เนื่องจากกองทุนประกันสังคมมีการจัดเก็บเงินสมทบจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และขั้นสูง 15,000 บาท คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จึงสมทบในอัตรา 4% ของเพดานค่าจ้าง 15,000 บาท เป็นจำนวนรวม 600 บาท นายจ้างของเราสมทบอีก 4% คิดเป็นเงิน 600 บาท รัฐบาลช่วยสมทบอีก 2.75% คิดเป็นเงิน 412.50 บาท สรุปว่า ปี 2556 นี้ พวกเราจึงสมทบสูงสุดไม่เกินคนละ 600 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ก้อน ดังนี้
- ก้อนใหญ่ (สีฟ้า) จำนวน 450 บาท เป็นเงินสมทบกรณีชราภาพ ซึ่งเป็น “การออมเพื่อเกษียณ” มีนายจ้างช่วยอีก 450 บาท เงินก้อนนี้เราได้รับคืนแน่นอน โดยจะได้รับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพหลังเกษียณ
- อีก 2 ก้อน (สีเหลือง) จำนวน 75 + 75 = 150 บาท ถูกหักเพื่อการคุ้มครองกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน คลอดบุตร และว่างงาน เงินสมทบในส่วนนี้เปรียบเสมือนการจ่ายเบี้ยประกัน หากเราไม่ได้ใช้สิทธิกรณีใดเลยในขณะนี้ เงินส่วนนี้จะถูกนำไปรวมเป็นเงินกองกลาง เพื่อใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือจ่ายเป็นเงินประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ให้แก่เพื่อนๆ ผู้ประกันตนที่ประสบความเดือดร้อนตามหลักการ “เฉลี่ยทุกข์ – เฉลี่ยสุข” ซึ่งกันและกัน
ปล2 – คนที่ไม่มีลูกอาจจะนึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้ใช้สิทธิ “คลอดบุตร” และ “สงเคราะห์บุตร” ... อยากให้คิดว่า การมีบุตร 1 คน พ่อแม่มีภาระค่าใช้จ่ายเยอะมาก ค่าคลอดบุตรและเงินสงเคราะห์บุตรที่ได้รับนั้น เป็นเพียงการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น