นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของประชากรไทยอายุ 15 - 60 ปี ทั้งเขตเมืองและเขตชนบท ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศโดยกรมอนามัย ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,391 คน พบว่าปัญหาทันตสุขภาพของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่
- ฟันผุร้อยละ 29
- มีหินปูนร้อยละ 26
- เสียวฟันร้อยละ 22
- ปวดฟันร้อยละ 19
- ฟันเหลืองร้อยละ 17 และ ฟันตกกระร้อยละ 1
ด้าน ทันตแพทย์หญิงพวงทอง เล็กเฟื่องฟู ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดูแลสุขภาพปากและฟันที่ดีที่สุด คือ
- การแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และหากมีการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลระหว่างมื้อควรบ้วนน้ำตาม
- เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปาก ขนแปรงควรทำจากไนล่อนและนุ่มปานกลาง
- แปรงฟันอย่างถูกวิธี คือ แปรงขึ้นหรือลงไปตามปลายฟัน
- หากเศษอาหารติดแน่นในซอกฟัน โดยเฉพาะในฟันกรามซึ่งแปรงไม่ถึง ต้องใช้เส้นใยขัดซอกฟันร่วมด้วย
- การเลือกใช้ยาสีฟันควรผสมฟลูออไรด์ไม่เกินร้อยละ 0.11 โดยน้ำหนัก หรือ 1,100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (พีพีเอ็ม)
- ใช้เวลาแปรงฟัน 2 นาทีขึ้นไป เพื่อให้ฟลูออไรด์สัมผัสกับผิวฟันได้อย่างเต็มที่ ส่วนในเด็กเล็กไม่ควรให้บีบยาสีฟันเอง เพราะหากได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป จะทำให้ฟันตกกระได้
- สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปาก จะช่วยลดกลิ่นปากได้ แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนการแปรงฟันได้ เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถขจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและเกาะติดอยู่ตามผิวฟัน และซอกฟันได้
- ทั้งนี้ขอเตือนเรื่องการใช้ไม้จิ้มฟันหลังอาหาร เพื่อกำจัดเศษอาหารว่าเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟันดัน หรือแคะอย่างรุนแรง หรือเสียบไม้จิ้มฟันทะลุซอกฟันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง แล้วหมุนหรืองัด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาซอกฟันโหว่เป็นโพรง ฟันห่าง เหงือกร่น คอฟันหรือผิวรากฟันสึก
แหล่งที่มา เว็บไซต์โพสทูเดย์ 8 มกราคม 2555 เวลา 13:27 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น