วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

5 เทรนด์เปลี่ยนโลกในทศวรรษหน้า

จอห์น แนสบิตต์ (John Naisbitt)
นักอนาคตศาสตร์และนักวิเคราะห์ชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา
กล่าวไว้ว่า
The Most Reliable Way to Forecast
The Future is To Try Understand The Present.
หรือพูดง่ายๆ คือ
วิธีที่จะคาดการณ์อนาคตอย่างแม่นยำ
คือ การพยายามเข้าใจปัจจุบันให้ได้

เขาได้นำข้อมูลจากการสัมภาษณ์
ผู้บริหารระดับสูง 5 คนของ
Price Waterhouse Cooper (PwC)
บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำระดับโลก
ซึ่งเผยแพร่ในรายงาน PwC Global Annual Review 2013
เกี่ยวกับวิสัยทัศน์และมุมมองของ Maga Trends
ที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษหน้ามาให้เผยแพร่เราได้ทราบกัน

แม้จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว
แต่หลายประเด็นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงและ
เห็นผลกระทบบ้างแล้วในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ
โอกาสทางธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น
จะยกตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและ
ธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงค์จาก
Mega Trends ดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย

เทรนด์ที่ 1: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Demographic Shifts)
หลังสิ้นสุดยุค Baby Boom ในช่วงปี 1965-1970
ประกอบกับวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่
ที่พัฒนาขึ้นมาส่งผลให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิม
ประกอบกับโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
และข้อจำกัดทางด้านเศรษฐกิจ

ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของครอบครัว
จากครอบครัวที่มีขนาดใหญ่
เปลี่ยนไปสู่ครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น
รวมถึงการแต่งงานมีครอบครัวและ
มีบุตรมีแนวโน้มลดลง
จึงทำให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ขณะเดียวกันสัดส่วนประชากร
วัยแรงงานก็ลดลงตามไปด้วย

ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างระบบเศรษฐกิจทั้งการผลิตและการบริโภค
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2050 สัดส่วนประชากร
ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 21 ของประชากรโลก
สูงกว่าปัจจุบันที่มีสัดส่วนราวร้อยละ 10 ของประชากรโลก

ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์
ได้แก่ บริการ ดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล อาหารเพื่อสุขภาพ /
อาหารสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจออกแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
เครื่องจักร / หุ่นยนต์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนแรงงาน

เทรน์ที่ 2: การเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก (Shift in Global Economic Power)
จากเดิมที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อน
โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะกลุ่ม G7
(สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร
ฝรั่งเศส อิตาลี และแคนาดา)

แต่ขั้วอำนาจของเศรษฐกิจโลก
กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่
อาทิ กลุ่มประเทศ E7 (จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย
อินโดนีเซีย แม็กซิโก และตุรกี)

ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าว
ยังมีทรัพยากรสมบูรณ์และมีโอกาส
ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้อีกมาก
ทั้งการค้า การลงทุน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ประกอบกับจำนวนประชากรมหาศาล
และมีระดับรายได้ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้า
และบริการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

ในปี 2009 GDP ของกลุ่มประเทศ E7
มีขนาดราวสองในสามของ GDP
ของกลุ่มประเทศ G7 แต่คาดว่าในปี 2050
GDP ของกลุ่มประเทศ E7 จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จนมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของ GDP ของกลุ่ม G7
ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาด
เกิดใหม่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นฐานการผลิต
และแหล่งแรงงานราคาถูก ก้าวไปสู่การเป็น
ตลาดบริโภคแห่งใหม่ของโลก

ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์
ได้แก่ ธุรกิจส่งออกที่ปรับสินค้า
ให้สอดคล้องกับรสนิยมการบริโภค
ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่ม E7 ซึ่งแต่ละประเทศมีรสนิยม
และวัฒนธรรมการบริโภคที่แตกต่างกัน
รวมถึงธุรกิจที่เติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
อาทิ สินค้าฟุ่มเฟือย บริการสุขภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

เทรนด์ที่ 3: การเติบโตของสังคมเมือง (Accelerating Urbanisation)
ปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอาศัยอยู่ในเมือง
แต่หากย้อนหลังไปในปี 1950 จะพบว่ามีเพียงร้อยละ 30
ของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในเมือง
เนื่องด้วยพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ
ส่งผลให้วิถีชีวิตของประชากรในเมือง
มีความสะดวกสบายมากขึ้น อาทิ
ระบบคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภค
อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย

ประชากรที่เคยอาศัยอยู่ในชนบท
ก็เริ่มย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองมากขึ้น
เพื่อแสวงหารายได้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

ขณะเดียวกันนโยบายของหลายประเทศ
ที่มุ่งกระจายรายได้และการพัฒนาไปสู่ชนบทมากขึ้น
ช่วยยกระดับและพัฒนาสังคมชนบท
ไปสู่การเป็นสังคมเมือง

ทำให้คาดว่าในปี 2050 สัดส่วนประชากร
ที่อาศัยอยู่ในเมืองจะสูงถึงร้อยละ 72
โดยเฉพาะในภูมิภาคแอฟริกาตอนเหนือ
(Sub-Saharan Africa) และเอเชีย
ที่สังคมเมืองเริ่มมีแนวโน้มพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว

ข้อสังเกต:
แต่ละประเทศมีนิยามของ “สังคมเมือง”
ที่แตกต่างกันออกไป (สามารถดูเพิ่มเติม
ได้จากรายงาน World Urbanization Prospects 2011 Revision, UN)

แต่ภาพรวมจะพิจารณาจากจำนวนประชากร
ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่
กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสิ่งอำนวย
ความสะดวกธุรกิจที่คาดว่าจะได้ประโยชน์:
ธุรกิจก่อสร้าง / วัสดุก่อสร้าง พลังงาน โทรคมนาคม /
อินเทอร์เน็ต อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า / เครื่องประดับ รถยนต์


เทรนด์ที่ 4: การลดลงของทรัพยากรและการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศ (Resource Scarcity and Climate Change)
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก
ส่งผลให้การบริโภคทรัพยากรต่างๆ
เพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะการใช้พลังงาน
ทั้งจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
รวมถึงการบริโภคน้ำและอาหาร
ที่นับวันทรัพยากรดังกล่าวมีแต่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การบริโภคทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ
มลภาวะที่เกิดจากการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
ขยะและของเหลือใช้ที่ไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิล
และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์จากรถยนต์

ทั้งนี้ การประเมินว่าหากรูปแบบ
การบริโภคทรัพยากรยังเป็นดังเช่นปัจจุบัน
จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของโลกและ
ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้ร 0.5-1.5 องศาเซลเซียส
ในอีก 20 ปี ข้างหน้า ตลอดจนยังส่งผล
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ
อาทิ ฝนแล้ง น้ำท่วม และการเปลี่ยนแปลง
ของระดับความเข้มข้นในน้ำทะเล
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการเกษตร
และการผลิตอาหารของโลก

ดังนั้น ทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับ
การดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
รวมถึงในภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุง
กระบวนการผลิตหรือวัตถุดิบที่ใช้
ในการผลิตเพื่อลดหรือชะลอ
ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์:
ธุรกิจสีเขียว (ธุรกิจที่ใช้วัสดุหรือมีกระบวนการผลิต
ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมหรือควบคุม
การปล่อยมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม)
บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ พลังงานทางเลือก เกษตร /
อาหารอินทรีย์  รีไซเคิลขยะและของเสีย
ที่ปรึกษาและออกแบบการผลิตโรงงานที่คำนึง

เทรนด์ที่ 5: ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี (Technological Breakthroughs)
การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปอย่างมาก
จากในอดีตทั้งรูปแบบวิถีชีวิต
รวมถึงการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต
การตลาด และการบริหารจัดการภายในกิจการ

นอกจากนี้ เทคโนโลยียังช่วยให้เกิดธุรกิจใหม่
ได้ง่ายในเพียงชั่วข้ามคืน อาทิ ธุรกิจออนไลน์
โดยอาศัยประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร
ที่ก่อให้เกิดสังคมเครือข่ายออนไลน์ (Social Network)
แพร่หลายดังเช่นในทุกวันนี้
ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดของระยะทาง
ทำให้สามารถทำตลาดได้อย่างไร้ขอบเขต

ทั้งนี้ปัจจุบันประชากรโลกมีอุปกรณ์สื่อสารมากกว่า 1.84 เครื่องต่อคน
เพิ่มขึ้นจาก 0.08 เครื่องต่อคนต่อในปี 2003
และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.47 และ 6.58 เครื่องต่อคน
ในปี 2015 และปี 2020 ตามลำดับ

สะท้อนให้เห็นถึงการที่เทคโนโลยี
จะก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น
ธุรกิจในอนาคตจึงควรให้ความสำคัญกับ
การไขว่ค้วาโอกาสจากความสำคัญของเทคโนโลยีดังกล่าว
รวมถึงไม่พลาดที่จะติดตามทิศทางของเทคโนโลยีใหม่ๆ
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภค
ผ่านเทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ ที่นับวันจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างธุรกิจที่คาดว่าจะได้ประโยชน์:
ธุรกิจออนไลน์ (ธุรกิจที่ทำตลาดหรือให้บริการ
ผ่านอินเตอร์เน็ตหรือสังคมออนไลน์)
โทรคมนาคม อุปกรณ์สื่อสาร
บริการคอนเท้นท์ออนไลน์ พัฒนาซอฟต์แวร์ / แอพพลิเคชั่น

แหล่งที่มา   Facebook : Solopreneur ลุยเดี่ยว ก็รวยได้ 
                      เรื่องโดย : คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ที่มา : วารสาร Marketeer ฉบับเดือนสิงหาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ตอน 37 ลาก่อนทองแดง

ตอน 36   อ่านตอนสามสิบหก เรื่อง "ลาก่อนพ่อสิงโต...พ่อหมาใจดี...." ได้ที่นี่ ทองแดงเริ่มไม่ทานข้าวช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ช่วงนั...