นอาจิณ ทำให้ประเทศนี้ต้องทำใจปรับให้ได้เพื่ออยู่กับความคุ้นชินผู้นำตามระบอบประชาธิปไตย คิดเสียว่านี่คือ มิสโจ๊กเกอร์การเมืองแห่งประเทศไทย 

ถ้าเปรียบเหมือนเด็กวัยละอ่อน อายุสัก 3-4  ขวบ ที่ยังไม่เปลี่ยนฟันน้ำนมเป็นฟันแท้ ทางการแพทย์ระบุเด็กวัยนี้จะไม่ประสีประสาต่อความรับผิดชอบชั่วดีมากนัก  ทำอะไรผิดพลาดซุ่มซ่าม ถ้าตามประสาอินเทรนด์จัดอยู่ในประเภทแอ๊บแบ๊วไร้เดียงสา  จึงไม่ต่างอะไรกับนายกฯรายนี้ที่ออกลีลาใสซื่อในยามประเทศเผชิญวิกฤติ   ฉายานี้จึงเหมาะเหม็ง “ แอ๊บแบ๊วฟันน้ำนม “ 

สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล :  “ป๊ะป๋ากามิกาเซ่”

ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ เชื่อมกระชับสัมพันธ์นานาประเทศ  ซึ่งเป็นความโชคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีลูกน้องผู้ภักดีเป็นที่ไว้วางใจอย่าง สุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล เสี่ยใหญ่จากเชียงใหม่  จึงได้รับการสมนาคุณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ  แต่อาจเป็นความโชคร้ายของคนไทยหรือไม่ ต้องมาร่วมพิจารณา เพราะภารกิจระหว่างประเทศตลอด 4 เดือน เน้นหนักไปทางสร้างผลงานตอบแทนบุญคุณอดีตนายกฯ ทั้งการเคลียร์วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  ทั้งคืนพาสปอร์ตเป็นของขวัญคริสมาสต์  ทั้งการจัดแจงบรรดาเจ้าหน้าที่การทูตต้อนรับอำนวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาหนีคดีในยามเยือนต่างประเทศ     
แต่ละเรื่องที่สุรพงษ์ดำเนินการเป็นที่จับจ้องตรวจสอบจากองค์กรภาคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหมิ่นเหม่เข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่  ฉีกม่านประเพณีระเบียบปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศ   จนในที่สุดถูกยื่นถอดถอน ดำเนินคดีอาญา แต่เจ้ากระทรวงรายนี้มิได้ไหวหวั่นเดินหน้าสานภารกิจเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณต่อไป  ไม่อาจปฏิเสธกับการสร้างผลงานเข้าตานายใหญ่ยิ่งนัก เพราะถ้าเทียบกับบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง  ส.ส.ในพรรคออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือด้านอื่นๆ  ก็ยังไม่รวดเร็วทันใจเท่ากับป๊ะป๋ะสุรพงษ์ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมยอมดับเครื่องชนพลีชีพเพื่อนายใหญ่  เหมือนเช่นฝูงบินพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำเอาสูญเสียทั้งตัวเองและฝ่ายตรงข้ามพังกันเป็นแถบ  เวทีโลกต้องยกนิ้วให้ “ ป๊ะป๋ากามิกาเซ่"

เฉลิม อยู่บำรุง :  ประธานหารสอง

จัดเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ไม่ใช่ใครที่ไหน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รองนายกรัฐมนตรี ความสามารถในการวางหมากเกมการเมือง พรั่งพรูไอเดียความคิด ถือเป็นลักษณะพิเศษที่ติดตัวมาชนิดที่ห้ามใครลอกเลียนแบบ   หรือการผลิตสำนวนโวหารเสียดสีคู่แข่งทางการเมืองต้องยกให้เขา บ่อยครั้งจึงได้รับความไว้วางใจจากนายกฯยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ตอบกระทู้แทน หรือถ้าเจอแรงเสียดสีจากฝ่ายค้าน ก็จะเป็นหน้าที่ของ นักการเมืองอาวุโสรายนี้ ปะฉะดะ

ถึงกระนั้นด้วยพฤติกรรมและคำพูด มักจะทำให้ผู้คนต้องมาพินิจพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริง มุ่งหมายอะไรกันแน่   อย่างกรณีข่าวที่เด่นชัด เมื่อครั้งนั่งทำหน้าที่เป็นประธานประชุมครม.แทนนายกฯที่ติดราชการต่างจังหวัด  จัดประชุมครม.ลับผลักดันร่างพระราชกฤษฏีขอพระราชทานอภัยโทษท่ามกลางเสียงวิจารณ์มีการแก้ไขสาระกฎหมายเอื้อให้พ.ต.ท.ทักษิณ  ครั้งแรกก็อ้างความลับไม่ได้แก้ไขสาระ  แต่ต่อมาไปยอมรับกลางสภา รัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำเสนอสาระกฎหมายเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา  แต่เมื่อถูกตรวจสอบหนักจากกลุ่มนักวิชาการ ด้านกฎหมาย กฤษฏีกาเห็นว่า ไม่อาจทำได้เพราะจะทำลายระบบนิติรัฐ   ความพยายามออกพรฎ.พระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณต้องถอยร่น 

เช่นเดียวกับกับจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการแก้กฎหมายประมวลความอาญามาตรา 112 กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำเอาแกนนำคนเสื้อแดงตกตะลึง เพราะเพื่อไทยและเสื้อแดงเป็นเนื้อเดียวกัน แต่เหตุใด ร.ต.อ.เฉลิมถึงออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้ หรือเพราะร.ต.อ.เฉลิมรับบทเป็นประธานกรรมการปราบเว็ปหมิ่นตามที่ไปยืนยันกับเหล่าทัพจะจัดการให้สิ้นซาก จึงต้องรักษาภาพเอาจริงเอาจัง นี่แหละหนอกรรมของคนมาเป็นประธาน 

ล่าสุดประเด็นร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยแรงผลักดันส.ส.กลุ่มเสื้อแดงต้องการเห็นผลโดยเร็ว แต่ร.ต.อ.เฉลิมกลับมองว่ารอจังหวะที่เหมาะสมแถมเสนอว่าควรประชาพิจารณ์ก่อน ขัดอารมณ์ความรู้สึกคนเสื้อแดงแต่อีกด้านมองว่านี่เป็นหมากเกมสับขาหลอกสร้างข่าวกลบเรื่องบางเรื่องที่รัฐบาลกำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่ก็ได้   ทุกลีลาคำพูดจับทางไม่ถูกเดินตามไม่ทัน สมแล้วฉายา” ประธานหารสอง”

ประชา พรหมนอก :   “ผู้ใหญ่บ้าน”

เงียบ พูดน้อย ต่อยหนัก ยกให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เงียบๆอย่างนี้แหละ แต่ภารกิจน่าดูชม ตั้งแต่คอยประสานเคลียร์ข้อข้องใจทางคดีให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว  จัดวางข้าราชการกระทรวงให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการเพื่อหวังผลสูงต่อการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มีบุญคุณต่างแดน  จะด้วยคำสั่งโยกย้ายอธิบดีคุก  ปรับปรุงคุกวีไอพีต้อนรับนักโทษคดีการเมือง  แต่งตั้งนักวิชาการศึกษาข้อกฎหมายล่าชื่ออภัยโทษ  

แม้แต่มหาอุทกภัยท่วมเมือง ที่ความจริงกระทรวงมหาดไทยต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่นายกฯจับพลัดจับผลูท่าไหนมอบความไว้วางใจให้พล.ต.อ.ประชามานั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.)  ว่ากันว่าเพราะบุคคลิกความเป็นผู้ใหญ่ใจดี เป็นอดีตผบ.ตร. มีบริวารในสำนักงานเก่าเยอะ   แต่ผู้ใหญ่ใจดีก็ต้องรับเละปัญหาสารพันไม่ว่าจะเป็นข้อครหาทุจริต เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองในพรรคเข้ามาแทรกแซงการแจกจ่ายถุงยังชีพ ม็อบรื้อบิ๊กแบ็ค บิ๊กประชาก็ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ จนกระทั่งถูกประเดิมอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐบาลนี้  ด้วยบุคคลิกท่าทีพูดน้อยแบบบ้านๆ  สมานฉันท์นะคร้าบ  ลูกบ้านต้องเกรงใจ  จึงไม่ต่างกับผู้ใหญ่บ้านในถิ่นไกลปืนเที่ยง  สมควรได้ฉายา  “ ผู้ใหญ่บ้าน”
พรศักดิ์  : นินจานิรนาม

บรรดารัฐมนตรี 35 คน หากเอ่ยชื่อ   พรศักดิ์  เจริญประเสริฐ  จะมีประชาชนตอบถูกสักกี่คนว่าบุคคลรายนี้ดำรงตำแหน่งใด  เอ้า! จดจำกันให้ดีๆหรือไม่ก็เขียนแปะข้างฝา  เขาดำรงตำแหน่งรมช.เกษตรและสหกรณ์  เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ทุกคนลืมรมต.รายนี้ เพราะความสามารถส่วนบุคคลเวลาเข้ากระทรวงจะใช้วิธีผลุบโผล่เหมือนนินจา หายวับเคลื่อนที่เร็ว ขนาดข้าราชการในกระทรวงยังถามไถ่ รัฐมนตรีท่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ทุกครั้งของการทำโพลล์มีใครบ้างจัดอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีโลกลืม  พรศักดิ์ติดกลุ่มเสมอ ขนาดข่าวโพลล์จบไปแล้วซึ่งน่าจะเป็นผลดีที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้น  แต่ก็ไม่มีใครจดจำเขาอีก  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่วนงานในกระทรวงเฉลี่ยเข้ามาสัก1-2 วัน 
ครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงน้ำท่วม พรศักดิ์ยอมรับ เขาได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่ดูแลสถานการณ์น้ำท่วมที่ศรีษะเกษ  ขณะที่ธีระ วงศ์สมุทร  รมว.เกษตรได้ดูแลพื้นที่ชัยนาท  ปรากฎว่า ศรีษะเกษน้ำไม่ท่วม  ทำให้เขาไม่ดัง แตกต่างกับคนอื่นที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมจึงมีชื่อโด่งดัง  ถึงกระนั้นเจ้าตัวบอกถ้าศรีษะเกษน้ำท่วม ป่านนี้เขาคงเป็นที่รู้จักของคนในกรุงเทพฯแน่ๆ    นี่แหละคือเหตุผลทำไมถึงได้ฉายา “นินจานิรนาม” 

ฉายารัฐบาล :  แม้วยังชีพ

รัฐบาลชุดนี้พยายามเดินนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้  ภายใต้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ “ ทั้งแจกแท็บเล็ตเด็กประถมศึกษา  ผลักดันโครงการถมทะเล  หรือการประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อกรุยทางให้น้องสาวผู้เป็นนายกฯได้ไปสร้างความสง่าผ่าเผยบนเวทีต่างประเทศ หรือแม้แต่การจัดตัวครม. วางแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการ  ล้วนแต่ต้องพึ่งบริการพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นทุกครั้งไป      ขณะที่พรรคเพื่อไทยยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากอ้าง 15 ล้านเสียงค้ำยัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจะอยู่หรือจะไปในทิศทางไหน ต้องได้รับสนับสนุนจากทุนนายใหญ่หล่องลี้ยง

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเปรียบเสมือนถุงยังชีพที่รัฐบาลนำมาใช้อย่างสิ้นเปลือง  แม้รู้ว่าจะไม่สามารถปัดเป่าดับทุกข์ปัญหาประชาชนได้  แต่มาเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลดำเนินกิจการต่างๆตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นถุงยังชีพไม่มีวันอยู่ได้นานบริโภคแล้วก็หมดไป หรือ ไม่บริโภคก็เป็นข้าวของหมดอายุ แจกใครก็ไม่รับแถมโดนด่าอีกต่างหาก  เช่นเดียวกับการคิดค้นหาวิธีถนอมถุงยังชีพทางการเมือง จะออกกฎหมาย หาช่องทางช่วยเหลือ แต่เจอมวลประชาชนมหาศาลต่อต้านก็เป็นถุงเน่าไร้ค่าในที่สุด     สภาพของรัฐบาลชุดนี้อยู่ได้เพราะทักษิณแต่ก็อาจพังได้เพราะทักษิณเหมือนกับถุงยังชีพ  จึงได้รับฉายา “ แม้วยังชีพ”  นั่นเอง

วาทะแห่งปี :“ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

มากมายเรียงร้อยไม่หมด สำหรับวาทะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่แสดงศักยภาพทางความคิดผ่านทางหลอดเสียงออกมาเป็นประโยค แต่ที่แน่ๆ สารพัดถ้อยคำเมื่อแปลความออกมาทำเอาประชาชนมึนงงเสมอ 

ตัวอย่าง เคยลั่นวาจายืนยันอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ ”เอาอยู่แน่นอน”  แต่ก็เอาไม่อยู่จนได้  หรือจะเป็นเรื่องราวที่นำไปสู่ประเด็นสร้างความขัดแย้งทางการเมืองตอบเพียงว่า ” ต้องศึกษารายละเอียดก่อน” โดยหารู้ว่าไม่ว่าขบวนการคนรอบข้างเดินหน้าหลายเรื่องก่อเชื้อความร้อนแรง แต่มาถึงป่านนี้จากปี 54- 55 นายกฯยังคงตอบขอศึกษาต่อไป 

แต่วาทะใดเล่าจะกินใจ  มีความศักดิ์สิทธิถึงปัจจุบัน  ก็เห็นจะเป็นคำแถลงการณ์ของนายกฯยิ่งลักษณ์ในโอกาสรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28  เมื่อวันที่ 8 ส.ค.54 มีใจความสำคัญว่า "จะนำความรู้ความสามารถ และสติ  ปัญญา ทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และตั้งใจอย่างเต็มที่ เพื่อนำพาประเทศของเรา ไปสู่ความสงบสุข ความสามัคคีปรองดอง มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน  ....ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่ประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”
สิ่งที่กระทำมาตั้งแต่เป็นนายกฯ จนถึงปัจจุบัน ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อคนไทยทุกคน กลับตรงข้ามเสียสิ้น แทบจะไม่มีผลงานใดยืนยันกับสิ่งที่พูดนี้ เพราะ 4 เดือนบริหารชาติ  ล้วนให้น้ำหนักมุ่งแก้ไขสิ่งผิดเป็นสิ่งถูก ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชาย  หรือจะเป็นการไฟเขียวแต่งตั้งนักเคลื่อนไหวปลุกระดมผู้ต้องคดีอาญาแผ่นดิน  ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในตำแหน่ง ที่ปรึกษา เลขานุการรมต.

เปิดทางให้วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น  คืนพาสปอร์ต นำไปสู่การหมิ่นเหม่ขัดกฎหมาย แหกระเบียบปฏิบัติกระทรวงการต่างประเทศ  และยังจะหลับตาไม่รับรู้ถึงความพยายามแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรม แก้ไขรัฐธรรมนูญ วางสเป็ค สสร.ตามข้อเสนอแนะของคนเสื้อแดงล่วงหน้า ด้วยการให้กำหนดคุณสมบัติสสร.ห้ามมาจากคนที่รับใช้เผด็จการ  จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย  อีกทั้งเตรียมไล่รื้อที่มาองค์กรอิสระ จ้องลบมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญปี 50 เพื่อลบล้างผลพวงการกระทำของคณะรัฐประหาร จึงไม่ได้แสดงเห็นว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแต่อำนวยประโยชน์เพื่อพวกพ้องนักการเมืองเป็นหลัก ส่วนประโยชน์ส่วนรวมหยิบยกแค่กรณีประชาชนได้รับผลกระทบน้ำท่วมโยนเงินชดเชย ครัวเรือนละ 5,000 บาทแล้วก็จากไป หาได้แข็งขันใช้บทเรียนภัยพิบัติครั้งใหญ่ศึกษาวางยุทธศาสตร์เพื่อปกป้องประเทศชาติ ดูแลประชาชนโดยเร็วแต่อย่างใด ตอกย้ำให้เห็นว่า การทำเพื่อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมักรวดเร็วทันใจกว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศ 

คำกล่าว “ไม่ทำเพื่อกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”  คือพันธะสัญญาสำคัญ  ที่ให้ไว้ต่อสาธารณชนและต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียด้วย  ยิ่งบอกไว้ด้วยว่า”จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”  นายกฯยิ่งลักษณ์ จดจำสคริ๊ปทั้งหมดได้หรือไม่ หากจำไม่ได้จริงๆก็แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง
แหล่งอ้างอิง   เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...