วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

รักและเชื่อในสิ่งที่ทำจริงๆ

เครื่องดนตรีชิ้นแรกคือ เมโลเดี้ยน "ง่อยๆ"
ที่พ่อเก็บมาได้ ท่อเป่าก็ไม่มี
พ่อเลยไปซื้อสายยางใสๆ มาให้
เอาเสียบแล้วเป่าได้ทั้งวัน
ตอนนั้นอยู่ ป.4

พอมา ม.2 แม่ไม่อยากให้อ่านการ์ตูน
เลยซื้อคีย์บอร์ดคาสิโอให้
แต่ไม่ได้ให้ไปเรียน  ก็เลยหัดเล่นมันมั่วๆ ได้ทั้งวัน
ไม่รู้จักโดเรมีฟาซอล ได้แต่เอากระดาษกาวแปะตัวเลข 1,2,3,4,5 ไว้

พอ ม.3  ยืมกีตาร์ราคา 500 บาทของคนงานที่บ้านมาเล่น
ตั้งสายก็ไม่เป็น สายเพี้ยนทีนึงก็ต้องวิ่งไปให้พี่ข้างบ้านตั้งสายให้

พอ ม.4  ต่อรองกับแม่ ว่าถ้าสอบได้เกิน 3.9 ต้องซื้อกีตาร์ให้
ได้ 3.94 กีตาร์ยามาฮ่าราคา 1,500 บาทเลยเป็น
เหมือนเดิม  ไม่เคยเรียนดนตรี หัดเองทุกอย่าง
คอร์ด F จับยากมาก และปลายนิ้วก็พองแล้วพองอีก เจ็บมาก
แต่ก็เล่นกีตาร์ทุกวัน เรียกว่ากลับถึงบ้านปุ๊บ คว้ากีตาร์เล่นปั๊บ
พอเข้ามหาลัย  เข้ากรุงเทพครั้งแรก
ตกใจที่เจอคนเล่นเก่งๆ
และสารภาพว่าเพิ่งเคยได้ยินเสียงกีตาร์ไฟฟ้า
หน้าด้านไปเข้าชมรมดนตรีของหอพักจุฬา
ทั้งที่เล่นดนตรีงูๆ ปลาๆ อ่านโน้ตไม่เป็น กีตาร์ไฟฟ้าก็ไม่มี
อาศัยครูพักลักจำและกีตาร์เก่าๆ ของชมรมเล่นไปเรื่อย
หัวเด็ดตีนขาด แม่ก็ไม่ยอมซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้
เพราะกลัวจะไปเป็นนักดนตรี

ปี 2 นั่นแหละถึงจะเก็บเงินซื้อกีตาร์ไฟฟ้ากับตู้แอมป์เองได้
ส่วนเอฟเฟ็คกีตาร์น่ะเหรอ รอไปก่อน ไม่มีตังค์

ปี 3 ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตของชมรมดนตรีเพื่อการกุศล
หลงรักดนตรีเข้าแล้วล่ะ
นิตยสารดนตรีเต็มห้อง เทปกองสูงท่วมหัว
เกือบเลิกเรียน เพราะใจไม่เอาแล้ว
เดือดร้อนพ่อต้องมาหาถึงกรุงเทพ ขอให้เรียนต่อ

ปี 4 เรียนจบวิศวะ จุฬา แต่ไม่อยากทำงานวิศวะ
เลยตัดสินใจเรียนต่อโทวิศวะ เพื่อซื้อเวลา
หวังว่าโชคชะตาจะพาได้ทำงานที่รัก

ป.โทปี 1 รวมตัวกับรุ่นน้องประกวดวงดนตรี
ผลคือตกรอบแรก เพราะเราเล่นห่วยมาก
แต่กลับค้นพบว่า "แต่งเพลงได้"
ยิ่งตอนนั้นอกหักพอดี ฟีลลิ่งเลยยิ่งได้
เข้าห้องน้ำ อัดเพลงที่แต่งไว้ด้วยซาวเบ้าท์ ส่งไปแกรมมี่
และหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ก็ได้ทำงานที่แกรมมี่
ในฐานะนักแต่งเพลง

เล่าเรื่องนี้ทำไม?
เล่าเรื่องนี้ก็เพื่อจะบอกว่า
ไอ้เด็กคนนั้นที่เป่าเมโลเดี้ยนง่อยๆ ด้วยสายยางฉีดน้ำ
มันคงไม่นึกหรอกว่า วันนึงมันจะได้กลายเป็นนักแต่งเพลงแกรมมี่
แต่ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรคาดเดาได้
แม้ที่สุด ทุกวันนี้จะไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยการแต่งเพลงแล้ว
(จะแต่งก็ต่อเมื่อมีงานที่น่าสนใจเข้ามาจริงๆ)

แต่ก็ยังอยู่ในสายงานที่รักอีกงาน นั่นคือ "งานเขียน"
เช่นกัน ไอ้เด็กคนนั้นที่โตมากองกับนิตยสารสตรีสาร ขวัญเรือน
ก็คงไม่นึกว่าวันนึง มันจะเขียนหนังสือเบสเซลเลอร์ของประเทศนี้
แต่ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรคาดเดาได้

ชีวิตคือการเคลื่อนจากจุด A ไป B
ใครที่ยังไม่ถึงจุด B ก็ขอให้รู้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทาง
ใครที่รู้สึกว่าจุด A อยู่ห่างจากจุด B เหลือเกินจนแทบเป็นไปไม่ได้
ก็ขอให้รู้ว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้สำหรับชีวิตของเรา
ใครที่กำลังรู้สึกว่ามองไปข้างหน้า เหมือนไม่เห็นทาง
ดูเลือนลางไปหมด อะไรคืออนาคต มองแล้วมืดมน

อยากให้รู้ว่าถ้าเรารักและเชื่อในสิ่งที่ทำจริงๆ
ไม่นานอุปสรรคทุกอย่างจะเปิดทางให้เอง
และทุกก้าวที่เราเดินไป
ทางมันจะค่อยๆ ต่อเป็นถนนสู่ฝันให้เราเดินเอง
ขอแค่อย่าหยุดเดินก็แล้วกัน

แหล่งที่มา   Facebook : Boy's Thought

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...