วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น

หลายคน นิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแป้งแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกรุ่นหอมละมุนอีก  ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่หน้า จนถึง ฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้น  ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่าช่วยให้แห้งสบายจากความชื้น โดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า  แทบจะเรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ชักสงสัยแล้วว่า มันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?

คำว่า "แป้ง" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "Talc" มันคือ แร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า Soapstone หรือ Steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ Hydrate Megnasium silicate แต่มัอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรด์ ร่วมด้วย 

เรารู้จักแป้งกันดี เมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง  และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟ ทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้น ทำให้ผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง  เนียนลื่นไม่ดูดติดกัน เป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึง ยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก  สบู่  ครีมทาผิว  น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?

 อันตรายต่อสุขภาพปอดเวลาทาแป้ง ตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ ก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน  เราเรียกภาวะนี้ว่า "Pneumoconiosis" ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้

 อันตรายต่อสุขภาพรังไข่เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมาก จนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของทุกยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่า แป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถาม พบว่าคนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43%  ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ  แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28%  ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมากกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผล ประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง  2.5  เท่า

สรุปว่า น่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งบริเวณอวัยะเพศ ทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (Epithelial Cancer) โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านทางช่องคลอดมดลูก และ ท่อนำไข่ เข้าไปสู่ช่องท้อง  และด้วยความเชื่อที่ว่า Talc เป็นอินออ์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน  ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ Talc แล้ว  แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (Corn Starch) ซึ่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัว และซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า  ถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่ กุมารแพทย์และสูติ - นรีแพทย์ จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม  สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือผู้หญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น  ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป  ใครทำอยู่เลิกเสียดีกว่า

การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและกันไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่  และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม และ ผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่ีกลิ่นไม่พึงประสงค์

ถ้ารู้สึกว่า มีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องความชื้นหรือการแพ้ผ้าอนามัย  หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเขื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจ ควรไปปรึกษาแพทย์

เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า "อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า"

ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น อาจใช้วาสลีน หรือยูเรีย ช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ

ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อน เพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่า

ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเป้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจ เอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ  ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้

ดังนั้น ทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาบริเณที่เหมาะสม จะไม่อันตรายต่อสุขภาพและที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการใช้แป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก

แหล่งที่มา   นิตยสาร Health Today คอลัมน์ Well Women เขียนโดย พญ.นิศานาภ  ธนะภูมิ สูติ-นรีแพทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...