วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

อิทธิปาฏิหาริย์ปราบคนทิฐิกล้า

ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าได้ตรัสปาฏิหาริย์ไว้ 3 ประเภท

ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าได้ตรัสปาฏิหาริย์ไว้ 3 ประเภท ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นปาฏิหาริย์ที่มีอยู่จริงอยู่แล้ว และสามารถทำให้เกิดมีได้จริงในโลก

อย่างแรก “อิทธิปาฏิหาริย์” การแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ อาทิ เหาะได้ หายตัวได้ อยู่ในที่หนึ่งแต่สามารถไปปรากฏตัวในอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลในพริบตา เดินทะลุกำแพง ย่นระยะทางได้ ฯลฯ

อย่างที่ 2 “อาเทสนาปาฏิหาริย์” การทายใจหรือดักใจคนอื่นได้ แบบว่ารู้วาระจิตของคนอื่นได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะคิดอะไรก็สามารถดักใจทายใจได้แม่นยำเหมือนตาเห็น

อย่างที่ 3 “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” หมายถึง คำสอนในพระพุทธศาสนาที่เมื่อบุคคลรับนำไปปฏิบัติแล้วสามารถเห็นผล และบังเกิดผลได้จริง (คือสิ่งมหัศจรรย์แท้จริง)

ทั้งสามปาฏิหาริย์ทรงยกย่อง “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” เท่านั้น ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์ และ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เพราะไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทางที่จะให้บรรลุถึงความดับทุกข์แท้จริง

ถึงแม้พระองค์จะไม่ทรงยกย่องปาฏิหาริย์ทั้งสอง แต่ก็ทรงเห็นว่าการสอนคนบางคนโดยเฉพาะคนที่มากไปด้วยมานะและมิจฉาทิฐิแรงกล้า ลำพังการใช้ “อนุสาสนี” อย่างเดียวกว่าจะได้ผลต้องใช้เวลานาน

ดังนั้น เพื่อกำราบคนประเภทนี้จึงเห็นว่ามีหลายครั้งที่พระองค์ทรงเลือกใช้อิทธิปาฏิหาริย์ควบคู่ไปกับอนุสาสนีปาฏิหาริย์ หรือใช้อิทธิปาฏิหาริย์นำร่องแล้วตามด้วยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ตบท้าย

เรียกว่ากำราบให้อ่อนด้วยฤทธิ์ แล้วอบรมสั่งสอนด้วยหลักธรรมตาม

อย่างครั้งหนึ่งเมื่อออกพรรษาแรกพระองค์ได้เสด็จไปอุรุเวลา ตำบลเสนานิคม แคว้นมคธเพื่อโปรดชฎิล 3 พี่น้อง (อุรุเวลกัสสปะ คยากัสสปะ และนทีกัสสปะ ซึ่งแต่ละคนก็มีศิษย์จำนวนมาก) โดยไปขอที่พักกับอุรุเวลกัสสปะ

แต่ถูกอุรุเวลฯ ปฏิเสธ ทว่าทรงตื้อ 3 ครั้ง อุรุเวลฯ จึงยอมให้พักแต่เป็นในโรงไฟซึ่งมีนาค (งู) ใหญ่ดุร้ายอยู่ในนั้นและอุรุเวลฯ ก็หวังจะให้นาคร้ายจัดการพระพุทธเจ้า

ถึงรุ่งเช้าพระพุทธองค์ทรงใช้ฤทธิ์จับงูยักษ์ลงในบาตรมาให้อุรุเวลฯ และสานุศิษย์ดู กระนั้นก็ยังไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ผู้วิเศษกว่าตน

วันหนึ่งเกิดฝนตกหนักและน้ำหลากมามาก พระพุทธองค์ทรงทำติโรปาการคือเนรมิตกำแพงขึ้นกั้นน้ำ “แหวกน้ำเดินจงกรม” แล้วอุรุเวลฯ และสานุศิษย์ไปเห็นเข้าก็หลากใจเกิดอัศจรรย์ แต่ทว่ายังไม่ยอมตกลงเป็นพุทธสาวก

วันต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีป ได้ผลหว้าลูกใหม่มาสู่อุรุเวลฯ บ้าง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าผลหว้าชนิดนนี้ไม่มีในที่ใกล้ๆ นอกจากในป่าหิมพานต์ กระนั้นอุรุเวลฯ ยังสงวนท่าที

ในวันต่อมา เวลากลางคืนบริเวณที่ที่พระพุทธเจ้าประทับมีแสงสว่างไสวไปทั่วตลอดราตรีทั้งสามยาม ซึ่งแต่ละยามก็มีแสงสว่างต่างสีสัน

รุ่งเช้า อุรุเวลฯ และสานุศิษย์จึงไปทูลถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมื่อคืนที่แสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณที่ประทับ พระพุทธองค์ตรัสว่า เหล่าเทวดาและพรหมมาเข้าเฝ้า อุรุเวลฯ รู้สึกทึ่งอัศจรรย์ใจ แต่ยังมีมานะทิฐิเกรงจะได้ความอับอายแก่สานุศิษย์

ต่อมารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ฝนพรำอากาศเย็นจัด พวกชฎิลหนาวจัดจึงพากันผ่าฟืนเพื่อก่อไฟผิง พระพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์ให้ผ่าฟืนไม่แตกและก่อไฟไม่ติด

ทำให้พวกชฎิลจึงลงความเห็นว่าเป็นด้วยฤทธิ์ของพระบรมศาสดา จึงไปอ้อนวอนขอให้อุรุเวลฯ ผู้อาจารย์ถวายตัวเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า สบช่อง อุรุเวลฯ จึงได้โอกาสพาบรรดาศิษย์ไปเข้าเฝ้าขอเป็นศิษย์และขอบวชกับพระพุทธเจ้าในที่สุด

แม้การใช้ฤทธิ์ต่างๆ พระพุทธศาสนาจะไม่สนับสนุนให้ทำ แต่บางครั้งคนบางคนพูดสอนกันด้วยปากไม่ได้ผล เพราะเป็นคนที่ทิฐิกล้ามานะสูงนั้นไม่ยอมก้มหัวให้กับความถูกต้อง

การใช้ฤทธิ์เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะจัดการกับคนพวกนี้ได้ และพระพุทธเจ้าก็ทรงใช้กับคนประเภทนี้มาหลายครั้งเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งเมื่อทรงใช้ฤทธิ์ก็ไม่ลืมที่จะทรงใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือทรงสอนคนเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในทางที่ถูกที่ควรด้วย

แหล่งที่มา    เว็บไซต์โพสทูเดย์ โดย..อ.ตุ้ย วรธรรม 22 มกราคม 2555 เวลา 09:22 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...