วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

พ่อหาเงินให้ลูกจนตาย

             คงไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่มากกว่าความรักของ "พ่อแม่" อีกแล้ว เพราะว่าทุกวิถีทางที่ทำให้ลูกสบาย ทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกมีความสุข ไม่ว่าจะเหนื่อยยากตรากตรำขนาดไหน เขาก็พร้อมยอมที่จะทำโดยไม่มีข้อแม้ เพียงเพื่อหวังให้ลูกยิ้มได้เท่านั้นเอง...

             และในค่ำคืนวานนี้ (24 มกราคม) รายการตีสิบ ได้นำเรื่องราวของคุณจิรัชญา ฉ่ำเย็น หรือคุณวัน ลูกสาวที่เกเร โกหกครอบครัว เพียงเพื่อนำเงินมาซื้อความสุขให้ตัวเอง โดยไม่เคยรู้เลยว่า เบื้องหลังของเงินเหล่านั้น คนเป็นพ่อจะต้องเหนื่อยแค่ไหน ... และเธอก็ไม่รู้เลยว่า จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับเงินที่เธอขอก้อนสุดท้ายที่พรากลมหายใจพ่อของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ

             คุณวัน เล่าเรื่องราวครอบครัวให้ฟังว่า ครอบครัวของตนเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจน ต้องหาเช้ากินค่ำ โดยพ่อประกอบอาชีพเป็นคนขับรถสิบล้อ ตนมีพี่น้อง 3 คน มีพี่สาว 2 คน ส่วนตนเป็นลูกคนเล็ก ซึ่งพี่สาวของตนเรียนไม่สูงนัก แล้วทำงานหาเลี้ยงตัวเองกันหมด ไม่มีใครจบปริญญา ส่วนตนนั้นด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเล็ก พ่อแม่ก็จะโอ๋เป็นธรรมดา และตนก็เอาแต่ใจตัวเองมาก ๆ อยากได้อะไรก็ต้องได้มาตลอด

             ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน ตนจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ หรือเค้กวันเกิด ที่พี่สาวของตนไม่เคยได้เลย แต่ตนจะได้มาตลอด ทั้ง ๆ ที่บ้านของตนไม่ค่อยมีกินเท่าไร แล้ววันเกิดของตนนั้นก็จะเป็นวันเดียวที่พ่อจะกลับมาในรอบปี เนื่องจากพ่อของตนต้องรับจ้างขับรถให้ได้หลาย ๆ รอบ เพื่อจะได้นำเงินมาส่งตนเรียน ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของพ่อ




             คุณวัน กล่าวต่อว่า สำหรับนิสัยส่วนตัวของตนในตอนเด็ก ๆ นั้น เป็นคนที่ไม่สนใจใครเลยนอกจากตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ถ้าอยากได้อะไรก็จะโทรหาพี่ ถ้าพี่ไม่ยอมให้ก็จะโทรหาพ่อ หลัง ๆ ตนก็จะใช้วิธีโทรหาพ่อโดยตรงเลย เพราะยังไงขอพ่อก็ต้องได้ และตนก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา โดยไม่สนใจว่าพ่อจะมีเงินหรือไม่

             ส่วนการโกหกครอบครัวนั้น เริ่มต้นจากช่วง ม.ต้น เริ่มแรกก็คงเหมือนเด็กเกเรทั่ว ๆ ไปทำ นั่นก็คือ การโดดเรียน ไม่ค่อยจะเข้าเรียนสักเท่าไร ส่วนของเล่นในตอนนั้นที่เพื่อน ๆ เขาฮิตกัน ก็เป็นสัตว์เลี้ยงในทามาก็อต พอเห็นเพื่อนมีก็อยากมีบ้าง จึงโกหกพ่อว่าโรงเรียนมีงานกิจกรรมแล้วขอเงินพ่อมาซื้อทามาก็อต

             "ช่วงนั้นเพื่อน ๆ เริ่มมีมือถือกันแล้ว ก็เลยอยากได้บ้าง โดยเฉพาะยี่ห้อซีเมนต์ที่เป็นฝาพับ ซึ่งเป็นรุ่นที่ดังมาก ๆ เราเลยโทรบอกพ่อว่าอยากได้โทรศัพท์ คือพ่อเขาก็ไม่รู้หรอกว่า รุ่นมือถือมันคือรุ่นอะไร รุ่นไหนที่ลูกอยากได้ แต่ก็ซื้อส่งมาให้ พอเปิดกล่องพัสดุออก ก็โกรธมาก เพราะพ่อส่งรุ่น 3310 มาให้ เป็นรุ่นที่ตกรุ่นแล้ว ตอนนั้นเหลือเครื่องละสามพันกว่าบาท ส่วนรุ่นที่อยากได้ราคาเครื่องละหกพัน เราไม่พอใจมากโทรไปว่าพ่อ แล้วกระแทกสายทิ้ง" คุณวัน กล่าว

             หลังจากที่ได้โทรศัพท์มา ตนก็เก็บไว้ที่บ้าน ไม่เคยใช้เลย เพราะไม่อยากพกไปไหน รู้สึกอายเพื่อน พอเพื่อนถามว่า ตนไม่มีมือถือหรอ ตนก็กลับบ้านไปโทรหาพ่อ แล้วก็ไปว่าพ่อที่ทำให้เราอาย ซึ่งตนทำแบบนี้ทุกครั้ง และก็ขู่ตลอดว่า ถ้าไม่ซื้อให้ตน ตนก็จะไม่เรียน แล้วก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะพ่อกลัวเราจะไม่เรียนต่อเลยยอมทุกอย่าง

             เมื่อจบชั้นมัธยม ตนก็ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ตอนสอบเข้าได้ พ่อภูมิใจมาก ขับรถกลับบ้านมาดูตนใส่ชุดนักศึกษา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็ชมว่าใส่แล้วดูดี และเมื่อตนได้เข้าเรียน สังคมก็ทำให้ตนเริ่มอยากมีอยากได้เหมือนคนอื่นเขา เพื่อน ๆ เค้ามีเครื่องสำอางแบรนด์เนม ตนก็อยากมีบ้าง เวลากินข้าวก็ไม่ได้กินที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย แต่ต้องออกไปกินในห้างกับเพื่อน ๆ กินจนอ้วนมาก ตอนนั้นหนักเป็นร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว

             ส่วนเงินที่ตนนำไปซื้อเครื่องสำอางและเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ นั้น ตนได้มาจากการโกงเงินหน่วยกิต โดยที่ร้านข้าง ๆ มหาวิทยาลัยเขารับทำ เพียงแค่ตนมีใบยื่นหน่วยกิตเอาไปให้เขา เขาก็จะแก้เลขให้เป็นตัวเลขที่เราต้องการได้ ส่วนมากตนก็จะให้เขาเพิ่มเลขให้มาก เป็นเท่าตัว อย่างเช่นถ้าค่าเทอม 5,000-8,000 บาท ตนก็จะโกงเป็น 15,000 บาท โดยจ่ายค่าจ้างให้เขา 200 บาทต่อ 1 ใบ  จากนั้นพี่สาวของตนก็จะเช็คดู แล้วก็โทรบอกให้พ่อโอนเงินใส่บัญชีมา ตอนนั้นตนไม่ได้คิดอะไรมาเพียง แค่อยากมีเงินมากขึ้น เพื่อที่จะไปซื้อเครื่องสำอาง ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นว่า เรามีรสนิยม และไปเที่ยวกินเคเอฟซี พิซซ่ากับเพื่อน ๆ เท่านั้นเอง ส่วนการเรียนของตนนั้น เรียกได้ว่า ไม่มีหน่วยกิต เพราะตนขอเงินไปเรียนวัน ๆ แต่ไม่เคยเข้าเรียนเลยสักครั้ง จนโดนไล่ออกมาในที่สุด

             ตอนนั้นที่ตนถูกไล่ออก ตนก็แอบไปสมัครเรียนที่ ม.รามคำแหง เอาไว้ เพราะกลัวพ่อแม่รู้ แต่ถึงจะย้ายไปเรียน ม.รามฯ ตนก็โกงค่าหน่วยกิตเหมือนเดิม แถมหน่วยกิตที่นี่ก็ถูกกว่าเกือบเท่าตัว ตนเลยมีเงินเหลือเยอะใช้มากกว่าปกติ ถ้าถามว่าตนเที่ยวกินเหล้าบ้างไหม ก็มีบ้าง แล้วก็อ้างว่าทำรายงานกลับบ้านไม่ได้ ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าเราโต ๆ กันแล้ว

             คุณวัน กล่าวต่อว่า การขอเงิน ตนก็ขอเรื่อยมา ครั้งละ 500 บ้าง 1,000 บ้าง แต่ระยะหลังการโอนเงินของพ่อเริ่มแปลกไป จากเดิมโอนมาเป็นหลักพัน แต่ตอนนี้เหลือแค่หลักร้อย แต่ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร พอพ่อโทรมาว่าโอนปุ๊บ ตนก็กดใช้ปั๊บ

             แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตของคุณวัน เมื่อจู่ ๆ พ่อที่เป็นทุกอย่างต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยคุณวันเล่าว่า วันนั้นตนโทรไปหาพ่อบอกว่าขอเงิน 2,000 บาท จะเอาไปเป็นค่ากิจกรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วตนอยากได้เงินไปเที่ยวที่งานพัทยามิวสิคเฟสติวัล โดยได้นัดเพื่อนไว้ 5 โมงเย็น แต่พ่อก็ยังไม่โอนมาสักที ตนก็เลยโทรไปว่าพ่อ ซึ่งพ่อเหมือนกำลังจะพูดอะไรแทรก แต่ตนโมโหมาก จึงตัดสายทิ้งไป หลังจากนั้นสักประมาณบ่ายสอง ตนก็โทรไปอีก คราวนี้แม่รับสาย ตนก็ตกใจทำไมแม่ถึงมารับโทรศัพท์พ่อ แล้วแม่ก็บอกกับตนว่า "จากนี้ไปจะไม่มีคนคอยปกป้องเราอีกแล้วนะ จะไม่มีคนดูแลเราแล้ว เพราะพ่อเสียแล้ว" ...



             วินาทีนั้นตนไม่เชื่อ แต่ก็นั่งรถกลับไปที่บ้าน พอไปถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ระงม สักพักพี่สาวก็วิ่งมากอดบอกกับตนว่า พ่อเสียแล้วนะ ทุกคนกำลังรอตนอยู่เพื่อจะไปรับศพพ่อ... ตอนที่ตนนั่งรถ ตนก็ยังเบลอ  ๆ เขาพูดอะไรกัน ตนไม่รู้เรื่องเลย เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก็เห็นแม่ในสภาพเสื้อเปื้อนเลือดเต็มไปหมด แล้วพอไปดูศพพ่อ ตอนนั้นเพิ่งจะรู้สึกว่า พ่อของตนตายแล้วจริง ๆ สภาพศพของพ่อบริเวณลำคอถูกเย็บเต็มไปหมด ตนแทบจะจำพ่อไม่ได้เลย

             "ลึก ๆ แล้วที่เราเบลอนั่นก็เป็นเพราะเรารู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา ถ้าเราไม่กดตัดสายทิ้ง พ่อก็คงไม่ตาย แต่ตอนนั้นเราก็ไม่บอกเรื่องนี้กับใคร"

             ส่วนสาเหตุของการตายของพ่อนั้น คุณวันเล่าให้ฟังว่า วันนั้นพ่อขับสิบล้อ แล้วลงไปช่วยเขาจับเครนมัดเส้นลวด เพื่อที่จะได้เงินเพิ่ม ซึ่งพ่อของตน ตอนนั้นก็รอเงินกู้ 2,000 บาท ที่กำลังจะกู้แล้วโอนให้ตนอยู่ จึงรีบลงไปช่วย แต่ด้วยความที่พ่อไม่ชำนาญ ก็เลยถูกเหล็กเส้นหนักเป็นตัน ๆ ทิ่มเข้าที่คออย่างจัง... ถ้าตนไม่ต้องไปเที่ยวกับเพื่อน ถ้าตนไม่อยากได้เงิน ถ้าตนไม่กดตัดสายพ่อทิ้ง พ่อก็คงไม่ต้องรอเงินกู้ ไม่ต้องไปช่วยเขาทำงาน แล้วพ่อก็จะไม่ต้องตาย



             และความลับอีกอย่างหนึ่งที่ตนไม่เคยรู้มาก่อนเลย นั่นก็คือพ่อไม่มีเสื้อผ้า ตอนที่ต้องเปลี่ยนชุดในศพ ตนเห็นแค่ชุด ๆ เดียว คือชุดทำงานของเขา กางเกงในก็ไม่มีใส่ ส่วนชุดอยู่บ้านพ่อก็จะใส่แค่โสร่งตัวเดียวเท่านั้น  แต่มีชุด ๆ หนึ่งเป็นเสื้อซาฟารีแบบฟอร์มชุดทำงานที่ใหม่ที่สุด ตนเคยถามพ่อแล้วว่าทำไมไม่ใส่ พ่อบอกว่า จะเอาไว้ใส่ในวันรับปริญญาของลูก ซึ่งตอนนี้ตนเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา

             หลังจากงานศพของพ่อ ตนรู้สึกผิดมากเลยเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้แม่ฟัง แม่เลยถามตนว่า รู้ไหมว่าพ่อเอาเงินมาจากไหนมาให้ตน ... พ่อต้องขายหมู หรือที่รู้จักกันในวงการคนขับรถสิบล้อว่าขายน้ำมันเครื่อง คือเวลาขับรถรอบหนึ่งเขาก็จะเติมน้ำมันมาเต็มถัง แต่ใช้จริง ๆ แล้วไม่ถึง พ่อเลยโกงน้ำมันไปขาย นอกจากนี้ยังแอบเอาเศษเหล็กที่เขาตัดทิ้งไปขาย แถมยังกู้เงินในระบบ และนอกระบบ เพื่อมาส่งเงินให้ตน

              "แม่บอกอีกว่า พ่อเล่นยาบ้า ที่ต้องใช้ยานั้นก็เพื่อที่จะได้มีแรงขับรถได้เยอะ ๆ แม่เคยขอให้พ่อเลิก แต่พ่อบอกว่าจะวิ่งน้อยได้อย่างไร ลูกต้องเรียนสูง ๆ ลูกเราต้องใช้เงินเยอะ เมื่อเราได้ฟังก็อึ้ง เพราะเขายอมทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะให้เราได้เรียนหนังสือ"  คุณวัน กล่าว

             คุณวัน เล่าต่อว่า ตนเก็บความรู้สึกผิดนั้นมาตลอด พอถึงวันพ่อทีไร เปิดช่องไหนก็มีแต่ข่าวเกี่ยวกับพ่อ มีการส่งเมสเสจหาพ่อ และในคืนหลังจากที่ครบร้อยวันของพ่อ ซึ่งเป็นวันที่ 6 ธันวาคม ตนฝันว่า มีคนพาตนไปยังทีแห่งหนึ่ง คล้าย ๆ กับเป็นสถานเยี่ยม มีคนมากมายแต่ตนมองเห็นแค่พ่อเท่านั้น ตอนนั้นพ่อนั่งรอตนอยู่ ข้าง ๆ มีคนยืนคุมไว้สองคน พ่อตนเห็นพ่อปุ๊บตนก็บอกทันทีว่า "พ่อคะหนูขอโทษนะ หนูจะไม่วางสายเลย ถ้ารู้ว่าพ่อจะเสียในวันนั้น" พ่อก็ได้กล่าวตอบตนว่า เขาไม่เคยโกรธตนเลย อโหสิกรรมให้ แล้วก็ลูบหัวตน จากนั้นก็จูงมือตนไปที่ศาลา ตนเลยถามพ่อว่า พ่อได้กินคุ้กกี้ที่ตักบาตรให้หรือเปล่า พ่อบอกว่าได้กิน มีผู้หญิงเขามาเรียกจากโรงเจ ตามไปให้กิน

             คุณวัน เล่าอีกว่า จากนั้นพ่อได้คายเหรียญออกจากปาก เป็นเหรียญจากปากศพ ซึ่งในฝันนั้นเป็นเหรียญ 50 สตางค์ เหรียญบาท เหรียญสิบ แล้วก็เอามาให้ตน บอกว่า นี่เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จะให้ลูก แล้วบอกกับตนว่า แม่เขาอาจจะมีสามีใหม่ อย่าไปโกรธและอย่าทิ้งแม่ จากนั้นตนก็ไม่สามารถคุยอะไรกับพ่อได้แล้ว

             พอหลังจากนั้นเพียงวันเดียว ทางประกันชีวิตก็โทรมาบอกตนว่า พ่อได้ทำประกันให้ตนไว้เพียงคนเดียว วงเงิน 500,000 บาท ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า เขารักตนมาก รักจนวินาทีสุดท้ายในชีวิตเขา




             เมื่อตนได้รับเงินดังกล่าวแล้ว ก็ไปลงเรียนต่อทันที ตอนนั้นยากลำบากมาก ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัดที่สุด และหางานพิเศษทำ ซึ่งกว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทนั้นมันทรมานมาก ๆ แต่ในที่สุดตนก็สามารถเรียนจบ คว้าปริญญามาได้อย่างสำเร็จ แล้วก็ได้ถ่ายรูปกับรูปหน้าศพของพ่อ ซึ่งตนก็ได้บอกพ่อว่า ตนทำสำเร็จแล้ว วันนี้เป็นวันของพ่อ

             วันเวลาผ่านไปนานพอสมควร ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนจะมีงานการทำแล้ว แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจลึก ๆ นั้นไม่ดีขึ้นเลย  เพราะว่าในตอนนี้เรามีงาน มีเงิน เวลาเราไปไหนมาไหนเจอเขาเดินกับพ่อ คุยกับพ่อ มันก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้... เห็นเสื้อผ้าดี ๆ อาหารดี ๆ ก็อยากซื้อไปให้พ่อ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะพ่อไม่อยู่กับตนแล้ว

             จากวันนั้นจนวันนี้ ทำให้ตนรู้ว่า พ่อคือผู้ชายที่รักตนที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าตอนที่ลูก ๆ เกิดมาเขาจะไม่รู้ว่า ต้องเลี้ยงลูก ๆ แบบไหน แต่สิ่งที่ตนเชื่อว่า พ่อทุกคนหวังเหมือนกันนั้นก็คือ อยากให้ลูกสบาย อยากให้ลูกมีทุกสิ่งทุกอย่าง



             "พอเราเกิดมาพ่อก็รู้ว่ารักเราแล้ว แต่เรากว่าจะรับรู้ถึงความรักของพ่อ มันก็สายเกินไป" คุณวัน กล่าวทิ้งท้าย

             ...และนี่คือเรื่องเล่าสะท้อนชีวิตจริงจากความรักของพ่อที่มีให้ กับลูก ที่เคยหลงระเริงไปชั่วขณะ และกว่าจะรับรู้ถึงความรักนั้น ก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้น ขอให้ลูก ๆ ทุกคนอย่าหลงลืม และละเลยความรักของพ่อและแม่กันด้วยนะจ๊ะ



แหล่งที่มา  เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...