เอายาที่หมดอายุหรือไม่ต้องการออกจากภาชนะบรรจุเดิมของมันเสียก่อน แล้วเอาไปรวมกับของอื่น ๆ ที่รับประทานไม่ได้ เช่น กากกาแฟ แล้วเอาไปทิ้งในถึงขยะ อย่าเอาไปทิ้งไว้กับกองปุ๋ย (ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทำให้เกิดกลิ่นที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กหรือสัตว์เข้าไปกินได้หากไปคุ้ยเจอในถังขยะโดยบังเอิญ) สำหรับภาชนะที่บรรจุ ให้ทำลายฉลากที่ระบุประวัติของผู้ใช้เสียด้วย ภาชนะสามารถนำมารีไซเคิลได้
ยาน้ำ
ปล่อยให้อยู่ขวดของมันเช่นเดิม แต่ให้ทำลายฉลากเสีย แล้วเติมเกลือ, แป้ง, ผงถ่าน หรือผงเครื่องเทศที่ไม่เป็นพิษ เช่น ขมิ้นหรือมัสตาร์ด เพื่อทำให้ยาน้ำดูไม่น่าดื่มสำหรับทั้งคนหรือสัตว์ จากนั้นนำไปทิ้งในถังขยะ
ยาที่สามารถเททิ้งได้
เทยาทิ้งลงในท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เด็กหรือสัตว์กิน แต่ก็มียาหลายอย่างที่ทำให้เกิดมลภาวะต่อระบบบำบัดน้ำเสีย ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ จึงระบุรายชื่อยาที่มีความเสี่ยงต่อสภาพแวดล้อมและน้ำดื่มต่ำที่สุดเมื่อทิ้งลงไปในระบบบำบัดน้ำเสีย (เราอาจดูรายชื่อยาเหล่านี้ได้ในเว็บไซต์ fdagov)
ยาเคมีบำบัด
ต้องดูแลเป็นพิเศษเวลาจะทิ้ง ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสียก่อนที่จะทิ้งยาเหล่านี้
หากคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะทิ้งยาของคุณ หรือต้องการหลีกเลี่ยงที่จะได้ไม่ต้องทิ้งยาที่ไม่ใช้อีกต่อไป ต่อไปนี้จะเป็นข้อแนะนำเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการจัดการการใช้ยาของตัวคุณ
- ติดต่อคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ให้บริการคุณอยู่ ตรวจสอบดูว่ามีบริการฝากทิ้งยาด้วยหรือเปล่า
- อ่านดูว่ายาหมดอายุเมื่อไร ก่อนจะซื้อยา ให้ดูด้วยว่ายาควรหมดอายุหลังจากซื้ออย่างน้อยหนึ่งปี หากเห็นว่าใกล้จะหมดอายุ ให้บอกแก่เภสัชกรหรือผู้ขาย อาจซื้อในปริมาณที่น้อยลงเท่าที่จำเป็น (เช่นซื้อแค่ 50 เม็ด แทนที่จะเป็น 100 เม็ด) เพื่อป้องกันยาหมดอายุก่อนที่จะใช้หมด
- อย่าแบ่งยาให้คนอื่น การให้ยาแก่คนอื่นเป็นวิธีที่แย่ที่สุดในการทิ้งยาเหล่านั้น แม้การสำรวจจะพบว่า มีคนเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ที่แบ่งยาให้คนอื่น แต่ความจริงน่าจะมีมากกว่านั้นราวสองเท่า โดยในแต่ละปีที่สหรัฐฯ จะมีผู้เสียชีวิตจากยาโดยไม่ตั้งใจถึง 26,000 ราย
แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น