ไม่รอช้าล่ะ มาดูกันสิว่าอะไรคู่กับอะไร ชนิดที่ติดกันเป็นตังเม ห่างกันเมื่อไหร่รสชาติเป็นอันว่าไม่อร่อยแน่นอนเอาเลยทีเดียว
ปลากริมไข่เต่า
ขนมไทยโบราณที่เวลากินก็ให้นำขนมปลากริมสีออกน้ำตาลที่ให้รสหวาน กับขนมไข่เต่าสีออกขาวนวลเหมือนไข่เต่าที่ให้รสเค็มด้วยกัน กลายเป็นความอร่อยแสนมหัศจรรย์ และขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปเสียมิได้
ทั้งปลากริมและไข่เต่านั้นเป็นขนมที่ถูกพูดถึงในโคลงกลอนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 มีชื่อเรียกว่า ขนมแชงมา หรือ ขนมแฉ่งม้า แต่ไม่ทราบหน้าตาเป็นอย่างไร จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญอาหารคาวหวานในสมัยนั้นได้บันทึกไว้ว่า ขนมปลากริมไข่เต่าต้องกินคู่กัน หน้าตาก็เหมือนอย่างที่เราเห็นนั่นแหละ
ปาท่องโก๋
ลำพังก็เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสองชิ้นประกบคู่กันอยู่แล้ว แต่ก็ยังแอบหลายใจไปจับคู่กับน้ำเต้าหู้ ชา กาแฟ หรือไม่ก็โจ๊กยามเช้า ที่อร่อยได้ใจไม่ซ้ำกันอีกต่างหาก ส่วนที่มาของปาท่องโก๋นั้น แท้จริงแล้วมีชื่อเรียกว่า อิ่วจาก้วย ตามภาษาแต้จิ๋ว แต่ที่คนไทยเรียกว่า ปาท่องโก๋ นั้น เพราะสับสนไปนิด เรื่องก็มีอยู่ว่า สมัยก่อนชาวจีนที่ขายปาท่องโก๋ซึ่งเป็นขนมมีน้ำตาลทรายขาวประกอบ ซึ่งออกเสียงว่า แปะทึ่งกอ หรือ แปะถึ่งโก้ และมักจะเอาอิ่วจาก้วยหรือปาท่องโก๋ตัวจริงมากขายรวมอยู่ด้วย พอคนขายตะโกนขายแปะถึ่งท่องโก๋ จึงเข้าใจว่าปาท่องโก๋คือแป้งทอดอิ่วจาก้วยและจากแปะถึ่งโก้ เรียกไปเรียกมาก็กลายเป็นปาท่องโก๋ไปในที่สุดนั่นเอง
โรตีสายไหม
ขาดกันได้เสียที่ไหน เป็นของฝากขายดิบขายดีประจำ จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ละร้านขายกันมานมนานและก็มีป้ายการันตีความอร่อยจากหลายสำนักแขวนกันจนแน่นร้าน ก็ไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อยกว่า ดีกว่า แต่ขอแนะนำว่า ให้เลือกร้านที่ทำกันสดๆ ให้เห็นกันจะจะ ทั้งแผ่นโรตีหรือแผ่นแป้ง และสายไหม นั่นแหละยิ่งดียิ่งอร่อย ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการเพิ่มความอร่อยให้เลือกหลากหลายทั้ง สายไหมใบเตย บ้างก็ใส่กาแฟ บลูเบอร์รี สีสันยวนยั่วและก็อร่อยมัดใจทั้งนั้น
กระยาสารท กล้วยไข่
ทำไมไปด้วยกันได้ดีเช่นนี้ก็ไม่รู้ จะว่าไปกระยาสารทนี้เป็นของหวานที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลกันเลยทีเดียว ซึ่งตามความเชื่อของพุทธศาสนาแล้ว เชื่อว่าเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญให้ปู่ย่า ตายาย และญาติมิตรทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว และยังเป็นการบ่งบอกว่าเป็นช่วงของฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารและเป็นขอบคุณแม่พระโพสพอีกด้วย
ในอดีตก่อนถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 หรือเรียกว่า วันสารทไทย ทุกบ้านก็จะโชว์ฝีไม้ลายมือในการกวนกระยาสารทกันอย่างสนุกสนานและก็ทำกันอย่างสุดฝีมือ เพราะถือว่าเป็นขนมมงคลชั้นดีที่นอกจากนำไปทำบุญแล้วยังนำไปมอบให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถืออีกด้วย พอนำไปให้บ้านไหนก็จะได้กระยาสารทบ้านนำกลับมาด้วย เป็นการประชันฝีมือกันเป็นนัยๆ ได้รับคำชมเมื่อไหร่เป็นยิ้มแป้นกลับมาทุกราย
กระยาสารท
ทำจากถั่ว งา ข้าวคั่ว นม มาผสมกับน้ำตาล บ้างก็ใช้แบะแซเพื่อความเหนียว จะหนักเบาส่วนผสมไหนก็แล้วแต่ความชอบ แล้วกวนในกระทะจนเข้ากัน และถ้าจะกินให้ครบเครื่องจริงๆ จะต้องกินกับกล้วยไข่ กล้วยอย่างอื่นก็ไม่อร่อยเท่า เออแปลกดี ยามนี้กล้วยไข่กำแพงเพชรเลยพลอยขายดิบขายดีตามไปด้วย บางคนก็โรยมะพร้าวขูดลงไปบนกระยาสารทด้วย อันนี้เขาว่ายิ่งอร่อย แต่ยังไม่เคยลอง
บัวลอยไข่หวาน

จำได้ว่าสมัยยังเด็กเวลาจะทำขนมบัวลอยที คุณแม่คนเก่งจะระดมพลลูกๆ มาช่วยกันปั้นแป้งบัวลอย พวกเราก็ลงมือปั้นแป้งกันอย่างสนุกสนาน เป็นรูปสัตว์บ้างล่ะ ยอดมนุษย์บ้างล่ะ แล้วแต่ใครจะสร้างสรรค์อะไร แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่มีข้อแม้ว่าใครปั้นรูปอะไรก็ให้กินของตัวเอง พอขนมบัวลอยสุก แม่ยกหม้อมาให้ตัก เราก็ลงมือตักขนมบัวลอยกันด้วยความตื่นเต้น แถมโอ้อวดกันว่าของใครสวยกว่า เจ๋งกว่า โดยมีคุณแม่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ ปรากฏว่าคำแรกที่ตักบัวลอยเข้าปากถึงกับหน้าเหยเก ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็ไอ้แป้งที่เราปั้นไว้ยามสุกมันใหญ่จนคับปาก แถมยังไม่มีรสชาติ คราวนี้ล่ะคุณแม่ที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ใกล้ๆ ถึงกับปล่อยก๊ากกกก
และวันนั้นเองเราถึงรู้ว่าทำไมบัวลอยเขาถึงต้องปั้นลูกเล็กๆ เข็ดไปจนตาย 555
ปิดท้ายด้วย ปลาแห้งแตงโม โอ้โห เป็นเมนูมัดใจคุณตาคุณยาย เรียกว่ายามหน้าร้อนมาเยือนทีไรจะเป็นเมนูที่ถูกเรียกหามาคู่สำรับตลอดเวลา
ของคาวก็ไม่ใช่ ของหวานก็ไม่เชิง ขอเรียกว่าเป็นของว่างที่นิยมกินคลายร้อนก็แล้วกัน แตงโมเย็นฉ่ำที่ใช้ช้อนตักเป็นลูกๆ ช่างเข้าขากับปลาแห้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้ปลาช่อนตากแห้ง เพราะให้เนื้อเยอะและแน่นกว่าชนิดอื่น นำไปล้างให้สะอาดแล้วนำไปย่างไฟพอหอมๆ นำมาแกะเป็นชิ้นเล็กๆ เอาก้างออก นำไปปั่นพอหยาบ หรือไม่ก็นำไปตำพอแหลก
จากนั้นก็หันไปเอาน้ำมันใส่กระทะ นำหอมแดงซอยลงไปเจียวจนหอม ตักลงมะคลุกน้ำตาลทราย กินกับแตงโมหวานฉ่ำอร่อยมาก เชื่อดิ
ยังมีอีกอีกหลายเมนูที่อยู่คู่กันมานาน ไม่เหมือนรักของคนเราเลยไม่นานก็จืดก็จาง (เกี่ยวจนได้ อิอิ) และเพราะเมนูเกิดมาคู่กัน เราก็เลยได้กินของอร่อยๆ ยกกำลัง 2 กันไง
แหล่งที่มา เว็บไซต์โพสทูเดย์ โดย..องค์ชายห้า 17 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 08:01 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น